ผู้เขียนได้พยายามอ่านงานของ พอช. เพื่อติดตามดูว่า ในเรื่องสวัสดิการ 7 ด้าน ตาม พรบ.ส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมนั้น เรื่องใดที่ชุมชนทำได้มาก ทำได้ดีแล้ว เรื่องใดที่ชุมชนไม่ได้ทำ อาจด้วยเพราะเกินขีดความสามารถ หรืออาจเป็นเพราะชุมชนไม่เห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญ
ได้เขียนเรื่องสวัสดิการชุมชนด้านการศึกษาและด้านสุขภาวะสุขภาพอนามัยไว้คร่าวๆ ว่ามีทั้งการจัดสวัสดิการที่เป็นตัวเงินและที่ไม่เป็นตัวเงิน ถือได้ว่า ชุมชนมีความกระตือรือร้นในการจัดกิจกรรมทั้งสองด้านมากเป็นพิเศษ สะท้อนทั้ง “การให้ความหมายของคำว่าสวัสดิการ” และ “ศักยภาพในการจัดสวัสดิการ” ของชุมชน
สวัสดิการสังคมด้านที่สาม คือ ที่อยู่อาศัย เป็นสิ่งที่มีการจัดสวัสดิการในบางชุมชนเท่านั้น เพราะเหตุใด?
ก่อนอื่นต้องตั้งคำถามว่า สวัสดิการด้านที่อยู่อาศัยเป็นอย่างไร
งานดัชนีการพัฒนาคนของ UNDP (หน่วยงานสากล แต่ก็ทำงานโดยการระดมสมองปราชญ์ชาวบ้านและนักคิดไทยมาช่วยกันออกแบบดัชนี ผสมกับสิ่งที่ใช้กันในประเทศอื่นๆด้วย) ได้กล่าวถึงมิตินี้ใน 3 เรื่อง
ข้อแรกกับข้อที่สาม ทุกคนคงเห็นความสำคัญ แต่ข้อที่สอง คงมีคนเถียง
ความมั่นคงในที่อยู่อาศัยดูเหมือนจะเป็นปัญหามากกว่าในชุมชนเมือง จึงพบการจัดสวัสดิการชุมชนที่เกี่ยวกับความมั่นคงในที่อยู่อาศัยในชุมชนเมือง (ส่วนเรื่องการเป็นเจ้าของที่ดินทำกินอาจจะจัดอยู่ในมิติด้านอาชีพการงาน) ประกอบกับรัฐมีโครงการบ้านมั่นคงที่สนับสนุนเรื่องนี้อยู่ในระยะไม่กี่ปีที่ผ่านมา กระบวนการของบ้านมั่นคงต้องมีการบริหารจัดการผ่านชุมชน จึงเปิดโอกาสให้ชุมชนเข้ามาทำงานในเรื่องนี้ได้ ความยากลำบากขั้นตอนหนึ่ง คือ การจัดการในเรื่องที่ดินโดยชุมชนต้องมีกระบวนการเจรจากับเจ้าของที่ดินก่อน ตรงนี้เองที่เห็นได้ชัดว่า หากไม่มีโครงการของรัฐหนุนเสริม กระบวนการสวัสดิการชุมชนในเรื่องนี้คงเกิดขึ้นได้ไม่ง่ายนัก
อันที่จริงชาวบ้านในชนบทเองก็มีปัญหาเรื่องความมั่นคงในที่อยู่อาศัยเพราะหลายคนหลายชุมชนใช้ที่ดินสาธารณะที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์หรือเป็นผู้เช่าที่ดิน
อ่านจากงาน พอช.แล้วเห็นได้ชัดว่า ไม่ค่อยมีชุมชนชนบทลงมาทำเรื่องนี้ ทั้งที่เป็นปัญหาใหญ่และปัญหาเรื้อรัง น่าจะสะท้อนข้อจำกัดของชุมชนในการจัดสวัสดิการในมิตินี้ได้เป็นอย่างดี
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่ตรงข้ามกับการจัดสวัสดิการในมิติอื่น (ที่รัฐกับชุมชนอาจหนุนเสริมกันได้) ก็คือ การจัดการเรื่องสิทธิในที่ดินกลับเป็นเรื่องปะทะกันโดยตรงระหว่างรัฐกับชาวบ้านที่ยึดถือหลักการคนละอย่าง กล่าวคือ สิทธิตามกฎหมาย กับสิทธิพื้นฐานที่จะทำกินเลี้ยงปากท้องบนที่ดินที่ทำกินกันมานานตั้งแต่รุ่นปู่รุ่นพ่อ ความเป็นสาธารณะในวิธีคิดของชาวบ้านผูกพันกับวัฒนธรรมการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างเป็นทรัพย์สินร่วม แต่ความเป็นสาธารณะในมุมมองทางกฎหมายตะวันตกคือเป็นของรัฐ ถ้าไม่เป็นของสาธารณะคือของรัฐ ก็ต้องเป็นของปัจเจกเท่านั้น
