การบริหารความแตกต่าง : พุทธกับอิสลาม ที่โรงเรียนวัดเจดีย์หอย


การบริหารความแตกต่าง โรงเรียนสุนทโรมตตาประชาสรรค์ วัดเจดีย์หอย ลำตัดสุนทโรศิษย์หวังเต๊ะ

         เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2551 ได้รับโทรศัพท์เชิญให้ไปร่วมงานเลี้ยงส่ง ผอ.มยุรี ทรัพย์บุญ ผอ.โรงเรียนสุนทโรเมตตาประชาสรรค์ ตั้งอยู่ในที่ธรณีสงฆ์วัดเจดีย์หอย เนื่องจากได้รับคำสั่งให้ย้ายไปดำรงตำหน่ง ผอ.โรงเรียนบัวแก้วเกษร ทราบว่าเป็นโรงเรียนที่มีจำนวนนักเรียนมากขึ้น ขอแสดงความยินดีด้วยครับท่มีความก้าวหน้าขึ้น

         ข้าพเจ้าได้รู้จักและเห็นความก้าวหน้าของโรงเรียนนี้มาร่วม 10 ปี ในการจัดงานเลี้ยงส่งครั้งนี้ ทราบว่าหลวงพ่อวัดเจดีย์หอย (ลพ.ทองกลึง เจ้าอาวาส) ได้มาบัญชาการด้วยตนเอง เดิมที ร.ร.จะจัดเลี้ยงเล็ก ๆ ในห้องประชุม แต่อหลวงพ่อก็มาดำเนินการจัดให้ ให้ย้ายไปจัดในสนามฟุตบอล จัดเวทีแสดงดนตรี การแสดงลำตัดของศิษย์เก่าแลศิษย์ปัจจุบัน ในคณะ "สุนทโรศิษย์หวังเต๊ะ" ดนตรีลูกทุ่ง ตลก นักร้องคนดังที่มามีหลายท่าน และมีหางเครื่องประกอบตามฟอร์ม อาหารเป็นต๊ะจีนประมาณ 60 โต๊ะ ตอนที่ข้าพเจ้ามา ได้รับการต้อนรับด้วยความอบอุ่นและประทับใจ มีแขกเหลื่อเต็มทุกโต๊ะ  ข้าพเจ้าถูกพามาท่โต๊ะ V.I.P. ที่นี้ได้นั่งร่วมกับอิสลามิกชน จำนวนหนึ่งคนละฝั่งหัวท้าย  มาสักครู่หนึ่งทราบว่าท่านหล่านี้ได้ไปละหมาด อีกสักครุ่จะกลับมาทานต่อ  เป็นสิ่งที่น่าประทับใจประการหนึ่งที่ท่านเคร่งครัดในศาสนกิจ และเมื่อพิธีการได้นิมนต์หลวงพ่อขึ้นเวทีเพื่อให้ ผอ.และคณะครูได้กล่าวแสดงความรู้สึก ก็เป็นสิ่งท่น่าประทับใจอีกครั้งหนึ่ง ขณะที่ ผอ.กำลังกล่าวแสดงความรู้สึกเป็นบทกลอน ก็สังเกตเห็นภาพที่ถ่ายทอดผ่านวงจรเห็นหลวงพ่อท่านกำลังใช้ผ้าเช็ดน้ำตา ทำให้คนที่นั่งข้างข้าพเจ้า in รู้สึกร่วมเข้าไปด้วย น้ำตาซึมหมือนกัน จากนั้น ผอ. ได้มอบกลอนท่อ่านให้หลวงพ่อ ๆ ก็ได้มอบภาพถ่ายของท่านให้กับ ผอ. แล้วกล่าวสัมโมทนียคาถา ด้วยความรู้สึกท่ประทับใจกับ ผอ.คนนี้มา โดยท่านกล่าวถึงจุดเด่นของ ผอ.ไว้ 3 ประการซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของท่านคือ

      (1) สั่วแล้วทำ        (2) ทำแล้วรับผิดชอบ   และ (3) ทำแล้วปรึกษา  โดยเฉพาะข้อที่สามจะเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากที่ทำให้การบริหารระหว่างวัดกับโรงเรียนเป็นไปด้วยคสามราบรื่น เรียบร้อย
      นอกจากนั้นท่านยังได้บอกว่าวัดเจดีย์หอยเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ทำให้ชาวบ้านมีรายได้ เพิ่มเศราฐกิจของครอบครัวและชุมชน มีโบราณวัตถุจำนวนมากที่ควรจะได้รับการดูลรักษาจากทางราชการ ท่านได้ฝากบอกผ่านนักการเมืองท้องถิ่น และนายอำเภอท่มาร่วมงานเพื่อขอรับการสนับสนุนก่อสร้างอาคารโบราณวัสดุเหล่านี้ และการก่อสร้างสะพานเชื่อมต่อระหว่างโรงเรียนกับวัด  ซึ่งท่านได้บอกว่าสพานดังกล่าวที่ทรุดนี้มีคนใช้มากกว่า 100 คนต่อวัน ท่านได้ใช้ข้อมุลเชิงสถิติมานำเสนอทำให้ข้อมูลมีความน่าเชื่อือยิ่งขึ้น

      อีกท่านหนึ่งที่น่าสนใจคือนายประดิษฐ์ รัตนโกมล ประธานศาสนาอิสลามจังหวัดอยุธยา ได้มาร่วมงานนี้ด้วย ก็ได้รับเชิญให้ขึ้นไปกล่าวแสดงความรู้สึก และเหตุใดท่านอย่ จ.อยุธยาถึงได้มาร่วมงาน ท่านได้กล่าวว่าท่านรู้สึกประทับใจใน ผอ.ที่บริหารจัดการความแตกต่างระหว่างศาสนา 2 ศาสนาคือศาสนาพุทธกับอิสลามได้เป็นอย่งดี โรงเรียนรับนักเรียนอิสลาม เปิดสอนอิสลามศึกษา เปิดห้องทำละหมาดให้นักเรียน ในวันศุกร์ จัดทำหลักสูตรและสอบนักธรรมและอิสลามศึกษา  ท่านจึงได้ขอโล่เกียรติยศไปยังจุฬาราชมนตรีเพื่อมอบให้แก่ นางมยุรี  ทรัพย์บุญด้วย เป็นเรื่องที่น่ายินดีและประทับใจอีกเรื่องหนึ่ง

