"เมื่อ น้องวิน...ลูกแรงงานไร้สัญชาติจากพม่าป่วยในประเทศไทย"
โดย ปิ่นแก้ว อุ่นแก้ววันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2551
_______________________________________________________________________
ได้ยินข่าวว่าพี่สาวที่รู้จักไปรับเด็กในวัยแบเบาะซึ่งเป็น “ลูกของแรงงานพม่า” มาดูแล พร้อมกับความสงสัยเล็กๆว่าทำได้อย่างไร เพราะที่เคยพบเจอกันนั้นดูเหมือนว่างานการที่ทำอยู่ทำให้ต้องเดินทางไปยังที่ต่างๆอยู่เสมอโดยเฉพาะการเดินทางข้ามจังหวัด ได้แต่ถามไถ่และเอาใจช่วยอยู่ห่างๆ
จนได้เจอ “น้องวิน” ครั้งแรกที่กรุงเทพฯ ที่งานเสวนาหนึ่งก็ได้เห็นเด็กชายตัวน้อย ผิวขาว หน้าตาสดใส ที่ได้ยินข่าวคราวมาก่อนหน้านี้ กระทั่งได้ข่าวอีกครั้งว่าพี่สาวต้องการทำเรื่องขอรับน้องวินเป็น “บุตรบุญธรรม” แต่ดูเหมือนความตั้งใจที่ว่ายังไม่บรรลุผล
น้องวิน หรือ ด.ช. สาะละวิน สันติวุฒิเมธี (เป็นชื่อใหม่ที่ยังไม่ได้ระบุในเอกสารของรัฐ แต่ชื่อใน “หนังสือรับรองการเกิด หรือ ท.ร.1/1 มีแค่ ลูกนางซ่วยซิน (แฝดน้อง) ไม่มีนามสกุล) เนื่องจากน้องวินถูกทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลแม่สอด แล้วสถานะบุคคลในปัจจุบันของน้องวินคืออะไร?
จากความเห็นของ รศ.ดร.พันธุ์ทิพย์กาญจนจิตรา สายสุนทร
“ คุณผึ้งก็อยากจะรับน้องวินเป็นบุตรบุญธรรม คุณผึ้งกังวลว่า กฎหมายไทยจะรับรองให้คุณผึ้งทำได้หรือไม่ ?
อาจตอบคุณผึ้งได้ว่า กรณีเป็นไปได้ตามกฎหมาย แต่ในทางปฏิบัติ น่าจะยุ่งยากมิใช่น้อย จะต้องดำเนินเรื่องในหลายขั้นตอนจนเหนื่อยอ่อน อาจประสบกับอุปสรรคจากระบบราชการพอสมควร ทั้งนี้ เพราะน้องวินนั้นไม่มีสัญชาติไทย แม้จะเกิดในประเทศไทยก็ตาม ทั้งนี้ เพราะบิดามารดาเป็นคนต่างด้าวที่เข้ามาในประเทศไทยในลักษณะไม่ถาวร
ความน่าเป็นห่วงอีกประการสำหรับน้องวินก็คือ น้องวินอาจประสบ “ความไร้รัฐ” อีกด้วย ถึงแม้น้องวินจะมี “หนังสือรับรองการเกิด (ท.ร.1/1)” ซึ่งออกโดยโรงพยาบาลแม่สอด แต่ถ้าบิดามารดาเป็นเพียงชนกลุ่มน้อยในพม่าและก็ไม่มีชื่อในทะเบียนราษฎรพม่า บิดามารดาก็ย่อมจะมีสถานะเป็นคนไร้รัฐในประเทศพม่า น้องวินก็จะมีสถานะเป็นคนไร้รัฐอีกด้วย หรือแม้บิดามารดาของน้องวินจะมีชื่อในทะเบียนราษฎรพม่าและได้รับการรับรองในสถานะของ “คนสัญชาติพม่า” ก็ตาม แต่หากบิดามารดามิได้นำหนังสือรับรองการเกิดของโรงพยาบาลแม่สอดไปแจ้งเกิดในทะเบียนราษฎรพม่า น้องวินก็ยังคงไร้รัฐ จนกระทั่งเมื่อมีการแจ้งเกิดย้อนหลังให้แก่น้องวินในทะเบียนราษฎรพม่า ไม่ว่ากรณีจะเป็นไปในลักษณะใด ในวันนี้ ก็น่าจะสรุปได้ว่า น้องวินน่าจะมีสถานะเป็น “เด็กไร้รัฐ”