นอกจากนั้น ที่ดินที่อยู่อาศัยในชุมชนชนบทไม่ใช่เป็นพื้นที่เล็กๆติดๆกันเหมือนในชุมชนเมือง การเจรจากับเจ้าของที่ดินอย่างโครงการบ้านมั่นคงจึงเกิดขึ้นไม่ได้ การทำงานของรัฐที่มีกฎหมายปฎิรูปที่ดินอยู่ในมือยังเต็มไปด้วยปัญหา
ปัญหาความเป็นเจ้าของที่มีประเด็นทางกฎหมายค้ำคออยู่จึงเป็นเรื่องใหญ่ที่ชุมชนไม่ค่อยลงมาแตะต้อง เท่าที่ทราบก็มีเครือข่ายสินธุ์แพรทองที่พัทลุงที่เห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ และชุมชนได้จัดเป็นหนึ่งในกิจกรรมสำคัญที่ต้องเข้ามาจัดการดูแล จึงเป็นเรื่องน่าสนใจศึกษาเรียนรู้ว่าชุมชนจัดการเรื่องนี้อย่างไร อยากให้ผู้มีประสบการณ์การทำงานกับเครือข่ายสินธุ์แพรทองหรือพื้นที่อื่นๆได้แบ่งปันประสบการณ์เรื่องนี้ด้วย
นอกจากนี้ยังเป็นเรื่องของหน่วยงานที่หนุนเสริมบทบาทของชุมชนให้ช่วยขบคิดต่อว่า ควรจะมองมิตินี้อย่างไร ตัวเราเองนั้น ได้คิดเสมอว่า บทบาทที่สำคัญประการหนึ่งของขบวนสวัสดิการชุมชน คือ การติดตามและผลักดันให้ “รัฐทำในสิ่งที่ต้องทำ” และ “ไม่ทำในสิ่งที่ต้องไม่ทำ” เพราะนี่เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะทำให้เกิด “สวัสดิการสังคม” ที่ทั่วถึงและมีคุณภาพได้
การเรียกร้องดังกล่าวก็อยุ่ในเรื่อง “ปฏิทินแห่งความหวัง: คุณภาพชีวิตจากครรภ์มารดาสู่เชิงตะกอน” ของอาจารย์ป๋วยด้วย และที่ผ่านมา เครือข่ายชาวบ้านอย่างเครือข่ายป่าชุมชน และปราชญ์ชาวบ้านหลายท่าน อย่างครูชบ ยอดแก้ว น้าประยงค์ รณรงค์ ก็ทำบทบาทนี้อย่างเต็มที่
ประเด็นที่อยู่อาศัยตามความหมายของundp อาจจะมากไปในความรู้สึกของชาวบ้านทั่วไป แต่อาจเป็นมาตรฐานของบ้านในสังคมปัจจุบันก็ได้ เท่าที่มีประสบการณ์ ตอนน้าฝากเจอภัยพิบัติ น้ำท่วมคีรีวง คนในชุมชนและพรรคพวกเพื่อนฝูงที่เคารพรักน้าฝากช่วยกันลงขันสร้างบ้านให้ ทั้งวัสดุอุปกรณ์และแรงงาน ในชุมชนทั่วไปคนที่ไม่มีบ้านก็อาศัยเครือญาติ ให้ใช้ที่ดินและปลูกกระต๊อบเล็กๆ สวัสดิการที่อยู่อาศัยในสมัยก่อนคือการซอแรงสร้างบ้านคล้ายๆวงแชร์
ในชุมชนจะเน้นความเท่าเทียมเพราะถือว่าต่างก็มีมือมีตีนเหมือนกัน จึงใช้การแลกเปลี่ยนแรงงานเป็นหลัก คนที่ได้รับการช่วยเหลือส่วนใหญ่จะผ่านระบบเครือญาติ นอกจากคนที่เป็นที่เคารพรักทำงานช่วยเหลือส่วนรวมมากจริงๆหรือช่วยเหลือตัวเองไม่ได้จริงๆด้วยเงื่อนไขที่ไม่ใช่มาจากความไม่รับผิดชอบ เช่น พิการ คนแก่ถูกทอดทิ้ง ชุมชนถึงจะเข้ามาช่วยเหลือ แต่ก็ผ่านระบบเครือญาติเช่นกัน ถ้าเครือญาติไม่สนใจก็ยากที่จะได้รับการดูแล กลายเป็นวงเวียนชีวิตในทีวี
วิถีใหม่ของสวัสดิการชุมชนด้านที่อยู่อาศัยคือการขยายงานของกลุ่มการเงินชุมชนเพื่อกู้ยืมและสงเคราะห์เล็กๆน้อยๆจากผลกำไร เช่น มีบางกลุ่มตั้งสวัสดิการซ่อมบ้านในกรณีเกิดภัยธรรมชาติ เป็นต้น ซึ่งเป็นระบบแลกเปลี่ยนแรงงานอย่างเท่าเทียมกันนั่นเอง
ที่จริงสวัสดิการที่อยู่อาศัยในชุมชนที่สำคัญคือ วัด
ในแง่หลักคิดของชุมชน ทุกคนเท่าเทียมกัน ถ้าจะได้รับการช่วยเหลือต้องมีอะไรพิเศษกว่าคนอื่นๆ เช่น ถือศีลมากกว่า คือบวชเป็นพระ หรือช่วยเหลือตัวไม่ได้ วัดก็เป็นที่พึ่งพิงได้ แต่ต้องมีใจช่วยเหลืองานส่วนรวมเท่าที่ทำได้ด้วย เช่น เป็นเด็กวัด นอกนั้นเครือญาติต้องเข้ามารับผิดชอบ
ชุมชนมีเกณฑ์ในการช่วยเหลือกันชัดเจน ประเด็นสำคัญ ศีล ในขณะที่รัฐมีความแตกต่าง ถือว่าทุกคนเป็นประชาชนต้องช่วยเหลือโดยเฉพาะคนด้อยโอกาส
คิดว่าสิ่งที่ UNDP list เอาไว้ก็พอจะให้กรอบในการมองได้ค่ะ เพียงแต่ว่า รูปแบบที่เกิดขึ้นเป็นสวัสดิการนั้นจะออกมาในรูปแบบใดโดยวิธีใด จะ "จินตนาการ"ต่ออย่างไร ขอบคุณที่ช่วยยกประเด็นดีๆขึ้นมาแลกเปลี่ยนค่ะ
ข้อเท็จจริงก็คือ สิ่งที่อาจารย์ภีมเขียนมานั้นเป็นวิถีปฏิบัติที่ชาวบ้านอาจไม่ได้เรียกมันว่า "สวัสดิการ" เราน่าจะช่วยทำให้ทุกคน(ทั้งชาวบ้านและหน่วยงานหนุนเสริม) เห็นว่า นี่คือสวัสดิการชุมชนโดยธรรมชาติ หน่วยงานหนุนเสริมภาครัฐเองก็น่าจะเห็นคุณค่าของกระบวนการเหล่านี้ในชุมชนด้วย อย่ามองข้ามไปและต่อยอด
ตอนเขียนบันทึกเรื่องนี้ ก็ยังนึกถึงชาวบ้านกลุ่มวังตอตั้ง จังหวัดชัยภูมิ ที่มาช่วยกันลงแขกสร้างบ้านดิน ตอนนี้ว่าจะลงขันกันซื้อที่ดินมาทำไร่นารวม ทั้งหมดนี้เป็นเรื่อง "สวัสดิการ" โดยตรงค่ะ แต่ถึงขั้นนี้ก็ต้องใช้งบประมาณมาก เกินขีดความสามารถของชาวบ้าน ก็ยังดูๆว่าจะขยับอย่างไร
รัฐมี พรบ.ปฏิรูปที่ดินอยู่แล้ว แต่มีปัญหามากอย่างที่บอก
นี่เป็นอีกระดับหนึ่งของกระบวนการสวัสดิการที่ไม่ควรมองข้ามค่ะ (แม้ปัจจุบันจะยังทำอะไรกับมันไม่ได้มาก)
ประเด็นเรื่อง เตาไฟฟ้าหรือเตาแกสนั้น แนวคิด UNDP คงมาจากสองส่วน
ตู้เย็นคงไว้ถนอมอาหาร
ตัวเองก็ไม่เห็นว่าประเด็นนี้สำคัญ เพียงแต่พบว่า บางพื้นที่ในภาคใต้ เช่น กลุ่มกรงนก จะนะ กลุ่มที่ชะอวด มีการให้สวัสดิการเงินกู้ หรือเงินผ่อนเพื่อซื้อสิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านี้ได้ด้วย (ถ้าเข้าใจไม่ผิด) บางที ชาวบ้านในชุมชนกึ่งเมืองกึ่งชนบทอาจจะเห็นว่าสิ่งเหล่านี้ "จำเป็น"
สวัสดีค่ะคุณหมอ
สรุปว่าทุกคนต้องเรียนรู้และปรับตัว.. ลำดับตรงนี้สำคัญมาก คือ หนึ่ง ต้องเรียนรู้ก่อน หากไม่เรียนรู้ก็คงยากที่จะ "ระเบิดจากภายใน" และไม่ปรับเปลี่ยน แม้จะถูก "สั่ง" ให้เปลี่ยน ก็คงยากที่จะเปลี่ยนแปลงได้จริง ... อิอิอิอิ (สงสัยมากว่าทำไมจึงมักจะให้แค่ สอง "อิ")