     ส่วนในเรื่องของโรงเรียนทราบว่าโรงเรียนได้จัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนสำคัญ ให้นักเรียนได้ฝึกปฏิบัติจริง เน้นการฝึกอาชีพและการสร้างรายได้ เน้นคุณธรรมนำความรู้สู่เศรษฐกิจพอเพียง มีการปลูกพืช ผัก ผลไม้ เลี้ยงปลาในกระชัง การผูกผ้าซึ่งมีพระมาสอนให้ การทำไข่เค็ม การแปรรูปอาหาร และอื่น ๆ อีกหลายเรื่องที่ในเวลาสั้น ๆ นั้นแท้ที่จริงแล้ว โรงเรียนยังมีสิ่งดี ๆ อีกมาก โดยเฉพาะลำตัดคณะสุนโทรศิษย์หวงเต๊ะ เรื่องนี้เป็นเรื่องท่มีชื่อเสียงมากของโรงเรียน มีการเชิญศิลปินแห่งมาสอน ถ่านทอดความรู้ไว้สืบทอดให้แก่ลูกลาน  ต้องขอเชิญชวนท่านท่สนใจไปเยี่ยมชมและให้ข้อเสนแนะได้ที่โรงเรียนนะครับ  ขอบคุณ 

     ต้องขอบคุณครูพยุง  เพ็ชรงามที่ได้เชิญให้มาร่วมกิจกรรมและได้รับทราบเรื่องดี ๆ และสิ่งท่ประทับใจมากมาย หลายเรื่อง ขอให้ ผอ.มยุรี  ทรัพย์บุญ ได้ไปรับหน้าที่การงานใหม่ ขดให้ทำงานอย่างอย่างมีความสุข และสนุกอยู่กับงานนะครับ มีอะไรให้รับใช้ บอกได้นะครับ  ยินดี

จาก.....กิตติ  กสิณธารา



ความเห็น (2)

ความแตกต่างระหว่าง

ศาสนาพุทธกับอิสราม

ยุทธการล้างพุทธศาสนา-ล้มสถาบันกษัตริย์ในเวียตนาม

ในช่วงการรบระหว่างฝรั่งเศสกับกองทัพกู้ชาติเวียตนามนั้น ได้มีการวิเคราะห์สถานการณ์ดังกล่าวขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๙๓ โดยสภาความมั่นคงแห่งชาติ (National Security Council (NSC) ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งมองเห็นว่า เป็นช่วงที่จะต้องรีบฉกฉวยโอกาส ที่ฝรั่งเศสเพลี่ยงพล้ำนี้ เข้ายึดครองเวียตนามเสียเอง จึงได้มีความเห็นร่วมกันว่า

"ประเทศสหรัฐอเมริกา จะต้องดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของสหรัฐในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเริ่มที่ประเทศเวียตนามนี้ให้ได้โดยฉับพลัน และไม่ต้องคำนึงถึงรูปแบบวิธีการในการปฏิบัติการ แต่ให้บรรลุเป้าประสงค์คือการ ยึดครองให้ได้หมดทั้งภูมิภาค ทั้งนี้ให้ถือเป็นนโยบายถาวรของสหรัฐอเมริกา ซึ่งรัฐบาลทุกรัฐบาลจะต้องปฏิบัติให้บรรลุเป้าหมายตามนี้ (PANTAGON Confidential Report, Feb ๑๙๕๐) เป็นนโยบายถาวรมหาอำนาจ "ไม่สนับสนุนระบบกษัตริย์" ทุกกรณี ในลักษณะเดียวกันจึงให้การสนับสนุนในการโค่นล้มระบบกษัตริย์ของประเทศเวียตนาม โดยร่วมมือกับองค์กรคริสเตียนคาทอลิค ให้การสนับสนุน โง ดินห์ เดียม ให้โค่นล้มระบอบกษัตริย์ในประเทศเวียตนาม ในทันทีที่จังหวะและเวลาเอื้ออำนวย

จากการพ่ายแพ้ในยุทธการ "เดียนเบียนฟู" นั่นเอง ทำให้ประเทศฝรั่งเศสวางแผนการใหม่ ที่จะใช้อิทธิพลทางการเมือง เพื่อประโยชน์ทางการค้า ในทรัพยากรธรรมชาติของเวียตนามต่อไป จึงได้มีการเสนอให้มีการลงนาม ในสัญญาเจนีวา เพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วประเทศขึ้น (รวมเหนือใต้) โดยฝรั่งเศสจะใช้เงินลงทุนที่จะสนับสนุนคนของตน ให้ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี และครองเสียงข้างมากในรัฐบาลประเทศเวียตนาม

ก่อนที่เราจะดำเนินเรื่องต่อไป ขอพาผู้อ่านมารู้จักกับบุคคลซึ่งต่อไปจะมีบท บาทในการทำลายล้างพระพุทธศาสนา ตามคำสั่ง VATICAN COUNCIL 2 ดังนี้

๑. โง ดินห์ เดียม เกิด เมื่อวันที่ ๓ มกราคม ๒๔๔๔ ในครอบครัวคริสเตียนโรมันคาทอลิค ที่เคร่งศาสนามาก ที่เมือง ไดฮอน มลฑลวานบิน ซึ่งเป็นตอนกลางของประเทศเวียตนาม โง ดินห์ เดียม ลักษณะภายนอกจะเห็นเป็นคนที่เรียบร้อย สุขุม พูดจาเจ้าหลักการ เชือดเฉือนฝ่าย ตรงข้าม แต่ไม่หยาบคาย มองดูแล้วจะมีลักษณะอ่อนน้อมถ่อมตน แต่โดยนิสัยแท้จริงกลับตรงกันข้าม เป็นบุคคลที่มีความคดในข้องอในกระดูก พร้อมที่จะหักหลัง หรือเหยียบย่ำทันที่ที่บุคคลใดก็ตามไร้ประโยชน์ หรือจะทำให้เกิดโทษกับเขา ทำลายทุกคนที่เป็นอุปสรรคทางการเมือง ในทุกวิถีทาง นี่คือลักษณะที่ตรงกันข้ามในคนๆ เดียวกัน นับถือและเคร่งในศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิคที่สุด

๒. มาดาม โง ดินห์ นู ภรรยาของ โง ดินห์ นู เป็นผู้นับถือคริสต์โรมันคาทอลิค และมีความพอใจในการกระทำทุกอย่าง ที่จะก่อความสูญเสีย ให้เกิดขึ้นกับพระพุทธศาสนา เพราะเธอเชื่อว่า "ผู้ไม่นับถือในพระเจ้าคือสาวกซาตานที่ต้องถูกกวาดล้างทำลาย" และมีความเห็นสำหรับพระภิกษุสงฆ์ในพุทธศาสนาว่า "คุณไม่คิดหรือว่าพวกที่เป็นพุทธน่ะ คือพวกอันธพาลนี่เอง แต่อาศัยห่มผ้าเหลืองเท่านั้น"

๓. โง ดินห์ ถึก เป็นพี่ชายของ โง ดินห์ เดียม ได้รับแต่งตั้งจากวาติกัน ให้มีตำแหน่งเป็น สังฆราชของคริสเตียนโรมันคาทอลิค จากผลงานการปราบปรามและฆ่าล้างศาสนาพุทธ โดยควบคุมกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย และตำรวจลับที่เป็นชาวเวียตนามที่เข้ารีตคริสเตียนแล้ว ทั้งยังมีอิทธิพลต่อกองทัพเวียตนามด้วย

