เท่าที่ได้ติดตามการติดต่อเพื่อขอคำปรึกษาจากเพื่อนสมาชิกจำนวนมาก ก็พบว่าเพื่อนสมาชิกมีใจที่จะพัฒนากระบวนการเรียนการสอนในห้องเรียน ด้วยกระบวนการทางวิจัย แต่มีไม่น้อยเลยที่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นกับการที่จะทำวิจัยอย่างไร วันนี้ผมเลยอยากจะแนะนำเป็นเบื้องต้นสำหรับเพื่อนสมาชิกที่อยากพัฒนากระบวนการเรียนรู้ในห้องเรียนด้วยกระบวนการวิจัย หรือที่เราพูดกันติดปากว่าวิจัยในชั้นเรียน
ก่อนอื่นผมก็ขอเริ่มจากเรื่องที่พวกเราคุ้นเคยกันก่อนเลยนะครับ กระบวนการวิจัยถ้าจะว่ากันง่าย ๆ ก็คล้าย ๆ กับสุดยอดของค์ปัญญาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้นั่นแหละครับ คือ อริยสัจ 4 ซึ่งประกอบด้วย ทุกข์ สมุทัย นิโรจน์ และมรรค (แต่อย่าลืมว่า อริสัจ 4 นี้ถูกสรุปรวมมาจากประเด็นธรรมถึง 48,000 พระธรรมขันธ์ นะครับ)แต่ก็อย่าเพ่งตกใจไป เพราะกระบวนการวิจัยไม่ได้ยุ่งยากอย่างที่คิดนะครับ เพียงแค่เข้าใจอริสัจสี่ ก็น่าจะสามารถนำตัวเองเข้าสู่กระบวนการวิจัยได้ไม่ยาก
กระบวนการวิจัยตามแนวอริยสัจสี่ผมเองก็ขอเสนอเพื่อให้เข้าใจง่าย ๆ ดังนี้ครับ
1. ทุกข์ หรือปัญหาของการวิจัย ปัญหาของการวิจัยเป็นประเด็นที่เกิดขึ้นกับกระบวนการทำงานในห้องเรียนของผู้สอนเป็นสำคัญนะครับ(ปัญหาที่อยากศึกษา แต่ไม่เกี่ยวกับห้องเรียนที่สอนผมก็ไม่ขอแนะนำ เพราะไม่เป็นประโยชน์ต่อการเสนอผลงานครับ) และปัญหาก็ควรเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับเด็ก และถ้าแก้ปัญหาด้วยกระบวนการวิจัย ผลก็ควรต้องเกิดกับนักเรียนนะครับ ขอยกปัญหาตัวอย่างบางประเด็นนะครับ เช่น ครูคนหนึ่งสอนนักเรียนชั้น ป.4 เป็นทั้งคณูผู้สอนและครูประจำชั้น โดยมีนักเรียนในห้องเรียนนี้จำนวน 35 คน วันหนึ่งคุณครูสอนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องเศษส่วน พบว่านักเรียนจำนวนมากไม่สามารถทำความเข้าใจเกี่ยวกับเศษส่วนได้ การที่นักเรียนเรียนเรื่องเศษส่วนไม่รู้เรื่องนี่แหละครับคือทุกข์ หรือปัญหาของคุณครู ทุกข์ที่พบนี่แหละเป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำให้คุณครูคนนั้นคิดและหาวิธีพ้นทุกข์หรือที่เราเรียกว่าแก้ปัญหานั่นเองครับ(อาจจะยังไม่ต้องคิดถึงหัวข้อวิจัยนะครับ อาจจะคิดวิธีพัฒนาผู้เรียนหรือแก้ปัญหาก่อนก็ได้ แต่ควรจะมีการบันทึกความคิดและสิ่งที่ได้จากการคิดอย่างต่อเนื่องนะครับ
2. สมุทัย หรือสาเหตุแห่งทุกข์ หรือสาเหตุของปัญหา มาจากเรื่องอะไร อยากให้เพื่อสมาชิกได้ลองกระบวนการคิดเพื่อค้นหาสาเหตุของปัญหาด้วยการวาดรูปนะครับ ที่เราเรียกว่า mind map โดยเริ่มหรือถ้าเขียน mind map ไม่เก่งเหมือนอาจารย์แก้วสรรค์ อติโพธิ ก็ใช้การขีดเส้นเป็นรูปก้างปลาก็ได้(Fish bone chart) สาเหตุของปัญหาที่ได้จะพบว่ามีมากมายเลยครับ สาเหตุต่างๆ เหล่านั้นแหละครับเป็นประเด็นที่จะทำให้เราสามารถเขียนสมมติฐานการวิจัยได้ หรือถ้าเราเลือกศึกษาแต่ละสาเหตุ ก็จะทำให้เราเข้าใจขอบเขตของการวิจัยได้ เวลาเราศึกษาด้วยการวิจัย ก็จะทำให้เราไม่หลงประเด็นครับ อีกอย่างที่เป็นประโยชน์สำหรับการค้นหาสาเหตุของปัญหาอย่างนี้ จะทำให้เกิดแนวคิดในการศึกษาในรูปแบบต่าง ๆ กันไปได้หลายรูปแบบ หรือสามารถนำแนวคิดที่เกิดจากสาเหตุของปัญหามาสร้างเป็นนวัตรกรรมเพื่อแก้ปัญหาได้อีกครับ
3. นิโรจน์ หรือแนวทางในการแก้ปัญหา เมื่อเราทราบสาเหตของปัญหาแล้ว เราก็ลองคิดวิธีแก้ปัญหาในแต่ละประเด็นดูว่า มีแนวทางในการแกปัญหาด้วยการวิจัยอย่างไร ขั้นตอนนี้อาจจะต้องศึกษากระบวนการวิจัยเพิ่มนะครับ เพราะกระบวนการวิจัยแต่ละวิธีก็จะมีการวิเคราะห์ทางสถิติที่แตกต่างกันออกไป รายละเอียดเรื่องนี้ค่อยปรึกษาหารือกันหรือจะแลกเปลี่ยนกับผู้รู้ใน webblog แห่งนี้ได้หลายท่านครับ แต่ที่สำคัญคือประเด็นของสาเหตุแต่ละประเด็นให้คิดถึงวิธีการออกมาให้ตลอด จนถึงขึ้นตอนสุกท้ายที่คิดว่าจะได้ข้อมูลที่สรุปได้ แล้วเลือกเอาประเด็นใดประเด็นหนึ่งที่คิดว่าท่านทำได้ดีที่สุด เหมาะสมกับตนเองมากที่สุด เกิดประโยชน์สูงสุด เอาประเด็นเดียวครับ
4. มรรค (หนทางพ้นทุกข์) หรือดำเนินการศึกษา ขอให้ทำการศึกษาด้วยหลัก 8 ประการของมรรคนะครับ สิ่งต่าง ๆ จะออกมาตามความเป็นจริง ถ้าสิ่งที่เลือกครั้งแรกไม่เป็นไปตามสมมติฐาน ก็ให้เลือกอีกวิธี ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่ง คิดว่าได้วิธีที่ดีที่สุด แล้วเอาข้อมูลทั้งหมด มาเขียนงานวิจัยต่อไป
การเขียนงานวิจัย มีรูปแบบตกต่างกันไป แล้วแต่จะยึดเอารูปแบบของสถาบันการศึกษาใดเป็นหลัก ตามใจท่านผู้เขียน รายละเอียดค่อยเพิ่มเติมต่อไปนะครับ
ไม่มีความเห็น