...และยังมีบทบัญญัติเลวร้าย กล่าวคือ มาตรา 7 ทวิ วรรค 3 แห่ง พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ.2508 ซึ่งถูกแก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.สัญชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535 ที่ถือว่า เด็กที่เกิดในประเทศไทย แต่ไม่มีสัญชาติไทย ตกเป็นคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย น้องวินก็ถูกถือเป็น “เด็กเข้าเมืองผิดกฎหมาย” ทั้งที่เกิดในประเทศไทย เว้นแต่จะมีคำสั่งตามกฎหมายคนเข้าเมืองอนุญาตให้สิทธิเข้าเมืองแก่น้องวิน น้องวินจึงจะมีสถานะเป็นคนต่างด้าวที่เข้าเมืองถูกกฎหมาย แต่ก็ยังไม่มีคำสั่งดังว่าสำหรับน้องวิน”[1]
คำตอบสำหรับเรื่องสถานะบุคคลตอนนี้ของน้องวินคือ ยุทธศาสตร์จัดการสิทธิและสถานะบุคคล 18 มกราคม 2548 ระบุว่า “สำหรับบุคคลที่ขาดบุพการีหรือบุพการีทอดทิ้งที่ได้รับสถานะเป็นบุตรบุญธรรมตามคำสั่งของศาล ให้ได้รับสัญชาติไทย” หากแต่ในทางปฏิบัตินั้นยังต้องรอมติครม.เพื่อกำหนดแนวทางตามยุทธศาสตร์ฯดังกล่าว
และน้องวินมีโอกาสได้รับการสำรวจจากโรงเรียน เพื่อให้ได้เลขประจำตัว 13 หลัก และได้รับบัตร “ผู้ไม่มีสถานะทางทะเบียน” ซึ่งจะเป็นการบันทึกตัวตนของน้องวินทำให้ไม่ต้องไร้รัฐอีกต่อไป แต่น้องวินต้องรออีก 1 ปี จนเข้าเรียนชั้นอนุบาลเสียก่อน
นอกจากนี้ผลจากการแก้ไขกฎหมายล่าสุด ซึ่งอยู่ระหว่างลงพระปรมาภิไธยและประกาศในราชกิจจานุเบกษา คือ พ.ร.บ.สัญชาติ นั้นระบุว่า “มาตรา 12/1 ข้อ (3 ) ผู้รับบุตรบุญธรรมซึ่งเป็นผู้มีสัญชาติไทยอาจขอแปลงสัญชาติเป็นไทยให้แก่บุตรบุญธรรมที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะซึ่งได้จดทะเบียนรับบุตรบุญธรรมมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปีและมีหลักฐานแสดงให้เชื่อได้ว่าเป็นผู้เกิดในราชอาณาจักรไทย โดยให้ได้รับการยกเว้นไม่ต้องมีคุณสมบัติตามมาตรา 10 (1) และ (3)
เดิมนั้นพี่สาวเล่าว่า ไปขอคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่บ้านเด็กกำพร้าบ้านเวียงพิงค์ ซึ่งต้องนำชื่อไปเข้าในบ้านดังกล่าวก่อนที่จะยื่นขอเป็นครอบครัวอุปการะเด็ก เจ้าหน้าที่แจ้งว่าแม้แต่การนำชื่อเข้าบ้านก็ยุ่งยากและล่าช้าสำหรับเด็กต่างด้าว พร้อมแนะนำว่าทำไมไม่อุปการะเด็กไทยง่ายกว่า และเด็กจะขอแปลงสัญชาติเป็นไทยได้เมื่ออายุ 20 ปี ซึ่งดูจะเป็นคำแนะนำที่ไม่ถูกต้องนัก
ดังนั้นโดยช่องทางของยุทธศาสตร์ฯและผลของกฎหมายข้างต้นนั้น มีความเป็นไปได้ที่น้องวินจะได้รับสัญชาติไทย ซึ่งขึ้นอยู่กับว่ากระบวนการในการขอรับบุตรบุญธรรมนั้นจะรวดเร็วเพียงใดซึ่งเป็นขั้นต้นที่จะพัฒนาสถานะบุคคลของน้องวิน
แม้ว่าน้องวินอาจจะโชคดีหลังจากที่ต้องเผชิญกับโชคร้าย เพราะน้องวินอาจจะเป็นลูกแรงงานต่างด้าวในจำนวนไม่กี่คนที่เจ็บป่วย แล้วได้รับการดูแลรักษาจากโรงพยาบาลโดยได้รับเงินช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาลกว่า 7 แสนบาท ซึ่งนับว่าเป็นจำนวนเงินที่สูงมากและโอกาสที่เด็กลูกต่างด้าวคนอื่นๆจะได้รับเงื่อนไขลักษณะนี้อาจจะมีจำนวนน้อยนิด รวมไปถึงมีคนรับอุปการะดูแลอย่างใกล้ชิดให้ผ่านพ้นความเจ็บป่วยมาได้
แต่วันนี้ในระหว่างทางที่ยังไม่ได้รับสัญชาติไทย น้องวินยังต้องเผชิญกับปัญหาของสภาพร่างกายที่ไม่แข็งแรงเหมือนเด็กปกติ ภูมิคุ้มกันร่างกายไม่ดี ทำให้มีโอกาสเจ็บป่วยง่ายและหายยากกว่าเด็กปกติ ทุกวันนี้น้องวินต้องเสียค่ารักษาพยาบาลอย่างน้อยเดือนละ 500 บาท ไม่สามารถซื้อหลักประกันสุขภาพทางเลือกใดๆได้ แม้แต่ของเอกชนเองเนื่องจากมีประวัติการเจ็บป่วย
ความห่วงกังวลของพี่สาวจึงอยู่ที่ความไม่แน่นอนว่า น้องวินจะต้องเผชิญกับความเจ็บป่วยเมื่อใดและค่ารักษาพยาบาลของน้องวินที่จะเกิดขึ้นโดยไม่อาจคาดเดาได้เช่นกัน
ขอคำแนะนำเรื่องการวิเคราะห์สถานะด้วยค่ะ
แล้วก็อยากฝากจ๊อบไปตาม เรื่องการช่วยเหลือเด็กของรพ.แม่สอดด้วย เห้นว่าจะไปที่สุดท้ายพอดี เพราะความโชคดีของน้องวินในการได้รับการส่งตัวไป เรื่องกองทุน น่าสนใจค่ะ แต่ไม่มีรายละเอียดว่าเขาเลือกเด็กยังไง โอกาสการเข้าถึงเป็นยังไง
พี่ผึ้งรู้แต่ว่าเป็นความใจดีของพบยาบาลที่นั่นค่ะ
ใจพี่ว่า น่าจะตั้งชื่อว่า "เมื่อลูกแรงงานไร้สัญชาติจากพม่าป่วยในประเทศไทย..."
"เมื่อน้องวิน ลูกแรงงานไร้สัญชาติจากพม่าป่วยในประเทศ...การเดินทางของเรื่องเล่า-4"
ลองเปลี่ยนแล้วค่ะ ขอบคุณค่ะ