ช่วงปี ๒๔๙๔ ถึง ๒๔๙๖ โง ดินห์ เดียม ได้เดินทางไปสหรัฐอเมริกา เพื่อรับการอบรมในหลักสูตรลับเฉพาะโดยการสนับสนุนจาก "วุฒิสมาชิก แมนฟิล (ซึ่งต่อมาได้ถูกย้ายมาเป็นเอกอัคราชทูตประจำประเทศญี่ปุ่น) และวุฒิสมาชิกจอนห์ เอฟ. เคเนดี้ (ต่อมาได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐเอมริกา) และบุคคลผู้นำของสหรัฐอเมริกาอื่นๆ อันเป็นการปูทางวางตัวบุคคล ที่จะเป็นผู้นำในการโค่นล้มระบบกษัตริย์ของประเทศเวียตนาม

วันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๔๙๗ เป็นช่วงก่อนสัญญาเจนีวาจะถูกลงนามโดยจักรพรรดิเบ๋าได๋ กษัตริย์เวียตนาม ได้มอบหมายให้ โง ดินห์ เดียม จัดตั้งรัฐบาล ดังนั้นในวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๔๙๗ จึงมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งรัฐบาล โง ดินห์ เดียม เป็นรัฐบาลตามกฎหมาย สหรัฐอเมริกาได้จัดส่ง นายพลรันเดล คริสเตียนโรมันคาทอลิคผู้เคร่งศาสนา หัวหน้าซี.ไอ.เอ มาเป็นที่ปรึกษาทางการทหารให้กับรัฐบาล โง ดินห์ เดียม ซึ่งวางแผนให้รัฐบาลใช้กลยุทธ์จิตวิทยาหลอกพุทธศาสนิกชนชาวเวียตนาม เพื่อสร้างกระแสความนิยมของประชาชน ให้ยอมรับมหาอำนาจคือ สหรัฐอเมริกา และ โง ดินห์ เดียม โดยประกาศว่า จะยกเลิกพระราชกฤษฏีกาที่กดขี่พุทธบริษัท ชาวเวียตนาม ซึ่งฝรั่งเศสประกาศมีผลใช้บังคับอยู่นั้นโดยเร็วที่สุด

ในปี พ.ศ.๒๔๙๘ ชาวพุทธในเวียตนามได้ก่อตั้งวัดซาลอย และพุทธสมาคมมหายานขึ้นที่ปลายถนนแวร์ดัง ห่างไปทางด้านทิศใต้ของทำเนียบรัฐบาล ๑ กม. พร้อมกับได้ร่วมกันก่อสร้างเจดีย์สูงสง่า ๙ ชั้นขึ้น นับว่าเป็นเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดจัดเป็นศูนย์กลาง และศูนย์รวมจิตใจของชาวพุทธในเวียตนาม เจดีย์นั้นภายในแบ่งเป็นห้องๆ หลายร้อยห้องใช้เป็นที่ปฏิบัติภาวนาของพระภิกษุสงษ์ และพุทธบริษัทโดยทั่วไป ซึ่งสามารถบรรจุคนได้เป็นจำนวนพัน นับว่าเป็นช่วงที่ศาสนาพุทธ กลับมารุ่งเรืองในประเทศเวียตนามอีกครั้งหนึ่ง โดยมีผู้สร้างวัดฝ่ายเถรวาทขึ้นอีกถึง ๔๐ กว่าวัดในปีเดียวกันนั้นเอง โดยชาวเวียตนามที่ศรัทธาในพุทธศาสนา และเข้ามาอุปสมบทในประเทศไทย กลับไปเป็นเจ้าอาวาสในวัดเหล่านี้แต่ใครจะรู้บ้างว่า นี่คือแสงสว่างของเทียนวูบสุดท้ายเมื่อใกล้ดับของ พระพุทธศาสนาในประเทศเวียตนาม การรวมตัวอย่างเข้มแข็งของชาวพุทธนี้เอง สร้างความไม่พอใจให้กับ นายพลรันเดล และบาทหลวงคริสเตียนโรมันคาทอลิคเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากพุทธศาสนา กำลังจะกลับมามีอิทธิพลในประเทศเวียตนามอีกครั้ง โดยการสนับสนุนของสถาบันพระมหากษัตริย์ และพุทธศาสนิกชนอันเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ อันจะทำให้ผลประโยชน์ ซึ่งคริสจักรจะได้รับจากคริสต์ชน ซึ่งผูกขาดธุรกิจในเวียตนามจะลดน้อยลงไปด้วย

ดังนั้น เพื่อผลประโยชน์ร่วมของคริสต์จักรโรมันคาทอลิคและประเทศมหาอำนาจ จึงมีความเห็นร่วมกัน ที่จะต้องโค่นล้มสถาบันกษัตริย์ลงไปให้ได้ แต่ทั้งนี้ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายนัก เพราะสถาบันกษัตริย์ยังมีกองทัพ ที่จงรักภักดีต่อราชบัลลังค์อยู่ การวางแผนจึงต้องแนบเนียนและได้ผล จึงเป็นหน้าที่ของบาทหลวงคริสเตียนโรมันคาทอลิคจะต้องดำเนินการ โดย CIA จะให้เงินทุนสนับสนุนในการปฏิบัติการดังกล่าวนี้ ในเวียตนามขณะนั้น กองทัพที่สนับสนุนสถาบันกษัตริย์จักรพรรดิเบ๋าได๋ มีอยู่ ๓ กองทัพด้วยกันคือ

๑. กองทัพปิ่นเชวียง ซึ่งนำโดยนายพลเวียน จัดว่ามีกำลังมากที่สุด และดูแลกรมตำรวจด้วย

๒. กองทัพก๋าวด่าย มีกำลังพลพอประมาณ

๓. กองทัพหว่าหาว นำโดยนายพลบากัด มีกำลังน้อยที่สุด

ทั้งสามกองทัพนี้ล้วนมีทหารที่นับถือพุทธศาสนาทั้งสิ้น จัดเป็นศัตรูตัวสำคัญของการขยายตัว และผลประโยชน์ของคริสต์ศาสนาอย่างยิ ่งการวางแผนดังกล่าวนั้น ได้กำหนดเอาตัวบุคคลคือ โง ดินห์ เดียม ซึ่งเป็นผู้ใต้อาณัติของอเมริกันและเป็นคริสเตียนโรมันคาทอลิค ขึ้นปกครองประเทศแทน การดำเนินงานต้องทำอย่างรวดเร็วฉับพลัน โดยอาศัยจังหวะเวลาที่ จักรพรรดิเบ๋าได๋เสด็จเยือนยุโรป เพื่อกระชับสัมพันธไมตรี และประกาศให้ชาวโลกรู้ว่า ประเทศเวียตนามจะมีการเลือกตั้ง ตามที่พระองค์ได้ทรงลงนามไว้ ในสัญญาเจนีวากับฝรั่งเศส เพื่อให้ประเทศเวียตนามมีสันติสุขเสียที หลังจากที่รบทัพขับสู้กันมาเป็นร้อยปี ดังนั้นการปฏิบัติการสลายกองทัพทั้งสาม และสถาบันกษัตริย์จึงเกิดขึ้น โดย

ทหารเวียตนามคริสเตียน ภายใต้การวางแผนของ CIA ส่วนหนึ่งทำหน้าที่เผาทำลายหมู่บ้านที่นับถือพุทธศาสนา แล้วประกาศว่าเป็นคำสั่งของราชวงศ์เบ๋าได๋ให้มากวาดล้างชาวพุทธ และในการปฏิบัติภารกิจทุกครั้ง จะประสานกับชาวเวียตนาม ที่เข้ารีตเป็นคริสเตียน จะกระจายข่าวให้กับผู้นับถือพุทธว่า วันไหนทหารของพวกราชวงศ์เบ๋าได๋ จะเผาวัดพุทธศาสนาที่ใดหมู่บ้านไหนบ้าง ซึ่งก็เกิดขึ้นตามนั้นเพราะเป็นการวางแผนโดย CIA เพื่อทำลายความจงรักภักดีของประชาชน และสร้างความเกลียดชังต่อสถาบันพระมหากษัตริย์

ทหารอีกส่วนหนึ่งได้ส่งคนปลอมใส่เครื่องแบบกองทัพปิ่นเชวียงหลายสิบคน ทำเป็นเมาแล้วไปทำร้าย และฆ่าทหารของกองทัพก๋าวด่ายตายหลายคน จากนั้นใช้สาย CIA ชาวเวียตนามที่อยู่ภายในกองทัพก๋าวด่าย ปลุกกระแสให้ล้างแค้นกองทัพปิ่นเชวียง ซึ่งก็ได้ผลกองทัพก๋าวด่ายส่งทหารออกไปล้อมกรมตำรวจ ทหารทั้งสองกองทัพสู้รบกันอยู่ ๓ วัน ในที่สุดฝ่ายก๋าวด่าย ซึ่งได้รับการสนับสนุนอย่างลับๆ จาก CIA ได้รับชัยชนะ เป็นอันว่า กองกำลังที่รักษาราชบัลลังค์กษัตริย์สลายไปหนึ่งกอง ด้วยเหตุการณ์ดังกล่าวนั้นทำให้จักรพรรดิเบ๋าได๋ ไม่สามารถเสด็จกลับประเทศเวียตนามได้ จึงยังคงพำนักอยู่ในประเทศฝรั่งเศสต่อไป กระแสของประชาชนเวียตนามเริ่มสับสนต่อสถาบันกษัตริย์

ในด้านของ CIA หากยังไม่สามารถทำลายกองทัพที่จงรักภักดีต่อราชบัลลังค์ได้หมดแล้ว ก็นับว่าอุปสรรคของคริสต์ศาสนาโรมันคาทอลิค และประเทศมหาอำนาจที่ต้องการยึดครองเวียตนามยังไม่หมดไป ฉะนั้นการกวาดล้างกองทัพของกษัตริย์ที่เหลือ จึงถูกดำเนินการอย่างเร่งด่วนก่อนที่จะมีผู้ไหว ตัวรู้เท่าทันในแผนการ ไม่มีอะไรใหม่คงใช้แผนเดิม คือใช้พรรคพวกปลอมเป็นทหารของกองทัพหว่าหาว ไปฆ่าทหารของกองทัพก๋าวด่าย ก็เกิดสู้รบกันขึ้น และช่วงนี้เอง CIA ได้มีคำสั่ง ให้ โง ดินห์ เดียม แสดงผลงาน โดยสั่งให้กองทัพออกช่วยกองทัพก๋าวด่าย อันที่จริงคือการทดสอบการใช้อำนาจสั่งการว่าทหารจะเชื่อฟัง โง ดินห์ เดียม หรือไม่ เพราะตามกฎหมายแล้ว โง ดินห์ เดียม ไม่ใช่ผู้สำเร็จราชการและไม่มีอำนาจสั่งการทหารเลย แต่เนื่องจากว่า กองกำลังของอเมริกันขณะนั้นมีอยู่ในเวียตนามบ้างแล้ว และ โง ดินห์ เดียม ได้ถูกสร้างภาพว่า เป็นผู้สามารถเรียกใช้กองทัพต่างชาติได้ ซึ่งเป็นการวางแผนปูทางให้กับ โง ดินห์ เดียม ไว้ตั้งแต่ต้น ดังนั้นจึงเป็นที่ยอมรับกลายๆ ของกองทัพเวียตนามไปด้วย ในการสั่งการต่อกระทรวงกลาโหม แน่นอนที่สุด โง ดินห์ เดียม ย่อมได้รับชัยชนะ เพราะกองทัพหว่าหาว เป็นกองทัพที่เล็กที่สุด และปราศจากอาวุธอันทันสมัย จึงถูกตีแตกไปเพียงชั่วข้ามคืน ทำให้ โง ดินห์ เดียม สามารถกลายเป็นผู้นำของกองทัพไปโดยปริยาย เพราะไม่มีกองทัพใดเหลืออยู่พอที่จะแข็งข้อได้อีกต่อไป นับเป็นแผนการชั้นประถมแต่ใช้ได้ผลนั่นเพราะมีบุคคลที่ขายชาติร่วมด้วยนั่นเอง

ในช่วงเวลาดังกล่าวนั้นจักรพรรดิเบ๋าได๋ ยังไม่สามารถกลับสู่ประเทศเวียตนามได้ เพราะมีการสร้างสถานการณ์ว่า มีการสู้รบอยู่แทบทุกพื้นที่ ในขณะเดียวกัน CIA และบาทหลวงคริสเตียนก็ร่วมกันปล่อยข่าวว่า "จักรพรรดิเบ๋าได๋ ผู้ทำลายพุทธ เป็นผู้ละทิ้งแผ่นดินและประชาชน ไม่สมควรเป็นกษัตริย์ปกครองชาวเวียตนามต่อไป" สื่อมวลชนที่อยู่ภายใต้การควบคุมของ CIA ออกข่าวต่อเนื่องซึ่งไม่ตรงต่อความจริง เพราะโดยความเป็นจริงแล้วจักรพรรดิ ไม่เคยทอดทิ้งราษฏรของพระองค์เลย ทรงดูแลไพร่ฟ้าประชาชน อย่างเต็มพระสติกำลัง ข้าราชการของพระองค์คนใด ที่กดขี่ข่มเหงประชาชน ก็จะเสด็จไปสอบสวนลงโทษ ด้วยพระองค์เอง (ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือ ข้าราชการที่เข้ารีตเป็นคริสเตียนโรมันคาทอลิค) การเสด็จตรวจราชการ ก็ไม่มีพิธีรีตรองไม่มีกำหนดการ จึงสามารถจับทุจริตข้าราชการ ที่ร่วมมือกับต่างชาติได้เสมอ ทำให้พลเมืองทั้งประเทศเวียตนามทั้งสิ้น รวมทั้งกองทัพทั้งสามนั้น ถวายความจงรักภักดีต่อพระองค์เป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะพุทธศาสนิกชนย่อมเคารพเทิดทูนท่านอย่างที่สุด แต่กลับกลายเป็นศัตรูที่สำคัญ ของประเทศมหาอำนาจ โดยเฉพาะคริสต์จักรโรมันคาทอลิค จะมีอุดมการณ์ว่า "พระเจ้าย่อมมีความสำคัญสุด ส่วนกษัตริย์ไร้ความหมาย" จึงจะเห็นได้ในทุกประเทศ ที่เป็นคริสเตียนนั้นจึงทำลายสถาบันกษัตริย์ จนเกือบหมดสิ้น เพราะเชื่อว่าสันตะปาปาย่อมอยู่เหนือกษัตริย์ในโลกนี้ ดังนั้นการสร้างกระแสรุนแรงทำลายล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ในเวียตนามจึงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง อันเป็นไปตามแผนที่มหาอำนาจ และคริสต์จักรโรมันคาทอลิคได้วางไว้ ทำให้พระราชวงศ์ซึ่งล้วนนับถือพระพุทธศาสนา ต้องพากันอพยพเดินทางออกจากประเทศ เวียตนาม เพื่อความปลอดภัย ส่วนจักรพรรดิเบ๋าได๋ก็ไม่สามารถเสด็จ นิวัติกลับสู่ประเทศเวียตนามได้

และในเดือน กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๙๙ โง ดินห์ เดียม ประกาศไม่ยอมรับการลงนามสัญญาเจนีวา และไม่ยอมให้มีการเลือกตั้งทั่วประเทศ ตามสัญญาเจนีวา โดยอ้างเหตุผลว่า "รัฐบาลเวียตนามไม่ได้เป็นผู้ลงนามในสัญญาที่เจนีวา ผู้ลงนามไม่ได้เป็นตัวแทนรัฐบาล (จักรพรรดิเบ๋าได๋ เป็นผู้ลงนาม) ดังนั้นข้อตกลงในสัญญาที่ให้มีการเลือกตั้งทั่วประเทศนั้น จึงไม่มีสิทธิ์มาผูกมัดรัฐบาล (โง ดินห์ เดียม) ได้" และนี่คือคำพูดที่ทำให้ประเทศเวียตนามแบ่งออกเป็น ๒ ประเทศ โดยเขตเส้นขนานที่ ๑๘ เหนือเมืองเว้ ๘๐ กม. ตามแผนที่ยุทธศาสตร์ฝรั่งเศสได้ทำไว้ เป็นการเริ่มต้นของสงครามเวียตนาม นับแต่นั้นเป็นต้นมา โง ดินห์ เดียม จึงกลายเป็นประธานาธิบดี โดยการโค่นล้มสถาบันกษัตริย์จากการสนับสนุนของ CIA และคริสต์จักรโรมันคาทอลิคซึ่ง เป็นผู้วางแผนการขึ้นนั่นเอง สถาบันกษัตริย์ของเวียตนามที่สืบเนื่องนับเป็นพันปี ก็หายไปจากประวัติศาสตร์เวียตนามชั่วนิรันดรนับแต่นั้นมา

จากการแบ่งประเทศเวียตนามโดย โง ดินห์ เดียม นี้เอง ทำให้พุทธศาสนิกชน และประชาชนผู้รักชาติ พากันอพยพขึ้นสู่ภาคเหนือ (เวียตนามเหนือ) นับล้านคน เป็นชาวเขาซึ่งติดตามจักรพรรดิเบ๋าได๋ประมาณ ๒ แสนคน และเขาเหล่านี้เอง ที่ได้กลายเป็นผู้ที่ถูกประเทศมหาอำนาจ ตั้งให้เป็น "ผู้ร้าย" ไปในที่สุด สำหรับรัฐบาล โง ดินห์ เดียม เข้าปกครองประเทศภายใต้การบริหารของอเมริกา และสภาคริสต์จักรโรมันคาทอลิค จึงเป็นเพียงรัฐบาลหุ่นเชิดเท่านั้น

การปราบปรามผู้ต่อต้านนี้เองจึงเป็นโอกาสให้คริสเตียนโรมันคาทอลิค อันมี โง ดินห์ ถึก อธิบดีกรมตำรวจ ซึ่งเป็นพี่ชายของประธานาธิบดี โง ดินห์ เดียม ทำการทำลายล้างพระภิกษุสงฆ์ในพุทธศาสนาทุกท้องที่ ตำรวจลับทั้งหมด ล้วนเป็นชาวเวียตนามที่เข้ารีตเป็นคริสเตียน มีหน้าที่กำจัดพระสงฆ์ และชาวพุทธเท่านั้น และมีรางวัลในการฆ่า หรือกวาดล้างชาวพุทธโดยการให้เงินหรือเลื่อนขั้น ทำให้พุทธบริษัทเวียตนามอยู่อย่างหวาดผวา แม้กระทั่งพระภิกษุสงฆ์ทำการสวดมนต์ หากตำรวจลับได้ยิน จะฆ่าทิ้งในข้อหาสวดมนต์สาปแช่งรัฐบาล จากผลงานในการกวาดล้างพุทธศาสนิกชนอย่างหฤโหดนี้เอง ทำให้วาติกันพอใจและแต่งตั้งให้ โง ดินห์ ถึก เป็นสังฆราชของคริสเตียนโรมันคาทอลิคเวียตนาม พร้อมกับแต่งตั้งให้ โง ดินห์ ถึก ควบคุมกระทรวงศึกษาธิการอีกตำแหน่งหนึ่ง โดยเป็นผู้มีอำนาจ กำหนดตำราเรียนแก่เยาวชนในประเทศเพียงผู้เดียว ทั้งนี้เพื่อเป็นการควบคุมบทเรียนที่สนับสนุนพระพุทธศาสนา และคุมสมองเยาวชนของชาติให้ยอมรับ เฉพาะคริสต์ศาสนาเท่านั้น ในส่วนหนังสือที่เป็นหลักสูตรพุทธศาสนานั้น ก็แก้ไขแทรกคำสอนคริสเตียนเข้าไปโดยบาทหลวงโรมันคาทอลิคเป็นผู้จัดทำขึ้น

กลุ่มคริสเตียนโรมันคาทอลิคยังได้ตัดโค่นป่าไม้ตามโครงการเกษตรของ โง ดินห์ เดียม และเงินทั้งหมดที่ขายไม้ได้ ถูกนำไปให้กับองค์กรคาทอลิคทั้งหมด โดยคำสั่ง โง ดินห์ เดียม

การทำลายขนบธรรมเนียม วัฒนธรรม ประเพณีที่สืบทอดต่อกันมานับแต่บรรพบุรุษ ระดมผ่านเข้ามาโดยนักธุรกิจอเมริกัน ทั้งยาเสพย์ติด และซ่องโสเภณี เพิ่มขึ้นอย่างมากมาย โดยข้าราชการที่เป็นคริสเตียนให้การสนับสนุน แม้กระทั่งใช้วัด เพื่อจัดงานสังสรรค์ พร้อมหญิงโสเภณี และบังคับพระภิกษุสงฆ์ในพุทธศาสนา ทำหน้าที่เสริฟอาหารบริการข้าราชการเหล่านี้

บาทหลวงหรือผู้เข้ารีตนับถือคริสเตียนโรมันคาทอลิคจะได้รับประโยชน์พิเศษหลายประการ เช่นสามารถทำอะไรก็ได้อย่างเสรี โดยไม่ต้องขออนุญาต โดยเฉพาะ ของกินของใช้ในตลาดเมืองเว้ ซึ่งติดป้ายไว้ว่า "ห้ามขายหรือแลกเปลี่ยน - ของสำหรับแจกคนยากจนเท่านั้น" ก็ปรากฏว่าบาทหลวงคาทอลิคก็นำออกขายเก็บรายได้เป็นของตนเป็นปกติ ในขณะที่พระสงฆ์ใน พุทธศาสนาไม่สามารถจะหาซื้อสินค้าได้ในตลาด เพราะจะถูกตำรวจลับของ โง ดินห์ ถึก จับในข้อหาสะสมเสบียงไว้ต่อต้านรัฐบาล

--------------------------------------------------------------------------------พระพุทธศาสนา กับสถาบันพระมหากษัตริย์เปรียบประดุจดั่งลมหายใจกับชีวิต ยังความร่มเย็นเป็นสุขให้กับปวงประชาในประเทศอยู่รวมกันอย่างสันติสุข แต่เมื่อสิ้นสถาบันหนึ่งสถาบันใดเสียแล้ว ก็เปรียบประดุจสังขารที่ไร้ลมหายใจ รอวันสิ้นชาติว่าจะมาถึงเมื่อใดเท่านั้น

การกดขี่ทารุณและกวาดล้างพุทธศาสนิกชนในเวียตนามเป็นไปทุกรูปแบบ ตามอารมณ์ของเจ้าพนักงาน และสนองตัณหาของรัฐบาลคริสเตียนโรมันคาทอลิคอันมี โง ดินห์ เดียม เป็นหัวหน้ารัฐบาล พระราชกฤษฏีกฉบับที่๑๐ อันมีเนี้อหาที่กดขี่ชาวพุทธซึ่งฝรั่งเศสออกไว้นั้นก็มิได้ยกเลิกตามสัญญา ซ้ำยังปราบปรามชาวพุทธหนักขึ้นกว่าเดิม ความแตกต่างระหว่างผู้เข้ารีตนับถือคริสเตียนโรมันคาทอลิค กับผู้นับถือพระพุทธศาสนาปรากฏให้เห็นได้อย่างชัดเจนไม่มีการปิดบัง ชาวพุทธจะออกหนังสือพิมพ์ทางพุทธศาสนาก็ไม่ได้รับอนุญาต จะขอพูดทางรายการวิทยุกระจายเสียงก็ไม่ได้ เมื่อมีงานใหญ่ๆ เช่นงานวิสาขบูชาก็ได้พูดบ้าง แต่ก็จะอนุญาตให้ใช้คลื่นที่ประชาชนรับฟังไม่ได้เพราะมีสัญญาณแทรก หรือหลังเที่ยงคืนคนหลับหมดแล้ว ซึ่งเท่ากับไม่ได้ผลอะไรเลยและต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงมาก ส่วนรายการคริสต์ศาสนาออกอากาศฟรีได้ทุกเวลา

สำหรับพุทธศาสนิกชนเวียตนามในชนบท ทางการจะเอารูปพระเจ้ามาวางไว้ให้ โดยบาทหลวงกับข้าราชการเป็นผู้เอามาตั้งให้เอง และชาวบ้านหรือพระภิกษุจะต้องดูแลด้วย ถ้าปล่อยให้สูญหายทำลายไปจะต้องรับผิดชอบโดยการถูกลงโทษอย่างร้ายแรง วัดทุกวัดในเวียตนามเมื่อถึงวันพระ จะต้องขออนุญาตจึงจะมีการประกอบศาสนพิธีได้ และจะต้องบอกด้วยว่าจะใช้เวลานาน กี่ชั่วโมง ส่วนการขออนุญาตนั้นก็จำกัดจำนวนคนที่จะไปร่วมทำกุศลด้วย" ข้าราชการที่เป็นชาวพุทธไม่ค่อยกล้าไปวัด เพราะกลัวตำรวจลับจะจดชื่อเอาไป" (เหมือนเหตุการณ์ในประเทศไทยปี พ.ศ.๒๕๔๒ ข้าราชการไม่กล้าไปวัด เพราะกลัวมีความผิดในการปฏิบัติศาสนกุศล เช่นงานวิสาขบูชา ข้าราชการจะถูกตั้งกรรมการตรวจสอบความประพฤติและงดขั้นเงินเดือน...???) ส่วนข้าราชการทั้งพลเรือนและทหารที่เป็นคริสเตียน จะได้รับการอุปถัมภ์บำรุงเป็นอย่างดี

การซื้อที่ดิน การบริจาคที่ดินสร้างวัด การรับทรัพย์สินจากญาติโยม การเรี่ยราย ทั้งหมดถูกควบคุมหมด ไม่ให้พระภิกษุสงฆ์ในพุทธศาสนาสามารถสร้างศาสนสมบัติใดๆ แม้กระทั่งห้ามสร้างพระพุทธรูป ไว้สักการะบูชา หากสูญหายหรือพังไปแล้ว ให้เอารูปพระเจ้า (พระเยซู) มาตั้งแทน และหากไม่ปฏิบัติตาม ก็จะต้องมีความผิดร้ายแรง ถึงขั้นถูกประหารขึ้นอยู่กับความพอใจของตำรวจที่เป็นคริสเตียน (ไม่ผิดกับเมืองไทยปี พ.ศ.๒๕๔๒) ผู้ที่เป็นคริสต์แล้วจะสร้างโบสถ์คริสต์ โรงพยาบาล โรงเรียน เพื่อศาสนาคริสต์ได้ตามใจชอบ จะสร้างภายในกรมทหารก็ได้ เวลาเรี่ยไรก่อสร้างสถานที่สำคัญของคริสต์ก็เรี่ยไรชาวพุทธด้วย แต่หากเป็นฝ่ายพุทธศาสนา จะเป็นพลเรือน ข้าราชการ หรือทหารขอสร้างไม่ได้ทั้งสิ้น มีกองอนุศาสนาจารย์ในกองทัพ และมีบาทหลวงดูแลอยู่ทั้งนั้น

เมื่อมีการอบรมข้าราชการก็ต้องให้บาทหลวงมาเป็นผู้อบรม แม้กระทั่งบังคับพระสงฆ์ในพุทธศาสนามานั่งให้บาทหลวงเทศน์ให้ฟัง (เหมือนเมืองไทยปี พ.ศ.๒๕๔๒ ที่มีบาทหลวง และนักสอนศาสนาคริสต์โรมันคาทอลิค มาปาถกฐาสอนพระภิกษุสงฆ์ในในเรื่องจิตวิทยา) ทางคริสต์สามารถจัดตั้งสมาคมแพทย์ สมาคมครู สมาคมนิสิตนักศึกษา สมาคมอาจารย์ได้ทั้งสิ้นตามต้องการและมีรายได้ก็ไม่ต้องแสดงบัญชีต่อรัฐบาล แต่ทางพระพุทธศาสนา จะตั้งสมาคมขึ้นใหม่ก็ไม่ได้ บัญชีรายได้ทุกอย่างต้องแสดงให้เจ้าหน้ารัฐบาลดู ผิดพลาดเล็กน้อยก็ปิดสมาคมพุทธนั้นทันที และเจ้าอาวาสก็ต้องถูกลงโทษติดคุกหรือประหาร

เนื่องจากผู้นับถือพุทธศาสนาของชาวเวียตนามมีถึง ๙๙.๗๔% ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ ดังนั้นการล้มล้างพุทธศาสนา นอกจากจะปราบปรามชาวพุทธแล้ว ยังใช้การทำให้คลาดเคลื่อน จากสร้างคำสอนพุทธศาสนาขึ้นมาใหม่ "สัทธรรมปฏิรูป" ในด้านของการศึกษาฝ่ายปริยัติ และบังคับให้พระภิกษุสงฆ์สามเณร นางชี นักศึกษา โดยเป็นคำสั่งของ โง ดินห์ ถึก ซึ่งคุมกระทรวงศึกษาธิการด้วย และได้ตั้งพระสงฆ์ขึ้นมาเป็นหุ่น ๕ รูป เพื่อเป็น กระบอกเสียงโจมตีพระสงฆ์ หรือผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับหลักธรรมวินัย พระไตรปิฎกคำสอน ที่ได้ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ และตั้ง สมาคมสงฆ์แห่งชาติ (National Sangka Association) ซึ่งความจริงเป็นวัดเล็กๆ นอกเมือง แต่พระสงฆ์ที่บวชในวัดนี้ล้วนเป็นคริสเตียนโรมันคาทอลิค ที่ใช้ภาพพระสงฆ์ในพุทธศาสนาเพื่อสร้างภาพให้กับรัฐบาล โง ดินห์ เดียม ในทุกครั้งที่มีการปราบปรามชาวพุทธ

พระในสมาคมนี้จะเป็นผู้ออกมาแถลงแก้ให้รัฐบาลในฐานะตัวแทนชาวพุทธ และจะประสานกับคณะกรรมการสหพันธ์ เพื่อพระพุทธศาสนาอันบริสุทธิ์ ที่จัดตั้งโดยรัฐบาล โดยจะจัดรายการทางวิทยุ จัดประชุมในมหาวิทยาลัย และสถานศึกษาต่างๆ เพื่อให้ประชาชนหลงผิดไปกับข้อมูลเท็จ (เหมือนกรรมาธิการศาสนาฯ ในปี พ.ศ.๒๕๔๒ อันมี นายอำนวย สุวรรณคีรี เป็นประธานที่ปรึกษา และพรรคพวก ซึ่งรับรองพระสัทธรรมปฏิรูปของ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) ดำเนินการไม่มีผิด) รัฐบาลอนุญาตให้ มีรายการวิทยุโจมตีพระภิกษุสงฆ์ และคณะสงฆ์ที่ไม่เห็นด้วย ให้ผู้คนเสื่อมศรัทธาในพระพุทธศาสนา ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง แต่ห้ามพระภิกษุสงฆ์หรือองค์กรพุทธศาสนา จัดรายการ (เหมือนกับประเทศไทย พ.ศ.๒๕๔๒ ปรากฏเป็นหลักฐานพาดหัวข่าวว่า "......หญิงแอ๋ว ขยับเล่นงานพระดีเจวิทยุ" มีเนื้อหาของข่าวดังนี้

"ทำเนียบรัฐบาล" คุณหญิงสุพัตรา มาศดิศถ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำกับดูแลด้านสื่อมวลชนของรัฐ กล่าว ถึงกรณีมี "พระภิกษุ" หลายรูปจัดรายการตามสถานีวิทยุ ออกเรี่ยไรและให้คำปรึกษาแม้กระทั่งปัญหาที่ไม่เหมาะสม จนมีการร้อง เรียนจากประชาชนอย่างกว้างขวาง..... การที่มีพระหลายรูปออกมาขอบริจาคผ่านรายการวิทยุเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ซึ่งจะให้ "คณะกรรมการกิจการวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์แห่งชาติ (กกข.) ตรวจสอบ เพื่อหาข้อสรุปในการกำหนดมาตรา การไม่ให้ เกิดการหมิ่นเหม่ ในขณะที่ผู้ดำเนินรายการวิทยุหรือดีเจนั้นควรจะมีมาตรฐานมากกว่านี้..." ดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่าเมืองเว้ เป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราชประมุขสงฆ์ในพุทธศาสนา เมืองเว้นี้อยู่ห่างจากไซ่ง่อนไปทางเหนือ ๔๐๐ ไมล์ ในวันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๐๖ เป็นเวลาที่ โง ดินห์ ถึก สังฆราชคริสเตียนโรมันคาทอลิคเวียตนาม ซึ่งเดินทางไปประชุมสังคายนาวาติกัน ๒ (VATICAN COUNCIL 2) ณ กรุงวาติกัน ประเทศอิตาลี ได้แถลงต่อที่ประชุมวาติกันว่า "ประเทศเวียตนามเป็นประชากรของพระเจ้า ประชาชนเวียตนามล้วนนับถือในพระเจ้า และซื่อสัตย์ต่อสันตะปาปา" พร้อมกันนั้นได้โทรเลขด่วน สั่งให้บาทหลวงคริสเตียนโรมันคาทอลิคใต้บังคับบัญชาของตน ในเมืองเว้ สั่งให้ประชาชนทุกบ้านชักธงรูปไม้กางเขน อันเป็นธงทางศาสนาของคริสเตียนโรมันคาทอลิคขึ้น เพื่อเป็นข่าวทางสื่อมวลชนยืนยันให้สันตะปาปา เชื่อถือ และมอบตำแหน่งคาร์ดินัล ให้กับโง ดินห์ ถึก ซึ่งการชักธงทางศาสนาดังกล่าวเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายว่าด้วยการชักธงของเวียตนามใต้ (ความจริงแล้วออกมาใช้ สำหรับบังคับพุทธศาสนาเท่านั้น เนื่องจาก โง ดินห์ ถึก สังฆราชคริสเตียนโรมันคาทอลิคเวียตนาม ได้เดินทางไป ประชุมสังคายนาวาติกันครั้งที่ ๒ ณ กรุงโรม ประเทศอิตาลี ต้องการเอาใจสันตะปาปา ซึ่งตลอดมาชาวพุทธในเวียตนาม สามารถชักธงทางศาสนาได้ ซึ่งตามกฎหมายดังกล่าวนั้นออกบังคับ เมื่อ เดือนธันวาคม พ.ศ.๒๕๐๕ ระบุว่า หากจะชักธงต้องได้รับอนุญาต จากเจ้าหน้าที่รัฐบาลก่อน) ซึ่งเจ้าหน้าที่ของรัฐก็มิได้ดำเนินการแต่อย่างใดทั้งสิ้น

ในวันที่ ๗ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๐๖ (สองวันต่อมา) ซึ่งเป็นวันวิสาขบูชา พุทธศาสนิกชนในเมืองเว้ จึงได้ชักธงทางพุทธศาสนาขึ้นบ้าง แต่เจ้าหน้าที่ของรัฐได้ดำเนินการนำธงลงจากเสาแล้วนำไปเผาทิ้ง พร้อมทั้งประกาศห้ามประชาชนในเมืองเว้ชักธงทางพุทธศาสนา และห้ามชุมนุมประกอบพิธีวิสาขบูชาเด็ดขาด (เหมือนในเมืองไทยปี พ.ศ.๒๕๔๒ มีการอ้างเรื่องธงประจำวัด เพื่อใช้สร้างกระแสทำลายพุทธแบบเดียวกัน และกรรมาธิการศาสนา โดยนายอำนวย สุวรรณคีรี ออกหนังสือห้ามพระภิกษุสงฆ์ทั่วประเทศ มาปฏิบัติศาสนกิจกับวัด ?) และห้ามชุมนุมประกอบพิธีวิสาขบูชาเด็ดขาด หากผู้ใดฝ่าฝืนจะต้องถูกลงโทษโดยเด็ดขาด ฐานกบฏ พุทธศาสนิกชนที่ได้เดินทางเพื่อจะมาร่วมศาสนพิธีวันวิสาขบูชาในเมืองเว้ประมาณ ๑๐,๐๐๐ คน แทนที่จะได้ปฏิบัติกุศลกิจ กลับถูกห้ามปรามเช่นนั้นจึงได้เดินขบวนประท้วงรัฐบาล ในจำนวนนั้นมีพระสงฆ์ สามเณรและนางชี ถึง ๒,๐๐๐ รูป เดินเป็นแถวหน้า เมื่อบาทหลวงโรมันคาทอลิครู้เรื่องจึงโทรเลขด่วนไปยัง โง ดินห์ ถึก ที่วาติกัน กรุงโรม ว่าควรดำเนินการอย่างไรต่อไป โง ดินห์ ถึก จึงโทรเลขสั่งให้ปราบปรามแบบ "มิชชั่น" กับพุทธศาสนิกชน ในฐานะศัตรูพระเจ้า โดยปฏิบัติตาม VATICAN COUNCIL 2 ข้อที่ 7:7 ซึ่งมีความว่า

"บรรดาปิตาจารย์ จงใช้ความพยายามอย่างสุดกำลัง สุดความสามารถ ทุกวิถีทาง ทั้งโดยการพูด การเขียน ในอันที่จะกำจัดศาสนาอื่นๆ อันมิใช่คริสต์ศาสนา ให้หมดสิ้นไป อีกทั้งต้องใช้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองเข้าร่วมทำการกับตนด้วย"

นั่นหมายถึงให้ปราบปรามอย่างรุนแรงเด็ดขาด ไม่ต้องคำนึงถึงรูปแบบและวิธีการ จุดประสงค์คือการกำจัดศาสนาพุทธตามคำสั่ง VATICAN COUNCIL 2 นั้น (บาทหลวงคริสเตียนเวียตนาม จะทำหน้าที่เป็นหัวหน้าตำรวจลับในท้องถิ่น และมีอำนาจสั่งการเจ้าหน้าที่ของรัฐได้อีกด้วย) เจ้าหน้าที่ตำรวจคริสเตียนได้ขับรถบรรทุกชนฝ่าเข้าไปกลางขบวน อันมีพระภิกษุสงฆ์และนางชี ซึ่งเดินเป็นแถวหน้าถูกรถทับตายในทันที ๗๐ รูป พุทธศาสนิกชนตาย ๓๐ คน และบาดเจ็บจำนวนพันกว่าคน จากการถูกกระบองของเจ้าหน้าที่ตำรวจตีด้วยกระบอง เพื่อสลายการเดินขบวน ที่เหลือถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมคุมขังไปทั้งหมด บาทหลวงคริสเตียนผู้ทำหน้าที่สั่งการตำรวจนั้นได้แถลงแทนรัฐบาลว่า "ผู้เดินขบวนเป็นคอมมิวนิสต์ พระสงฆ์และนางชี เป็นแนวร่วมคอมมิวนิสต์ ที่ต้องการทำลายศาสนา และเป็นผู้ขว้างระเบิดทำลายโบสถ์คริสต์??" ได้มีการจับกุมพุทธศาสนิกชน ผู้เกี่ยวข้องในการเดินขบวนนี้ ซึ่งมีทั้งพระภิกษุ สามเณร นางชี และพุทธศาสนิกชนอีกหลายพันคน ข่าวการปราบปรามชาวพุทธนี้ ได้ถูกสั่งห้ามมิให้มีการเสนอข่าวต่อสื่อมวลชน และ CIA ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่หน่วยรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ ตรวจสอบข่าวสารทางการทูตที่จะส่งออกไปนอกประเทศเวียตนามโดยเข้มงวด เพราะไม่ต้องการให้กระเทือนสถานภาพของรัฐบาล โง ดินห์ เดียม ซึ่งสหรัฐอเมริกามีผลประโยชน์ร่วมอยู่ด้วย

จากสาเหตุการณ์ปราบปรามดังกล่าวแม้ทางการจะปิดข่าวโดยวิธีการใดๆ ก็ตาม ข่าวนี้ก็ได้กระจายออกไปสู่เมืองต่างๆ ในเดือนมิถุนายน และเดือนกรกฎาคม ปีเดียวกันนั้นได้มีการเดินขบวนประท้วงรัฐบาลและโง ดินห์ ถึก เกิดขึ้นไปทั่วประเทศอย่างต่อเนื่องพอสรุปเหตุการณ์สำคัญได้ ดังนี้

วันที่ ๓๐ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๐๖ ได้มีการเดินขบวนหน้ารัฐสภา โดยมีป้ายแสดงข้อความว่าเรียกร้องรัฐบาลทำข้อตกลง หยุดทำร้ายเข่นฆ่าพุทธบริษัทในทันที หากไม่ทำสัญญา ชาวพุทธจะเผาตัวเองเป็นการป้องกันพุทธศาสนา

วันที่ ๓๑ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๐๖ รัฐบาลไม่ทำสัญญาใดๆ วัดพุทธแถบนอกเมืองเว้ ถูกตำรวจเข้าเผาทำลาย ชาวพุทธเริ่มอดอาหารประท้วง มีพระภิกษุ ๒ รูปเสนอความจำนงค์จะปลงชีพตนเองปกป้องพระพุทธศาสนา

วันที่ ๑๑ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๐๖ พระภิกษุในพุทธศาสนานาม ทิจ กวาง ดึ๊ก อายุ ๗๓ ปี ทนเห็นความทารุณโหดร้าย ในการใ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท