เคยแอบตั้งเป้าลูกไว้ว่าอยากให้เก่งด้านศิลปะ อยากให้เป็นสถาปนิก อยากให้เป็นศิลปิน เพราะตัวเองอยากเป็น แต่ไปไม่ถึงฝัน เลยพยายามปลูกฝัง 2 เรื่องนี้ตั้งแต่ยังไม่ประสีประสา กะว่าเสร็จแม่ล่ะ เพราะผ้าขาวสบายมาก ก็เล็กๆก็ให้เล่นสี ทดลองให้ดู ลองเอาสีนั้นสีนี้ผสมกันให้ดู ให้วาดรูป ก็ยังตื่นเต้นค่ะ สนุกกันทั้งแม่ทั้งลูกเพราะเป็นอะไรที่เพิ่งเจอครั้งแรกของชีวิต แม่ก็ยิ่งอืมม.!! ดูจะ work
พอโตเข้าโรงเรียนก็คุณครูเห็นแวว จับแข่งระบายสี ก็เจอด่านแรกเลย กลับมาบ้านระบายทุกวันๆ แต่เอ้!! ดูผิดปกตินะ ระบายไปเคร่งเครียดพิกล เด็กแค่อนุบาล 1 ไม่น่าเครียดขนาดนี้กับกิจกรรมที่ชอบ ก็คุยกันปรากฏว่าไม่อยากระบายสีออกนอกเส้น เราเลยถามว่าทำไม
"เพื่อนบอกว่าไม่สวย"
"แล้วของเพื่อนที่ว่าหนูล่ะลูก "
"ก็เหมือนกันล่ะ"
"แล้วเพื่อนเขาร้องไห้มั้ย"
"ไม่ร้อง" พ่อแม่ก็เลยหนักใจเลย มองหน้ากันเอาไงดีเนี่ย เฮ้อ!
"กอหญ้า สมัยแม่ตัวเท่าหนูนะ แม่ยังระบายเลอะเทอะกว่าลูกอีก ตอนนี้ก็ยังระบายไม่ดีเท่าลูกเลย เพื่อนเราเองก็ยังระบายไม่ดีเลย ก็ไม่เห็นต้องร้องไห้เลย เราก็ระบายไปเรื่อยๆเดี๋ยวก็ดีเองล่ะ ทุกอย่างต้องฝึกลูก ไม่มีใครทำได้ดีตั้งแต่เกิดหรอก" ลองระบายให้เขาดูแบบออกนอกเส้น (แบบไม่เจตนา) ก็ดูเหตุการณ์สงบดี หยุดร้องไห้ ก็เลยถามเขาว่าจะหยุดทำก่อนมั้ย แม่บอกคุณครูให้ ยังไม่ต้องทำก็ได้...สรุปเธอไม่ยอมค่ะ ระบายต่อจนเสร็จ
พอตอนเช้าไปส่งที่โรงเรียนเลยคุยกับคุณครูเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง แล้วก็ขอให้ช่วยดึงๆออกจากกิจกรรมระบายสี วาดรูปก่อน
ตอนเย็นพอเจอคุณครูแอบมาบอกว่า ..กอหญ้าเขาไม่ยอมค่ะ เขาจะระบายต่อก็เลยต้องให้ แต่ก็คอยดูแลอยู่..ก็เลยเอ้า! ตามแต่ลูกเลือกล่ะกัน ผลตามๆมาก็คือเธอกลายเป็นตัวประกวดภาพระบายสีของคุณครูและได้รางวัลชนะเลิศมาในระดับอนุบาล 1 แล้วพออนุบาล 2ก็ได้คัดเลือกไปประกวดอีก ที่นี้ปัญหาอยู่ที่แม่แล้วค่ะ กลัวลูกมั่นใจสูงมากเกินไปแล้วผิดหวังไม่เป็น คอยแอบลุ้นอยู่ว่าอย่าได้ที่ 1 เลยนะ จะได้รู้จักยอมรับคนอื่นบ้าง ก็เป็นตามนั้น ได้ที่ 2 ก็ไม่เห็นจะแสดงอาการอะไรเลย ก็ผ่านไป
