ร่วมงานปัจฉิมนิเทศน์บัณฑิตใหม่สาขาเวชนิทัศน์ ขอนแก่น
ผมได้ไปร่วมงานปัจฉินิเทศน์ให้กับผู้กำลังจะเป็นบัณฑิตรุ่นใหม่อีกรุ่นหนึ่ง ของสาขาเทคโนโลยีบัณฑิต เวชนิทัศน์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ไปในฐานะวิทยากรบรรยายพิเศษ บรรยายในหัวข้อ เวชนิทัศน์กับการพัฒนาสื่อในอนาคต เพื่อเป็นเวทีให้ว่าที่บัณฑิตซึ่งเพิ่งจะสอบและเสร็จสิ้นการศึกษา
ได้คุยกันและมองไปในอนาคตว่าจะวางอนาคตตนเองไปทางไหน ? โอกาสการทำงานและการศึกษาต่อในอนาคตเป็นอย่างไร ? เวลาออกไปทำงานแล้วโลกของการทำงานเป็นอย่างไรบ้าง ? พร้อมทั้งให้ข้อเสนอแนะสำหรับการเตรียมตัวในฐานะคนรุ่นที่มาก่อน
ขอบเขตงานเวชนิทัศน์กว้างไปตามกระบวนทัศน์สุขภาพและสาธารณสุข
ผมเก็บเกี่ยวหลายสิ่งอย่างไปฝากพวกเขา ทั้งประสบการณ์ที่น่าจะสะท้อนให้เขาเห็นขอบเขตการทำงานทางด้านสุขภาพและการสาธารณสุข ทั้งในโรงเรียนแพทย์ โรงพยาบาลและนอกโรงพยาบาล รวมไปจนถึงงานสุขภาพที่อยู่ในวิถีชุมชนระดับต่างๆ ที่กว้างขึ้น เพื่อมิให้เข้าใจไปตามความเคยชินว่า การทำงานกับอาจารย์แพทย์ นักวิจัย และการทำงานเป็นทีมร่วมกับแพทย์ ตลอดจนบุคลากรทางด้านสุขภาพนั้น จะมีอยู่แต่ในคณะแพทย์และโรงพยาบาลเท่านั้น แต่มีงานวิจัยและงานทางการศึกษา ที่เป็นงานเชิงรุกและเป็นเรื่องสุขภาพที่อยู่ในความมีสุขภาพดีอีกด้วย
การทำงานในอนาคตต้องเดินบวกความเป็นเลิศกับหลายสาขา
นอกจากนี้ ผมได้ประมวลภาพให้เห็นความเคลื่อนไหวของวงการเวชนิทัศน์ในต่างประเทศ ซึ่งได้เริ่มเคลื่อนไหวจากอดีตที่เคยมีบทบาทมากในมหาวิทยาลัยและคณะแพทย์ ไปสู่ความเป็นมืออาชีพและการเป็นองค์กรวิชาชีพที่มีบทบาทในภาคเอกชน ของอเมริกา รวมทั้งการก่อเกิดสาขาวิชาชีพใหม่ๆ ที่ต่อยอดจากสาขาเวชนิทัศน์ สู่การเป็นสาขาที่เป็นศาสตร์บูรณาการทางด้าน ศิลปะ การสื่อสาร และวิทยาศาสตร์การแพทย์ พร้อมกับยกตัวอย่างว่าแนวโน้มนี้เชื่อว่ากำลังจะเกิดขึ้นในประเทศไทย
การเตรียมความพร้อมสู่โลกการทำงานและการดำเนินชีวิตให้แก่บัณฑิตใหม่
กลุ่มนักศึกษาส่วนมากเป็นลูกหลานชาวชนบท...ก็จากอีสานนั่นเอง มีบางส่วนที่ไปจากกรุงเทพมหานคร ผมก็เลยทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงและครูแนะแนวไปในตัว เพราะตระหนักดีว่าลูกหลานคนต่างจังหวัดนั้น แค่ได้เรียนจบและมีงานทำแล้วก็คิดอะไรไม่ออกหรอก โลกภายนอกมันไกลจากประสบการณ์ทางสังคมของเขามาก แค่หลุดออกมาจากบ้านทุ่งแล้วมาเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยนั้น ชีวิตก็มาไกลมากแล้ว หนทางข้างหน้า หากมีใครมาคุยให้ฟัง ก็ล้วนจะเป็นเรื่องใหม่ที่ไม่เคยมีคนนำทางชีวิตให้มาก่อน ข้อนี้เลยต้องนับถืออาจารย์และสถาบันของพวกเขาที่จัดงานนี้ขึ้นมา
แนะนำให้น้องเวชนิทัศน์พัฒนาตนเองสู่อนาคต
หลังจากเล่าสู่กันฟังเกี่ยวกับสังคมและโลกแห่งการทำงานให้พอนึกภาพออกได้บ้างแล้ว ผมก็แนะนำผู้ที่กำลังจะเป็นบันฑิตเวชนิทัศน์ขอนแก่น ในการเตรียมตนเองเพื่อเข้าสู่แวดวงการทำงานและการดำเนินชีวิตในโลกความเป็นจริง คือ......
(๑) ทำงานและเรียนรู้ ออกไปแล้วทำงานให้หนัก ทำแบบคนเรียนรู้ ทำอย่างเป็นนักเวชนิทัศน์ในอุดมคติ เป็นปัจเจกที่มีพลัง (ผมเล่าให้เขาฟังถึงความเป็นมาของสาขาเวชนิทัศน์ในประเทศไทย เรื่องราวการบุกเบิกของศาสตราจารย์นายแพทย์สุด แสงวิเชียร | รองศาสตราจารย์นายแพทย์นันทวัน พรหมผลิน | รองศาสตราจารย์นายแพทย์สภา ลิมพาณิชย์การ | อาจารย์กอง สมิงชัย | อาจารย์โชติ แสงสมพร รวมไปจนถึงจุดเด่นของเวชนิทัศน์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น)
(๒) พัฒนาทักษะทำงานกับทีมต่างสาขา พัฒนาตนเองให้เป็นผู้เรียนรู้ที่ดี หัดพูด หัดฟัง พัฒนาวิธีคิดและความสามารถทำงานสร้างสรรค์ และพาตนเองไปเป็นส่วนหนึ่งของทีมนักวิชาการสาขาอื่นๆ ที่เป็นมิติเนื้อหา สามารถแสดงหลักวิชาที่คนสาขาอื่นเขารับได้ และสามารถทำงานเชิงเนื้อหา จับเอาโจทย์และเนื้องานวิชาการสาขาอื่นมาทำงานให้ได้อย่างดีที่สุด
(๓) วิจัยและพัฒนางานประจำอยู่เสมอ เป็นนักศึกษาและนักวิจัยในงานประจำที่ตนเองทำไปด้วย เก็บบันทึกข้อมูล รวบรวมข้อมูล มีแฟ้มงาน และนำเอางานที่ทำไปแล้วมาทบทวนหาความคิดดีๆ และบทเรียนดีๆ เพื่อพัฒนาตนเองไปด้วยอยู่เสมอ เมื่อจะสื่อสารความคิดและยกตัวอย่างงาน ก็จะได้มีผลงานที่เป็นรูปธรรมช่วยเป็นสื่อแสดง
หลังการบรรยายพิเศษ คณาจารย์ก็ช่วยกันพูดคุยให้พลังใจแก่ว่าที่บัณฑิต รับพวงมาลัยดอกไม้จากพวกเขา แล้วก็พากันผูกข้อไม้ข้อมือ อำนวยอวยพรแก่เด็กๆ
พัฒนาชีวิต
จากนั้น ก็พากันไปไหว้พระคุณเจ้าที่วัดหนองผือ (วัดเกิ้ง) ซึ่งเป็นพระสายปฏิบัติ มีพระคุณเจ้า พระอาจารย์โอภาส สุทธิปัญโญ เป็นเจ้าอาวาส ทั้งวัดไม่ใช้ไฟฟ้า ออกแบบอาคารสถานที่ให้ประหยัดพลังงานและรักษาสิ่งแวดล้อม พาคนให้อยู่กับธรรมชาติและใกล้ชิดกับสิ่งแวดล้อมอันสัปปายะต่อการปฏิบัติภาวนาเป็นอย่างยิ่ง
ในทีมมีอาจารย์สาขาเวชนิทัศน์ซึ่งเป็นรุ่นพี่อาวุโสหลายท่าน รวมทั้งมีท่านรองคณบดีคณะศิลปกรรมของมหาวิทยาลัยขอนแก่น แวะเวียนมาร่วมวงสนทนาในบรรยากาศต่างๆอยู่เสมอ
พลังเครือข่ายวิชาการของขอนแก่น ที่ขอนแก่นมีเวทีวิชาการและมีแหล่งบ่มเพาะความคิดสร้างสรรค์คึกคักอย่างยิ่ง ผมนั่งคุยกับทุกท่านกระทั่งจรดเย็นอย่างไม่รู้เบื่อ ซึ่งแต่ละท่านก็เป็นผู้รู้ที่อ่อนน้อม ให้เกียรติแก่ผมซึ่งอาวุโสและอ่อนด้อยกว่ามากในทุกด้าน ได้เห็นจุดแข็งและได้การเรียนรู้จากวงวิชาการในครั้งนี้หลายอย่าง คือ......
(๑) เครือข่ายและชุมชนทางปัญญา ทางด้านเวชนิทัศน์ สื่อ และศิลปกรรม ของขอนแก่นและภาคอีสาน เป็นเครือข่ายที่เชื่อมโยงกันอย่งแข็งขัน มีกิจกรรมและการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันคึกคักอย่างยิ่ง หลายเวทีมีเครือข่ายจากกรุงเทพฯ เช่น มหาวิทยาลัยศิลปากร และวงการสื่อมืออาชีพ ไปร่วมเสวนาสังสรรค์อย่างมีชีวิตชีวา
(๒) พัฒนาเวทีเพื่อนักศึกษา ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมและเวทีการแสดงออกของนักศึกษา คนรุ่นใหม่ มากเป็นอย่างยิ่ง ครูอาจารย์แต่ละแห่งมีอยู่ไม่มาก แต่ช่วยกันทำแบบเอาแรงกันข้ามคณะและสถาบัน ทำให้ระดมบุคลากรในจังหวัดและในภูมิภาคมาช่วยกันทำ เด็กๆเลยได้รับสิ่งดี
บางเรื่องน่าจะดีกว่าหรือไม่น้อยไปกว่ากรุงเทพฯ เช่น มีเวทีแสดงงานกลางแจ้ง ปิดถนนเป็นเวทีเลย ซึ่งเป็นที่นิยมมากทั้งสำหรับคนท้องถิ่น คนไทยและชาวต่างประเทศ ทำต่อเนื่องมา ๕ ปีแล้ว ซึ่งทำให้คนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้ความสำเร็จและโลกความเป็นจริงจากการลงมือของตนเอง.
ได้ขอเข้าไปรู้จักคุณบัวปริ่มน้ำแล้วนะครับ จึงได้ทราบว่าเป็นตัวจริงเสียงจริงเรื่องการพัฒนาการวิจัย เลยมีความยินดีอย่างยิ่งที่คุณบัวปริ่มน้ำให้ความสนใจกิจกรรมที่ผมได้นำมาบันทึกไว้นี้
พร้อมทั้งขออนุญาตไว้ล่วงหน้านะครับว่า หากมีโอกาสก็จะขออนุญาตให้ข้อมูลการติดต่อหรือขอคำปรึกษาคุรบัวปริ่มน้ำ แก่คณาจารย์ พี่ๆ เพื่อนๆ และน้องๆ ในสาขาเวชนิทัศน์ ศิลปกรรม และการวิจัยสร้างสุขภาพชุมชน ที่อยู่มอขอนแก่น ที่สนใจพัฒนาการวิจัย
หากมีโอกาสได้การแนะนำหรือจัดเวทีเรื่องนี้ให้จากคุณบัวปริ่มน้ำละก็คิดว่าจะได้เรื่องสำหรับการวิจัยและพัฒนาอีกมากมาย หลายท่านมีผลงานดีมากเลย หากมีอะไรดีๆก็ช่วยแนะนำและนำมาเล่าแบ่งปันกันบ้างนะครับ
ลิงก์เรื่องเวชนิทัศน์ จากเวิร์คช็อปทำสื่อของเครือข่ายนักเวชนิทศน์ กับเครือข่ายวิชาชีพสุขภาพ มาฝากผู้อ่านในบันทึกนี้ด้วยครับ
ถ้าจะให้จัดงานสัมนาเกี่ยวกับงานเวชนิทัศน์ตอนนี้ จะจัดเรื่องเกี่ยวกับอะไรดีค๊ะ
เอาอย่างงี้เลยหรือครับ กดปุ่มอย่างกับเป็นปุ่มขอสัญญาณไฟข้ามทางม้าลายเลยแน่ะ อ่านแล้วก็ต้องขำครับ ถามอย่างนี้ เหมือนกับขอโยนไอเดียเฉยๆ ซึ่งผมเองและเพื่อนๆเวลาทำงานที่ต้องหาความคิดดีๆ ก็ชอบใช้วิธีนี้เหมือนกับครับ เป็นการขอรวบรวมไอเดียและวิธีคิดให้หลากหลาย แต่จะนำไปใช้จริงหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งบางที่ก็เกิดความคิดดีๆขึ้นหลังจากได้เห็นแนวคิดและข้อเสนอดีๆ
แต่ก็เป็นคำถามที่เป็นประโยชน์มาก ทั้งต่อวงการวิชาชีพ ต่อการพัฒนาการศึกษาเรียนรู้ และต่อสังคม ...ก็ลองดูนะครับ หัวข้อเหล่านี้เป็นไงครับ......
....................................... ซึ่งหาข้อมูลมาพัฒนาความคิดไปได้อีกเยอะครับ
ประเด็นสำหรับวางแนวคิดไว้ก็คือ ต้องหาประเด็นที่นำไปสู่ All for Health : ให้ศักยภาพคน พลเมืองประชากร ทุนมนุษย์ ทุนศักยภาพชุมชน และทุนทางสังคม เป็นปัจจัยและโอกาสการพัฒนาการแพทย์ สุขภาพ และสุขภาวะสังคมด้วยวิธีการที่ส่งเสริมการมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวางลงไปถึงวิถีชีวิตประชาชนให้มากที่สุด และ Health for All : การทำให้การพัฒนาด้านการแพทย์กับสุขภาพเป็นวิธีสร้างคุณภาพชีวิต พัฒนาทุนมนุษย์ และพัฒนาสังคม ...ในแง่มุมที่เป็นจุดแข็งของงานเวชนิทัศน์และโสตทัศนศึกษา คือ Simplified Scientific and Health Communication ขยายศักยภาพและขีดความสามารถการแก้ปัญหาที่มีคนและชุมชนเป็นศูนย์กลางโดยการใช้วิทยาการและเทคโนโลยีอย่างผสมผสาน
คงพอได้แนวคิดนะครับ
สวัสดีค่ะอาจารย์
ตามมาศึกษาจากประสบการณ์อาจารย์ค่ะ
ลูกสาวเพิ่งโทรมาเล่าให้ฟังถึงคอร์สที่เรียน เรื่องยาค่ะ บอกว่าเรียนคอร์สนี้สนุกมาก (ก็เห็นบอกสนุกแทบทุกคอร์ส)
อาจารย์มีสุขภาพดีเสมอนะคะ
มาเด็กมาเล่นที่บ้านอาจารย์ด้วย
อ้าว นี่เลยครับ มาพอดีเลยวิทยากรหนึ่งท่าน คุณณัฐรดานี่แหละ จัดว่าเป็นมือเวชนิทัศน์และสื่อศิลปะวิทยาศาสตร์การแพทย์ภาคประชาสังคมคนหนึ่งของประเทศได้อย่างดีคนหนึ่งเลยละครับ หากจัดก็ขอแนะนำเชิญเป็นวิทยากรและนำงานไปเผยแพร่เลยได้ ๑ ท่านเลย ....งั้นขอโยนไอเดียต่อให้อีก.....