สนทนาธรรมกับพระอรหันต์ ท่ามกลางความวุ่นวายของคนในสังคม


กราบสวัสดีทุกท่านครับ

    สบายดีกันนะครับ ช่วงนี้บ้านเมืองเริ่มอุ่นๆ ร้อนๆ หลายๆ คนได้เขียนเป็นบทความกันมากมาย หนังสือพิมพ์น่าจะขายดีเป็นพิเศษ (จริงหรือเปล่าไ่ม่แน่ใจครับ) แล้วคุณมีทางออกกันอย่างไรครับ เมื่อคุณอยู่ในสภาพสังคมหรือสภาวะความคิดนั้น

    ผมเองใช้วิธีการสนทนา หลักๆ ที่ผมทำคือสนทนากับพระอรหันต์ประจำตัวของผม ผมมีอยู่สองรูปที่มองเห็นและอีกหลายๆ องค์ที่มองไม่เห็น

    เวลาโทรไปคุยกับพระอรหันต์นั้น ผมจะถามความทุกข์สุขในบ้านว่าสบายดีกันไหม และคนรอบๆ บ้านเป็นอย่างไรบ้าง สบายดีกันไหม มีข่าวใดๆ ให้ไม่สบายใจในหมู่บ้าน ในกรุงกันบ้าง ใครยังอยู่ใครจากไป ใครเจ็บป่วย และสารพัดธรรมชาติ สิ่งที่ทำ และการทำมาหากินแบบฉบับของเรา

    วันนี้ได้มีโอกาสสนทนาธรรมเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลง มองง่ายๆ จากสิ่งรอบตัว จากอดีตสู่ปัจจุบัน ท่านบอกว่าเืมื่อก่อน คนเราเค้าให้กัน ไม่ได้ซื้อขายกัน ใจของคนเป็นใหญ่ ที่ทำกินก็ให้กันฟรี ให้เอาไปทำมาหากิน แต่ทุกวันนี้ ฉ้อโกงเขตแดนกัน ล้ำเขตกันก็มีเรื่อง เผลอๆ รบราฆ่าฟันกันได้ง่ายๆ ใจคนเปลี่ยนไป เสื่อมลง อยู่บนชีวิตของการมือยาวสาวได้สาวเอา

    ผมเล่าท่านว่าตอนผมเคยไปทำงานกรรมกรจับกัง อยู่ที่หาดใหญ่ ราวๆ สองสาัมเดือน ผมทำงานฝึกตนเองก่อนเข้ามหาวิทยาลัยเพื่อรู้งานและฆ่าเวลาในระหว่างปิดเทอมหลังจบ ม.ปลาย จำได้ว่าตอนนั้น ทำงานเพื่องานเพื่อเรียนรู้ว่าเค้าทำกันอย่างไร สร้างตึกกันอย่างไร อยากได้พละกำลังตามแบบวัยรุ่น ผมได้เข็นอิฐหินทราย ไปให้คนอื่นก่ออิฐกำแพง และวันต่อๆ มาดัดเหล็กเส้นเล็ก กลางใหญ่ จนหมดเป็นกองๆ จนมีคนมาเตือนว่า น้องเม้งเอ๋ย อย่าทำงานให้หนักมากๆ เลย เค้าจ้างเราเพียงแค่รายวันเท่านั้น ทำยังไงก็แค่นั้น พักๆ บ้าง หยุดๆ บ้าง ไปดื่มน้ำ เดินไปนั่นนี่บ้าง ตอนนั้นเมื่อเสร็จงานเหล็กก็ได้ไปอยู่ผูกเหล็กผูกเหล็กเทพื้น แล้วไปงานโม่หิน แล้วไปงานไม้ และท้ายสุดไปงานไม้เหล็กเพื่อเทคาน  ผมทำงานไปหนึ่งเดือน วันละเก้าสิบบาท เจ้านายตอนนั้นเค้าขึ้นค่าแรงให้ผมด้วยครับ วันละ 95 บาท และบอกว่าหากเมื่อไหร่จะมาทำอีกจะยินดีรับเสมอ จากลาไปเรียนต่อด้วยความรู้สึกดีๆ ได้เจอและจำหน้าคนงานกันได้อย่างดี เหมือนเป็นพี่น้องกันเลยครับ