แล้วผ่านไปชั้นประถม เห็นผลงานเด็กๆในวัยเดียวกันกับกอหญ้าแล้วโอ้โห!! สวยจังคือน้องเขาไปนั่งวาดขายที่ริมถนนทางเดินที่เชียงใหม่ช่วงปิดเทอม ได้เลยค่ะ ก็อยากให้ลูกทำได้บ้าง เลยลองหาที่เรียนศิลปะให้ ก็บังเอิญไปเจอร้านพ่อแม่ของน้องคนนั้นพอดี พ่อจบด้านศิลปะมา แล้วก็อุดมการณ์ประมาณไม่เคยให้ลูกประกวดแข่งขันแต่อยากให้ลูกฝึกการใช้เงิน หาเงินด้วยตัวเอง แล้วพ่อก็สอนศิลปะอยู่แล้ว ก็เลยสอนลูก เราก็เลยอยากให้ศิลปินสอนหลักศิลปะที่ถูกๆให้ลูก ก็เลยชวนเขาเรียน ลูกก็โอเค เพระแม่พยายามชี้นำหลายอย่างจนยอม เรียนไป course หนึ่งแล้วก็เริ่มเห็นว่าไม่ค่อยกระตือรือร้นเท่าไหร่ ไม่เหมือนตอนเด็กๆ จะดูสนุกบางวัน ทั้งที่คุณครูก็สนใจถามใส่ใจดี แล้วก็ใจดีด้วย
พอจบ course 2 ก็เลยตกลงบริการกันใหม่ว่าหยุดเรียนมั้ยลูก คือถ้าอยากหยุดก็หยุด ไม่ต้องเอาใจพ่อแม่ แล้วดูไม่สนุกเท่าไหร่ เพราะถ้าสังเกตจะเห็นเลยว่างานวาดรูปจะไม่ค่อยกระตือรือล้นทำ แต่หันมาชอบอยากทำงานปั้นกระดาษที่แม่กำลังฮิตช่วงนั้นมากกว่า
ไม่เฉพาะเรื่องศิลปะเท่านั้น ยังมีเรื่องเรียนพิเศษภาษาอังกฤษอีก คือกลัวลูกพูดภาษาอังกฤษแล้วก็ฟังไม่ได้ แถมจะไม่กล้าหนีฝรั่งอย่างตัวเอง เลยพยายามเสาะหาที่เรียนที่เน้นการสนทนา ไม่เน้นการท่องศัพท์หรือ หลักการใดๆ ก็ดีอยู่ช่วงหนึ่งลูกโต้ตอบกับฝรั่งได้ตอนไปเที่ยวน้ำตก แต่พอเปลี่ยน teacher เปลี่ยนกลุ่มเพื่อน ไปเจอเด็กที่ซน เสียงดังเวลาเรียน เธอเลยเสียอารมณ์ ไม่อยากเรียน...ก็อาจด้วยหาข้ออ้างด้วยนั่นล่ะ ก็เลยหยุดเรียนหมดทุกอย่างเลยค่ะ
มีช่วงปิดเทอมไปอยู่กับยายที่กรุงเทพ ถูกจับเรียนคณิตคิดเร็วไป 2 เดือน แล้วมีการ์บ้านกลับมาให้ทำที่บ้าน ทำไปงอแงไป แม่ก็ยุ่งพ่อก็ยุ่งไม่รู้จะสอนอย่างไรให้เข้าใจง่าย ก็เลยเลิกทำไป สรุปตั้งแต่ขึ้น ป. 2 นี่ก็ไม่ได้เรียนพิเศษอะไรเลย ผลปรากฏว่ายังได้ที่ 4 เหมือนเดิม ก็พอใจแล้วสำหรับครอบครัวเรา แค่นี้ก็คุยกันข้ามหลายจังหวัดแล้ว แต่คะแนนเทอมแรกภาษาอังกฤษตกลง ก็ยังไม่ได้ให้เรียนพิเศษอะไรเพิ่มเติมนะค่ะ อยากให้รู้ตัวเอง ก็เป็นอย่างที่คิดรู้ว่าตัวเองหย่อนลง แล้วก็คุยกันในกลุ่มที่เล่นด้วยกันอย่างไงไม่รู้ ปรากฏว่าตอนนี้พี่ๆในศูนย์ฯ จับน้องมาสอนพิเศษกันเอง แล้วเธอก็จะมีความสุข รีบไปเรียนได้ทุกวัน จนต้องเตือนๆกันไว้บ้าง จะเว่อร์ไป
" ..อย่ายัดเยียดการเรียนพิเศษ ให้ลูกเลยค่ะ แค่พ่อแม่สนใจการบ้านลูก สอบถามการเรียนที่โรงเรียนก็พอแล้ว เพราะแค่นี้สมองก็ล้าแล้วค่ะ เขาพร้อมเมื่อไหร่เขาก็ออกไปเสาะหาเองล่ะค่ะ..อะไรที่มากไปลูกจะถอยหนีมากกว่าจะได้ดีคะ."
ไม่มีความเห็น