ศักยภาพของคนเรามีแค่ไหน


ศักยภาพหรือขีดความสามารถของแต่ละคน จะมีมากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับตัวคนนั้นเอง
วันนี้ก็เป็นวันที่สอง ครับ สำหรับการสัมมนาในหัวข้อ จิตวิทยาการบริหาร สู่ความเป็นเลิศ ซึ่งงาน OD ของวลัยลักษณ์เรา ได้จัดให้สำหรับผู้บริหาร และหัวหน้างานทุกระดับของเรา อย่างที่ผมได้เล่าให้พวกเราทราบไปแล้วเมื่อวานนี้ว่า งานนี้มีผู้บริหารและหัวหน้างานเข้าร่วมสัมมนาเกือบ 50 คนทีเดียว ที่สำคัญผมพบว่าพวกเราที่เข้าร่วมสัมมนาอยู่เข้าร่วมสัมมนาอย่างสนุกสนานเกือบทุกคน แทบจะไม่มีใครหนีไปไหนเลยครับ เราเลิกสัมมนาประมาณ 17.30 น. ทั้ง 2 วัน งานนี้จะช่วยให้พวกเราทำงานร่วมกันอย่างมีความสุขมากขึ้นเยอะเลยครับ (ถ้าไม่เชื่อผมลองกระซิบถามผู้เข้าร่วมสัมมนาท่านใดท่านหนึ่งดูซิครับ) ตอนนี้งาน OD เตรียมจัดหลักสูตรนี้ขึ้นอีกตามคำเรียกร้องคาดว่าจะจัดประมาณต้นเดือนพ.ค.นะครับ สำหรับผู้สนใจก็ตามข่าวสารงาน OD นะครับ เพราะการใฝ่รู้ใฝ่ศึกษาเพื่อจะพัฒนาศักยภาพหรือขีดความสามารถของตัวเรา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับใครเลยครับนอกจากตัวเราเอง ซึ่งพวกเราที่เข้าร่วมสัมมนาเข้าใจในประโยคนี้ดีใช่ไหมครับ ท่านอาจารย์ณรงค์ศักดิ์ เล่าให้พวกเราฟังอย่างน่าสนใจในเรื่องนี้ว่า มหาตะมะคานธี ได้ให้ความคิดไว้ว่า คนเป็นศูนย์กลางของวงกลมแห่งความสามารถที่ไม่มีเส้นรอบวง นั่นก็หมายความว่า คนทุกคนมีศักยภาพหรือขีดความสามารถที่ไม่จำกัดเท่ากัน แต่คนส่วนมากมักจะขีดเส้นรอบวงเพื่อจำกัดศักยภาพหรือความสามารถของตนเอง ผมคิดว่าเป็นข้อความที่น่าสนใจมากทีเดียว ดังนั้น ศักยภาพหรือขีดความสามารถของแต่ละคนจะมีมากน้อยแค่ก็ขึ้นอยู่กับตัวคนนั้นเอง ว่าจะมีความกล้าและความเต็มใจที่จะรับงาน เรียนรู้งาน และทำงานมากน้อยแค่ไหน หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ความกลัว เป็นตัวบันทอนหรือจำกัดขีดความสามารถของคนเรานั่นเอง ถึงตอนนี้ผมอยากจะเชิญชวนพวกเราชาววลัยลักษณ์อีกหลาย ๆ คน ให้ลองมาเข้าร่วมกิจกรรม KM และ กิจกรรมอื่น ๆ ที่งาน OD ได้จัดเตรียมให้กับพวกเราด้วยความรักดูซิครับ แล้วพวกเราจะรู้ว่าศักยภาพหรือความสามารถของตัวเราไม่มีขีดจำกัดจริงๆ
คำสำคัญ (Tags): #ทิศทางkm
หมายเลขบันทึก: 16454เขียนเมื่อ 22 กุมภาพันธ์ 2006 21:29 น. ()แก้ไขเมื่อ 27 พฤษภาคม 2012 01:38 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (11)

อยากอ่าน "เรื่องเล่า" และ KA จากการสัมมนาครับ   เอาเท่าที่เปิดเผยสู่ภายนอกก็ได้ครับ

วิจารณ์ พานิช

เรียน ท่านอาจารย์หมอวิจารณ์ ครับ ถ้ายังไงผมจะเชิญชวนเพื่อน ๆ ที่เข้าร่วมสัมมนามาเล่านะครับ แต่ในขณะนี้บางส่วนก็ไปเล่าอยู่ในบันทึกที่ชื่อว่า ชีวิต งาน และความสุข บ้างแล้วครับ

ตลอดเวลาที่เข้าร่วมอบรมกับอาจารย์ทำให้เราได้ข้อคิดที่นำมาใช้ในชีวิตการทำงาน ชีวิตครอบครัวและชีวิตประจำวันได้อย่างมาก เรื่องหนึ่งที่สามารถนำมาใช้ในการทำงานคือ การมองสิ่ง(งาน)ที่ได้รับมอบหมายให้เป็น Macro คือ หากเราได้รับมอบหมายงานจากผู้บริหารสักหนึ่งชิ้นงาน แล้วเราสามารถมองงานชิ้นนั้นอย่างทะลุโดยมองไปถึงผลสำเร็จของงานว่าผู้บริหารมอบหมายเพื่ออะไร เกี่ยวข้องกับอะไรบ้างหากเรามากลัวอุปสรรคที่เกิดขึ้นในระหว่างที่เรากำลังทำงานชิ้นนั้นอยู่ หรือที่อาจารย์บอกว่าเป็นการมองแบบMicro ผลสำเร็จของงานก็จะไม่ได้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ทำให้เราทำงานล้มเหลวได้ และศักยภาพในการทำงานของเราก็จะลดลงด้วย

ได้มีโอกาสเข้าร่วมอบรม "จิตวิทยาการบริหาร สู่ ความสำเร็จของนักบริหาร" ทั้ง 2 วันเต็ม ๆ สิ่งที่ได้รับจากการอบรม ต้องบอกว่า "เกินความคาดหมายที่ตั้งไว้" เพราะตั้งเป้าไว้แค่ว่า สิ่งที่ได้รับ น่าจะเกี่ยวกับจิตวิทยาการบริหาร สู่ความสำเร็จของนักบริหาร เพื่อจะได้ไปใช้กับงานเท่านั้น แต่หลังจากอบรมแล้ว ทำให้พบว่า การที่คนเราจะทำงานได้ดี ไม่ใช่แค่ต้องรู้หลักการใช้ชีวิตในที่ทำงาน แต่หลักในการใช้ชีวิตกับครอบครัว ก็มีผลส่งต่องานเช่นกัน อ.ณรงค์ศักดิ์ ท่านได้เล่าเกร็ดในการใช้ชีวิตทั้งที่ทำงานและที่บ้านให้ผู้เข้ารับการอบรมได้อย่างเห็นภาพ คิดตาม แล้วเห็นจริงตามนั้น เช่น กฎจิตวิทยา มี 3 ข้อ คือ 1.คนชอบที่จะได้รับคำชมเชย ยกยอ่ง สรรเสริญ ไม่ชอบ คำตำหนิ 2. คนชอบที่จะเรียนรู้ด้วยตัวเอง ไม่ชอบให้ใครบังคับ/สอน 3. เมื่อเราตัดสินคนอื่นเช่นไร เราจะถูกคนอื่นตัดสินเช่นนั้นทั้นที หรือ หลักที่จะทำให้ครอบครัวมีสุข ต้องมีความยึดมั่นทางอารมณ์ หรือ การที่เราไม่เอาโซ่มาคล้องคอ 3 เส้น ได้แก่ ซอกแซก ซักไซ้ เซ้าซี้ หรือ สิ่งที่อาจารย์ท่านได้บอกว่า คนเรา จะดี จะชั่ว จะมีศักยภาพ มากน้อยแค่ไหน อยู่ที่ตัวเราเองเท่านั้น คนทุกคนมีความสามารถไมมีขีดจำกัด เท่ากันทุกคน ถ้าคนนั้นไม่กลัวที่จะลองทำ คนทุกคนสามารถเรียนรู้ได้.... ความรู้ดี ๆ ที่พนักงานได้รับ ต้องขอบคุณ อาจารย์สมนึก ที่ได้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับ "คน" มาโดยตลอด ขอบคุณทีมพัฒนาองค์กรด้วยค่ะ
นางสาวปิติกานต์ จันทร์แย้ม

ได้มีโอกาสพูดคุยแลกเปลี่ยนกับวิทยากรหลังการอบรมเสร็จ...อยากจะแบ่งปันความรู้สึกดีๆ ดิฉันถามวิทยากรว่าท่านไม่เหนื่อยหรือคะ เนื่องจากเราอบรม 2 วันเต็มๆ (ตั้งแต่ 08.30-17.30 น.) ให้การอบรมคนเดียว ท่านตอบว่า ท่านไม่เหนื่อย เพราะท่านท่านได้ทำในสิ่งที่ตนเองรัก ซึ่งหมายถึงการได้พักผ่อน ให้มีสติกับสิ่งที่เรากำลังทำ ทำให้เราไม่เหนื่อยและเราก็จะมีความสุข ดิฉันในฐานะผู้จัดก็หายเหนื่อยทันทีกลับมีกำลังใจที่จะคิดสร้างสรรค์การทำงานเพื่อองค์กรของเรา เพราะวลัยลักษณ์เป็นองค์กรที่เรารัก

มากยิ่งไปกว่านั้นได้มีโอกาสพูดคุยแลกเปลี่ยนกับผู้เข้าร่วมอบรมท่านหนึ่งว่าการจัดอบรมครั้งนี้เป็นอย่างไรบ้างเพื่อจะนำมาปรับแก้ไขในการจัดครั้งต่อไป พี่เขาเล่าว่าหลังจากที่ได้อบรมไป 1 วัน เขาได้นำสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปใช้ในการทำงานในชีวิตการทำงานโดยการแสดงความชื่นชมกับเพื่อนร่วมงานที่ทำร่วมกัน เขาเล่าว่า หลังจากที่ชื่นชม..พี่เห็นรอยยิ้มเขาเมื่อได้รับคำชื่นชมยินดีจากเรา และเขามีความสุขมาก พี่ก็มีความสุขมากเล่าให้ดิฉันฟังด้วยรอยยิ้ม ทำให้ดิฉันมีความสุขที่ได้มีส่วนร่วมในการสร้างรอยยิ้มให้กับเพื่อนพนักงาน...

ดีจังเลยค่ะ คนที่ไม่ได้เข้าอบรมก็ได้มีความรู้ด้วย ทำให้ผู้สนใจได้รับทราบถึงประโยชน์และคุณค่าของบล็อกนี้ค่ะ ซึ่งเท่าที่ได้ติดตามอ่านก็จะเห็นแต่สิ่งดีดีที่ทุกท่านตั้งใจนำเสนอ อ่านแล้วมีความสุขค่ะ

ความคิดในตอนแรกเริ่มเมื่อทราบชื่อเรื่องที่จัดขึ้น "จิตวิทยาการบริหาร : สู่ความเป็นเลิศของนักบริหาร"  คิดว่าคงเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการบริหารงานของผู้บริหารในระดับต่างๆ โดยนำเอาหลักการหรือทฤษฎีทางจิตวิทยามาใช้ในการบริหารงาน  และคิดว่าคงจะไม่ได้อะไรมากนัก   ประกอบกับคงมีเนื้อหาที่เคร่งเครียดน่าดู

แต่จากการเข้าร่วมการฝึกอบรมและหลังจากการอบรมเสร็จเรียบร้อยแล้ว   กลับได้ผลตรงกันข้ามกับที่ได้คิดไว้ข้างต้น และได้ประโยชน์ต่อตนเองเป็นอย่างมาก   นอกจากสามารถนำไปใช้ในการทำงานแล้ว  ยังสามารถใช้เป็นแนวทางเป็นข้อคิดในชีวิตประจำวันได้  ทั้งในด้านครอบครัว  การทำงาน  การอยู่ร่วมกันในสังคม  โดยวิทยากรมุ่งเน้นที่ตัวของเราเองเป็นหลักก่อน

ความรู้/ แนวคิดที่ผมได้รับและประทับใจ  เช่น

1.ในเรื่องศักยภาพ   

1.1 คนมีความสามารถ/เก่งเหมือนกันทุกคน โดยไม่มีข้อจำกัด    แต่คนแต่ละคนจะชอบตีกรอบตัวเองว่าไม่มีความสามารถ  / ตัวทำลายความสามารถ คือ ความกลัว

1.2 ส่วนใหญ่มักจะเข้าใจว่า  แต่ละคนมีศักยภาพเฉพาะด้านแตกต่างกัน ( เป็นการมองที่ปลายเหตุ)  แต่ในความเป็นจริงแล้วต้องมองที่ต้นเหตุ   คือทุกคนมีศักยภาพเท่ากัน   ทุกคนสามารถเรียนรู้  ฝึกฝน  และทำงานแทนกันได้  ขึ้นอยู่กับว่าจะมีการขีดกรอบของตัวเองหรือไม่

1.3 ความสำเร็จในการทำงานมีความสัมพันธ์ที่น้อยมากกับการเรียนจบปริญญา   เนื่องจากระบบการศึกษาในปัจจุบันไม่ได้สอนให้นำไปใช้ในชีวิตจริงของการทำงาน

2.ด้านการจัดการความรู้   

    -Knowledge  Management คือ Self  Management

    -แนวคิดเรื่องของ  ความรัก.....ความสุข ....คุณภาพชีวิตที่ดี .....ศักยภาพ....ธรรมชาติ...ฯลฯ.  จริงๆ แล้วสิ่งเหล่านี้ คล้ายๆ กับแนวคิด KM (ใช้หลักการเดียวกัน)

จากการเข้าร่วมอบรมหลักสูตร "จิตวิทยาการบริหาร สู่ ความสำเร็จของนักบริหาร"ได้ฟังการบรรยายของอาจารย์ณรงค์ศักดิ์แล้วมีความสุข สนุกกับการคิดตามคำบรรยายของอาจารย์ตลอดเวลา ทำให้มองเห็นภาพของการนำไปประยุกต์ใช้ทั้งในชีวิตประจำวันและในการทำงาน อย่างเช่น คำว่า ศักยภาพของคน ที่ทุกคนมีความสามารถอยู่ในตัวไม่มีขีดจำกัดเพียงแต่ตัวเราเองเป็นคนขีดให้ความสามารถของเรามีจำกัด อาจจะเกิดจากความกลัวที่ตัวเราคิดว่าเราทำไม่ได้ ไม่มีความสามารถ กลัวปัญหาที่จะเกิดขึ้น ไม่อยากแก้ปัญหา แต่จริงๆแล้ว ปัญหามีไว้แก้ ไม่ได้มีไว้กลุ้ม ทำให้ได้แนวคิดว่า คนเราทุกคนมีปัญหาด้วยกันทั้งนั้นมากบ้างน้อยบ้าง แต่เรามักจะมองว่าเรามีปัญหามากว่าคนอื่นๆ บางครั้งก็ลืมคิดไปว่าคนที่มีปัญหาน้อยหรือไม่มีปัญหา เนื่องจากเขาได้ใช้ความสามารถที่มีไม่จำกัดแก้ไขปัญหาให้น้อยลงได้ ดังนั้น ความสามารถของเราจะมากหรือน้อยขึ้นกับตัวเราเป็นผู้กำหนดนะคะ

 

 

ศิริมาศ เลือดกาญจนา

ความรัก คือ สิ่งที่ทำให้เรามีความสุข เริ่มจากรักตนเองให้มากพอก่อน เมื่อเรารักตนเองความรักก็จะเผื่อแผ่ไปถึงผู้อื่นที่อยู่ใกล้ชิดเรา พ่อแม่ ลูก สามี ภรรยา เพื่อนและทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเราก็จะได้รับความรักจากเราโดยปริยาย หากเราไม่รู้จักรักตนเอง เราก็จะรักผู้อื่นไม่เป็นเช่นกัน รักตนเองด้วยการดูแลเอาใจใส่ตนเอง ทั้งร่างกายและจิตใจ คนมีความรักมักมีประกายในดวงตา มีความสดใส ใครอยู่ใกล้ก็พลอยมีความสุข รักงาน เพราะงานคือการดำเนินชีวิตของเรา ชีวิตคงเหี่ยวเฉา หากเราไร้รักและตกงาน

 

นันทกาญจน์ จิตรมานะศักดิ์
ต้องขอขอบคุณผู้บริหารของมหาวิทยาลัยเป็นอันดับแรกที่เห็นความสำคัญของ "ทรัพยากรมนุษย์" ในองค์กร ทำให้พวกเราได้รับการพัฒนาศักยภาพด้านจิตวิทยาการบริหาร ซึ่ง 2 วัน ที่ได้รับการอบรมกับอาจารย์ณรงค์ ทำให้ตัวเองได้รับการกระตุ้นในสิ่งที่เคยร่ำเรียนมาอีกครั้งหนึ่ง ว่าทุกคนมี "ศักยภาพ" อยู่แล้วหากขึ้นกับการดึงมาใช้ของตัวเอง อย่า "กลัว" ที่จะดึงศักยภาพมาใช้ ให้ทำทุกอย่างด้วย "สติ" แล้ว ศักยภาพที่มีอยู่ในตัวทุกคน จะถูกดึงมาใช้อย่างเต็มที่ ถามว่า ....."ศักยภาพหายไปไหน 85%"......หายไปเพราะคนเรามักจะ 1. คิดลบ ....คิดลบ จะมอง "ทุกช่องทางมีปัญหา" ....คิดบวก จะมอง "ทุกปัญหามีช่องทาง" 2. คิดแทน ....คิดลบ "คิดเอาเอง" ทำให้คิดร้ายได้ ....คิดบวก "อยากรู้ต้องถาม" 3. คิดโยนความผิด ....คิดลบ "ไม่เคยโทษตัวเอง โยนความผิดให้ คน สัตว์ สิ่งของ อื่นเสมอ" ....คิดบวก "ปัญหาอยู่ที่เรา เราทุกข์ต้องแก้ที่เรา" ต้องหาสาเหตุของปัญหาแล้วแก้ไข 4. คิดด้วยอารมณ์ชั่ววูบ ....คิดลบ "คิดในระดับ Micro" ทำให้กลัวอุปสรรคต่าง ๆ นานา ไม่กล้าทำ ทำให้งานไม่บรรลุเป้าหมาย ....คิดบวก "คิดในระดับ Macro" ให้มองเป้าหมายของงานเป็นหลัก แล้วมุ่งไปสู่เป้าหมาย จะทำให้งานสำเร็จได้ เป็นหนึ่งขุมความรู้ด้าน"ศักยภาพ" ที่สกัดได้มาจากท่านอาจารย์ณรงค์ ใน 2 วัน คะ ขอขอบคุณผู้ที่ให้โอกาสพวกเราได้พัฒนาศักยภาพอีกครั้งหนึ่งคะ

รู้สึกดีใจแทนคนที่ได้เข้าฟังค่ะ เพราะเท่าที่ได้ยินได้ฟังมา ก็มีแต่เสียงชื่นชมสรรเสริญในความสามารถของวิทยากร และการทำงานของหน่วยพัฒนาองค์กร ที่นับวันชักจะร้อนแรง (เรื่องผลงาน) ขึ้นทุกวัน  ก็นับว่าเป็นโอกาสที่ดีของพนักงานนะค่ะ ที่องค์กรเอาใจใส่มากขนาดนี้ ที่เหลือก็คงต้องกลับไปทบทวนดูว่าจะเอามาใช้กับการใช้ชีวิต แล้วสะท้อนสู่บรรยากาศการทำงานได้อย่างไร ที่ดีใจอีกอย่างคือวลัยลักษณ์ทุ่มเทกับการอบรมค่อนข้างมาก ก็พอจะเข้าใจนะคะว่างานเคลื่อนได้เพราะคน ถ้าคนยังไม่แหลม ก็เอามาเหลา มาขัด มาเกลา ประเดี๋ยวก็คงได้ดีเองล่ะ เพราะว่า " คนคือศูนย์กลางของวงกลม ที่ไม่มีเส้นรอบวง "  จริงๆ ซะด้วยซิ

ออ...อยากให้มีการอบรมเรื่อง " Positive thinking " บ้างค่ะ เพราะว่ามันน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของทุกความคิด ซึ่งจะเปลี่ยนมาเป็นการกระทำในภายหลัง และขอเข้าฟังด้วยคนค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท