อยากอ่าน "เรื่องเล่า" และ KA จากการสัมมนาครับ เอาเท่าที่เปิดเผยสู่ภายนอกก็ได้ครับ
วิจารณ์ พานิช
เรียน ท่านอาจารย์หมอวิจารณ์ ครับ ถ้ายังไงผมจะเชิญชวนเพื่อน ๆ ที่เข้าร่วมสัมมนามาเล่านะครับ แต่ในขณะนี้บางส่วนก็ไปเล่าอยู่ในบันทึกที่ชื่อว่า ชีวิต งาน และความสุข บ้างแล้วครับ
ตลอดเวลาที่เข้าร่วมอบรมกับอาจารย์ทำให้เราได้ข้อคิดที่นำมาใช้ในชีวิตการทำงาน ชีวิตครอบครัวและชีวิตประจำวันได้อย่างมาก เรื่องหนึ่งที่สามารถนำมาใช้ในการทำงานคือ การมองสิ่ง(งาน)ที่ได้รับมอบหมายให้เป็น Macro คือ หากเราได้รับมอบหมายงานจากผู้บริหารสักหนึ่งชิ้นงาน แล้วเราสามารถมองงานชิ้นนั้นอย่างทะลุโดยมองไปถึงผลสำเร็จของงานว่าผู้บริหารมอบหมายเพื่ออะไร เกี่ยวข้องกับอะไรบ้างหากเรามากลัวอุปสรรคที่เกิดขึ้นในระหว่างที่เรากำลังทำงานชิ้นนั้นอยู่ หรือที่อาจารย์บอกว่าเป็นการมองแบบMicro ผลสำเร็จของงานก็จะไม่ได้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ทำให้เราทำงานล้มเหลวได้ และศักยภาพในการทำงานของเราก็จะลดลงด้วย
ได้มีโอกาสพูดคุยแลกเปลี่ยนกับวิทยากรหลังการอบรมเสร็จ...อยากจะแบ่งปันความรู้สึกดีๆ ดิฉันถามวิทยากรว่าท่านไม่เหนื่อยหรือคะ เนื่องจากเราอบรม 2 วันเต็มๆ (ตั้งแต่ 08.30-17.30 น.) ให้การอบรมคนเดียว ท่านตอบว่า ท่านไม่เหนื่อย เพราะท่านท่านได้ทำในสิ่งที่ตนเองรัก ซึ่งหมายถึงการได้พักผ่อน ให้มีสติกับสิ่งที่เรากำลังทำ ทำให้เราไม่เหนื่อยและเราก็จะมีความสุข ดิฉันในฐานะผู้จัดก็หายเหนื่อยทันทีกลับมีกำลังใจที่จะคิดสร้างสรรค์การทำงานเพื่อองค์กรของเรา เพราะวลัยลักษณ์เป็นองค์กรที่เรารัก
มากยิ่งไปกว่านั้นได้มีโอกาสพูดคุยแลกเปลี่ยนกับผู้เข้าร่วมอบรมท่านหนึ่งว่าการจัดอบรมครั้งนี้เป็นอย่างไรบ้างเพื่อจะนำมาปรับแก้ไขในการจัดครั้งต่อไป พี่เขาเล่าว่าหลังจากที่ได้อบรมไป 1 วัน เขาได้นำสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปใช้ในการทำงานในชีวิตการทำงานโดยการแสดงความชื่นชมกับเพื่อนร่วมงานที่ทำร่วมกัน เขาเล่าว่า หลังจากที่ชื่นชม..พี่เห็นรอยยิ้มเขาเมื่อได้รับคำชื่นชมยินดีจากเรา และเขามีความสุขมาก พี่ก็มีความสุขมากเล่าให้ดิฉันฟังด้วยรอยยิ้ม ทำให้ดิฉันมีความสุขที่ได้มีส่วนร่วมในการสร้างรอยยิ้มให้กับเพื่อนพนักงาน...
ความคิดในตอนแรกเริ่มเมื่อทราบชื่อเรื่องที่จัดขึ้น "จิตวิทยาการบริหาร : สู่ความเป็นเลิศของนักบริหาร" คิดว่าคงเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการบริหารงานของผู้บริหารในระดับต่างๆ โดยนำเอาหลักการหรือทฤษฎีทางจิตวิทยามาใช้ในการบริหารงาน และคิดว่าคงจะไม่ได้อะไรมากนัก ประกอบกับคงมีเนื้อหาที่เคร่งเครียดน่าดู
แต่จากการเข้าร่วมการฝึกอบรมและหลังจากการอบรมเสร็จเรียบร้อยแล้ว กลับได้ผลตรงกันข้ามกับที่ได้คิดไว้ข้างต้น และได้ประโยชน์ต่อตนเองเป็นอย่างมาก นอกจากสามารถนำไปใช้ในการทำงานแล้ว ยังสามารถใช้เป็นแนวทางเป็นข้อคิดในชีวิตประจำวันได้ ทั้งในด้านครอบครัว การทำงาน การอยู่ร่วมกันในสังคม โดยวิทยากรมุ่งเน้นที่ตัวของเราเองเป็นหลักก่อน
ความรู้/ แนวคิดที่ผมได้รับและประทับใจ เช่น
1.ในเรื่องศักยภาพ
1.1 คนมีความสามารถ/เก่งเหมือนกันทุกคน โดยไม่มีข้อจำกัด แต่คนแต่ละคนจะชอบตีกรอบตัวเองว่าไม่มีความสามารถ / ตัวทำลายความสามารถ คือ ความกลัว
1.2 ส่วนใหญ่มักจะเข้าใจว่า แต่ละคนมีศักยภาพเฉพาะด้านแตกต่างกัน ( เป็นการมองที่ปลายเหตุ) แต่ในความเป็นจริงแล้วต้องมองที่ต้นเหตุ คือทุกคนมีศักยภาพเท่ากัน ทุกคนสามารถเรียนรู้ ฝึกฝน และทำงานแทนกันได้ ขึ้นอยู่กับว่าจะมีการขีดกรอบของตัวเองหรือไม่
1.3 ความสำเร็จในการทำงานมีความสัมพันธ์ที่น้อยมากกับการเรียนจบปริญญา เนื่องจากระบบการศึกษาในปัจจุบันไม่ได้สอนให้นำไปใช้ในชีวิตจริงของการทำงาน
2.ด้านการจัดการความรู้
-Knowledge Management คือ Self Management
-แนวคิดเรื่องของ ความรัก.....ความสุข ....คุณภาพชีวิตที่ดี .....ศักยภาพ....ธรรมชาติ...ฯลฯ. จริงๆ แล้วสิ่งเหล่านี้ คล้ายๆ กับแนวคิด KM (ใช้หลักการเดียวกัน)
จากการเข้าร่วมอบรมหลักสูตร "จิตวิทยาการบริหาร สู่ ความสำเร็จของนักบริหาร"ได้ฟังการบรรยายของอาจารย์ณรงค์ศักดิ์แล้วมีความสุข สนุกกับการคิดตามคำบรรยายของอาจารย์ตลอดเวลา ทำให้มองเห็นภาพของการนำไปประยุกต์ใช้ทั้งในชีวิตประจำวันและในการทำงาน อย่างเช่น คำว่า ศักยภาพของคน ที่ทุกคนมีความสามารถอยู่ในตัวไม่มีขีดจำกัดเพียงแต่ตัวเราเองเป็นคนขีดให้ความสามารถของเรามีจำกัด อาจจะเกิดจากความกลัวที่ตัวเราคิดว่าเราทำไม่ได้ ไม่มีความสามารถ กลัวปัญหาที่จะเกิดขึ้น ไม่อยากแก้ปัญหา แต่จริงๆแล้ว ปัญหามีไว้แก้ ไม่ได้มีไว้กลุ้ม ทำให้ได้แนวคิดว่า คนเราทุกคนมีปัญหาด้วยกันทั้งนั้นมากบ้างน้อยบ้าง แต่เรามักจะมองว่าเรามีปัญหามากว่าคนอื่นๆ บางครั้งก็ลืมคิดไปว่าคนที่มีปัญหาน้อยหรือไม่มีปัญหา เนื่องจากเขาได้ใช้ความสามารถที่มีไม่จำกัดแก้ไขปัญหาให้น้อยลงได้ ดังนั้น ความสามารถของเราจะมากหรือน้อยขึ้นกับตัวเราเป็นผู้กำหนดนะคะ
ความรัก คือ สิ่งที่ทำให้เรามีความสุข เริ่มจากรักตนเองให้มากพอก่อน เมื่อเรารักตนเองความรักก็จะเผื่อแผ่ไปถึงผู้อื่นที่อยู่ใกล้ชิดเรา พ่อแม่ ลูก สามี ภรรยา เพื่อนและทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเราก็จะได้รับความรักจากเราโดยปริยาย หากเราไม่รู้จักรักตนเอง เราก็จะรักผู้อื่นไม่เป็นเช่นกัน รักตนเองด้วยการดูแลเอาใจใส่ตนเอง ทั้งร่างกายและจิตใจ คนมีความรักมักมีประกายในดวงตา มีความสดใส ใครอยู่ใกล้ก็พลอยมีความสุข รักงาน เพราะงานคือการดำเนินชีวิตของเรา ชีวิตคงเหี่ยวเฉา หากเราไร้รักและตกงาน
รู้สึกดีใจแทนคนที่ได้เข้าฟังค่ะ เพราะเท่าที่ได้ยินได้ฟังมา ก็มีแต่เสียงชื่นชมสรรเสริญในความสามารถของวิทยากร และการทำงานของหน่วยพัฒนาองค์กร ที่นับวันชักจะร้อนแรง (เรื่องผลงาน) ขึ้นทุกวัน ก็นับว่าเป็นโอกาสที่ดีของพนักงานนะค่ะ ที่องค์กรเอาใจใส่มากขนาดนี้ ที่เหลือก็คงต้องกลับไปทบทวนดูว่าจะเอามาใช้กับการใช้ชีวิต แล้วสะท้อนสู่บรรยากาศการทำงานได้อย่างไร ที่ดีใจอีกอย่างคือวลัยลักษณ์ทุ่มเทกับการอบรมค่อนข้างมาก ก็พอจะเข้าใจนะคะว่างานเคลื่อนได้เพราะคน ถ้าคนยังไม่แหลม ก็เอามาเหลา มาขัด มาเกลา ประเดี๋ยวก็คงได้ดีเองล่ะ เพราะว่า " คนคือศูนย์กลางของวงกลม ที่ไม่มีเส้นรอบวง " จริงๆ ซะด้วยซิ
ออ...อยากให้มีการอบรมเรื่อง " Positive thinking " บ้างค่ะ เพราะว่ามันน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของทุกความคิด ซึ่งจะเปลี่ยนมาเป็นการกระทำในภายหลัง และขอเข้าฟังด้วยคนค่ะ