    พระอรหันต์ท่านก็เล่าประสบการณ์สมัยทำงานเดือนละ 280 บาทให้ฟัง จนถึงเกษียณอายุ แล้วคุยเรื่องชีวิตที่เปลี่ยนแปลง มาจนถึงยุคปัจจุบัน และมาถึงเรื่องบ้านเมืองเรา ตั้งแต่ระดับผู้นำในระดับย่อยถึงใหญ่ แล้วมองอย่างกลางๆ ถึงความเป็นไปของคน ได้ประเด็นดีๆ

    แล้วผมก็ได้คุยกับพระอรหันต์อีกรูปหนึ่ง ก็ถามทุกข์สุขและถามถึงรุ่นน้องข้างบ้านที่เสียชีิวิต เป็นเรื่องเศร้าที่ผมจากบ้านมานานตามวัย ยิ่งไกลยิ่งห่าง ผมพบว่าเพื่อนๆ ที่เคยเล่นกันมาในอดีตนั้นได้ล้มหายตายจากกันไปเยอะมากๆ เลย มองเห็นชีวิตเห็นสัจธรรม และเพิ่งทราบว่าตอนนี้ การเผาศพได้ก้าวเข้าไปสู่อีกเทคโนโลยีหนึ่งแล้วคือ

  • เมื่อก่อนเราเผาศพอาจจะเผากันที่มุมรั้วในรั้วบ้าน มุมใดมุมหนึ่ง (ตำแหน่งที่เผาญาติแบบนี้จะมีเรียวไม้ไผ่วางสุมไว้ เพราะคนเค้าถือกันว่าไม่ควรจะเหยียบดินบริเวณเผาเหมือนเหยียบคนที่เรารัก)
  • ต่อมาเราเผาที่วัด หรือเชิงตะกอนตามที่ที่จัดเตรียมไว้ ใช้ไม้ฟืน (อันนี้แบบว่าสัจธรรมอีกเช่นกันครับ คือเห็นร่างไร้วิญญาณถูกไฟกินจนชิ้นส่วนตกหล่นลงมากองกับพื้น ปลงกันได้เยอะ)
  • ต่อมาเรามีเมรุที่วัด ใ่ส่โลงศพเข้าไปแล้วก็เผาเห็นกันแต่ควันไฟ (แบบนี้จินตนาการอย่างเดียวว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก่อนเผาจะแกะสิ่งที่ตกแต่งภายนอกโลงออกแล้วงัดโลกให้ลูกหลานได้ดูเพื่อปลงกันอีกรอบ ก่อนจากร่างไร้วิญญาณรอบสุดท้าย ก่อนจะเก็บกระดูกในวาระต่อไป)
  • ตอนนี้มีอีกแบบคือ ใช้หัวแก๊ส สามารถจะกำหนดได้ว่าจะเอากระดูกไว้เยอะน้อยแค่ไหน มีหัวแก๊สจ่อที่บริเวณหัวและกลางตัวเผาเสร็จได้ภายในหนึ่งชั่วโมง
  • ต่อไปไม่แน่ใจว่าจะเป็นเทคโนโลยีใด..... แต่ก็ให้ผลลัพธ์เหมือนกันทั้งสิ้น...แล้วเราจะแก่งแย่งกันเพื่อหาอำนาจ ยศ ลาภกันไปถึงไหน คืนการให้คือสิ่งที่ยิ่งใหญ่กับธรรมชาติเพื่อนของเราน่าจะดีกว่า

    คุยได้ไม่ทันเสร็จสายตัดไป ถือว่าเป็นการจบการสนทนาอย่างเข้าใจกันและกัน

    แล้วคุณล่ะ ท่ามกลางความวุ่นวายของบ้านเมือง จริงๆ มองเป็นเรื่องธรรมดาของคนก็ได้ครับ ไม่ได้วุ่นวายใดๆ เพราะได้ชื่อว่าคน ก็คนผสมๆ กันอยู่แล้ว มันวุ่นอยู่ในตัวอยู่แล้วครับ เนี่ยเดี๋ยวผมคิดไปพิมพ์ไปแบบนี้ ก็ต้องไปคนงานลุยงานกันต่อ วุ่นกันต่อ วุ่นกันแบบธรรมดา

กราบขอบพระคุณพระอรหันต์ของผมครับ

เม้งครับ

หมายเลขบันทึก: 169430เขียนเมื่อ 6 มีนาคม 2008 20:41 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 23:00 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (10)

สวัสดีครับ

ไม่ได้แวะมาเยี่ยม..คุณเม้ง..นานแล้ว ใกล้จะกลับมาบ้านเราหรือยังครับเนี่ย

ขอให้สนุกกับทุกๆวันนะครับ

สวัสดีครับคุณข้ามสีทันดร

    สบายดีนะครับ ผมก็ไม่ค่อยได้เข้ามาเท่าไหร่ครับ หลังๆ อ่านบ้างตามวาระที่พอจะว่างครับ  ส่วนเรื่องกลับก็ใกล้ๆ แล้วครับ แต่ยังไม่ได้กำหนดครับ แต่รู้ว่าใกล้แล้วครับ

    ขอให้สนุกเช่นกันครับ เราำทำงานให้เสร็จไปทุกๆ วัน งานก็จะเสร็จของมันไปทุกๆวัน ดั่งที่ท่านพุทธทาสกล่าวไว้ครับ

ขอบคุณครับ

โอมเพี้ยง       

  • คนดีจงดีต่อไป 
  • คนร้ายจงกลายเป็นคนดี 
  • คนมิดีมิร้ายจงอยู่นิ่งๆ

สรรพสิ่งจงเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี  มีสุข มีสุขเถิด    สาธุ

มาเยี่ยมค่ะคุณเม้ง

อีกไม่นานจะกลับเหรอคะ ดีจังค่ะ รักษาสุขภาพนะคะ

สวัสดึครับ ผมเจอหัวเรื่องคุณเม้งโดยบังเอิญ รู้สึกว่าเจอคุณตอนผมเขียนบล้อกใหม่ๆ อยากแสดงความคิดเห็นนะครับ ผมว่าคนส่วนมากไม่รู้ว่าตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร (หมายถึง เกิดมาเป้าหมายที่แท้จริงในชีวิตคืออะไร อะไรคือความจริงของชีวิต ผมเคยถามฝรั่ง เขาว่าผม idiot เพราะคำถามนี้ไม่มีคำตอบให้คุณ) แต่ผมว่าชีวิต ที่ยึดติดกับสิ่งแวดล้อมที่วุ่นวาย แข่งขัน เอาเปรียบ และ sophisticated (ซับซ้อนมาก ต้องระวังตัวมาก หรือมีเงื่อนไขการดำเนินชีวิตมากอย่าง) คงไม่น่าใช่สิ่งที่ถูกต้องครับ เพราะมันไม่เห็นสร้างความสุขที่แท้จริงได้เลย

สวัสดีครับพี่เหลียง สิทธิรักษ์

    ขอบคุณมากนะครับพี่ ที่ช่วยเก็บตะกอนเป็นอย่างดีเสมอมา ศรัทธาในความเลื่อมใส ปรบมือให้ดังก้องครับ

    บวก กลาง ลบ คงต้องอยู่ด้วยกันเนอะพี่เนอะ ต้องมีบวกมีลบถึงจะทำให้ระบบมีพลัง ขับเคลื่อน เพียงแต่หากมีบวกมากก็จะนำพาสิ่งเหล่านั้นไปทางบวกมาก และในทางกลับกัน

    ขอเอาใจช่วยให้สิ่งดีๆ มีอยู่ตลอดไปครับ จริงๆ แล้วการล่มสลายของสังคมเกิดได้ไม่ง่ายนักครับ หากอิสระในการนำเสนอ และอิสระในการรับฟัง พร้อมมีความหลากหลายและเรียนรู้ประสบการณ์ในอดีตอย่างเข้าใจ เราก็คงอยู่ได้

    มีความสุขกับประสบการณ์ในการเรียนรู้ต่อไปนะครับ

สวัสดีครับพี่Sasinanda

    พี่สบายดีนะครับ ไม่ได้เข้าไปทักทายนานครับ แต่ก็ระลึกถึงพี่เสมอครับ และหลายๆ ท่านครับ พี่บ่าวพี่สาวท่านอื่นๆ เหมือนกันครับ

    คงมีโอกาสได้เจอพี่วันหนึ่งครับ รักษาสุขภาพเช่นกันนะครับ หลานตัวน้อยสบายดีนะครับ?

ขอบคุณพี่มากๆ นะครับ

สวัสดีครับคุณฉัตรชัย

    ขอบคุณมากๆ นะครับ ที่เข้ามาเยี่ยมและร่วมเสนอความเห็นครับผม สบายดีนะครับ ผมจำคุณได้นะครับ เคยเข้าไปอ่านอยู่เหมือนกันครับ

    ผมก็เห็นด้วยกับคุณนะครับ แต่ละคนก็ให้ความหมายชีวิตแตกต่างกันไปครับ แต่ละคนก็มีทางเดินแตกต่างกันบนสภาพและระบบคิด สภาพที่ตนใฝ่ฝัน ความสุขของแต่ละคนจึงแตกต่างกัน ผมเองก็ตั้งคำถามเหล่านี้กับตัวเองบ่อยๆ ครับ เราก็คงได้คำตอบในรูปแบบของเราเป็นฉบับที่เราเก็บไว้เดิน ว่าเป้าหมายชีิวิตนี้คือสิ่งใด การพัฒนาตนหรือกลุ่มคนจึงมีหลายๆ ระดับ

    ในขณะที่เราตั้งคำถามว่าเราเกิดมาเพื่ออะไร? ทำให้ผมคิดต่อไปว่า ผู้สร้างคนมา หรือธรรมชาติสร้างคนมาเพื่ออะไร? ทำไมธรรมชาติถึงให้อิสระกับเราในด้านความคิด การตัดสินใจ การเรียนรู้ อย่างในอดีตที่อยู่กับธรรมชาติ  ไม่รวมถึงการตั้งกฏเกณฑ์ของมนุษย์เองในภายหลังนะครับ

ขอบคุณมากๆ นะครับผม มีความสุขในการทำงานนะครับ

 แวะทักทาย ...คุณเม้ง

 

ขอบคุณครับแง่คิดดี ๆ ... หลายครั้งที่ทำงานเหนื่อย ๆ นั่งคิดเพลิน ๆ

 

" คนเราดำเนินชีวิตอยู่บนเส้นด้ายจริง ๆ นะครับ "

เพราะฉะนั้น หมั่นทำความดีสร้างคุณค่าให้กับชีวิต อย่าใช้ชีวีตสิ้นเปลือง มากนัก( เหมือนคนในปัจจุบัน)

เพราะถ้าพรุ่งนี้...เช้า...ตื่นขึ้นมา

...เห็นพระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกแสดงว่า เรายังต้องดำรงชีวิตบนโลกอันแสนวุ่นวายต่อไป

แต่ถ้าตื่นมาเห็นพระอาทิตย์ขึ้นทิศอื่นละ...ครับ..ยุ่งเลย

สวัสดีครับคุณวิิสิทธิ์ SINGHA THE_KOP / RODEO

  • ยินดีต้อนรับ และยินดีีที่ได้รู้จักนะครับ
  • ขอบคุณมากครับ สำหรับแง่คิดเพิ่มเติมครับ
  • ตอนคุณบอกว่าคนเราดำเนินชีวิตอยู่บนเส้นด้าย จริงๆ แล้วน่าคิดนะครับ เพราะบางทีแค่วินาทีที่เปลี่ยนชีวิตเราก็เปลี่ยนแปลงได้ทันทีครับ
  • โลกเราหมุนรอบตัวเองทุกๆ หนึ่งวินาทีนั้น จะทำให้ระยะทางที่ผิวเปลือกโลกเคลื่อนที่จนผิวโลกไปหรือหมุนไป ประมาณ 31 เมตร ในบริเวณเส้นศูนย์สูตรแถวๆ บ้านเรานะครับ
  • สิ่งจะเกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงมีโอกาสเกิดได้มากมายครับ
  • เราต้องใช้สติในการขับเคลื่อนตัวเรากันต่อไป แล้วเราจึงใช้ตัวเราไปขับอย่างอื่นอีกทีครับ
  • ขอบคุณมากๆ นะครับ มีความสุขในการทำงานนะครับ

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท