25.บูชาเทพเจ้าก่อนเริ่มภารกิจของวันใหม่


ความเชื่อและศรัทธานำพาชีวิตคนอินเดียให้รุ่งเรือง

                         

ท่านคงสังเกตว่าที่หน้าผากของชาวอินเดียโดยเฉพะผู้ชายจำนวนไม่น้อยจะมีขีดสีขาว

3 เส้นพาดขวางเต็มหน้าผาก มีจุดแต้มสีเหลืองอยู่ตรงกลางบ้าง บางคนก็ขีดสั้นๆ สีขาว

บางคนมีขีดสีแดงเส้นเดียวขีดยาวสัก 1-1 นิ้วครึ่งบางๆ จากระหว่างคิ้วขึ้นไป

ผู้หญิงก็มีจุดแดงกลมแต้มที่หน้าผาก เขาทำเป็นเรื่องปกติ ดิฉันทราบว่าทุกเช้าชาว

อินเดียตื่นนอนแต่เช้าเพื่อเตรียมอาหาร อาบน้ำชำระกายแล้วจึงบูชาเทพเจ้าที่ตน

เคารพพร้อมถวายอาหาร ดังนั้นเมื่อบูชาแล้วเขาจะแต้มเถ้าหอม หรือผงหอมที่หน้าผาก

เสร็จแล้วเตรียมตัวไปทำงาน จะเห็นว่าคนอินเดียไม่ห่างไกลจากศาสนาเลย เขาจะ

เคารพกราบไหว้บูชาเทพเจ้าด้วยความศรัทธา และทำอย่างเคร่งครัด วัดในเมืองเจนไน

หรือในรัฐทมิฬ นาดูจะมีรูปทรงเหมือนวัดแขก ถนนปั้นทั้งสิ้น สวยงาม ยิ่งใหญ่

อลังการ หากท่านได้เข้าไปกราบไหว้ ท่านจะเห็นบรรยากาศของความศรัทธาของ

ศาสนิกฮินดูที่ไม่ขาดสายตลอดทั้งวัน จนถึงยามค่ำคืน โบราณสถานของอินเดีย

มีมากมายที่อลังการ สวยงามเกินความสามารถของมนุษย์ยุคปัจจุบันที่จะสร้างสรรค์

ให้เท่าเทียมได้ซึ่งเกิดจาก ศรัทธา ของศาสนิกอย่างแท้จริง แม้จนทุกวันนี้ เราก็ยัง

สัมผัสได้ในความศรัทธาของศาสนิกฮินดูจากวัด และพิธีกรรมต่างๆ ที่มีอยู่เป็น

จำนวนมากทั้งในประเทศอินเดีย และชุมชนชาวอินเดียที่อยู่ในต่างประเทศ รวมไป

ถึงศาสนาอื่นๆ ด้วย การยึดมั่นปฏิบัติตามคำสอนในศาสนาจะช่วยกล่อมเกลาจิตใจ

ของคนให้อยู่ในศีลธรรม เป็นคนดีของสังคม

                ที่รัฐทมิฬ นาดู มีผู้ชายจำนวนมากนุ่งโสร่งทั้งยาว และสั้น (พับปลายล่าง

ทบครึ่งมาสอดไว้ที่เอว) คล้ายนุ่งกระโปรงสั้น เขานุ่งออกไปนอกบ้าน เป็นเรื่องธรรมดา

การไม่ใส่รองเท้าก็เป็นเรื่องธรรมดาของเขา ศาสนิกชาวฮินดูถอดรองเท้าเข้าวัดและ

เดินเท้าเปล่ากันไกลๆ เป็นเรื่องปกติแม้พื้นจะร้อนมากก็ตาม  แต่คนไทยในเมือง

รู้สึกไม่ธรรมดากับการเดินเท้าเปล่า ยิ่งเราระมัดระวังเรื่องสุขลักษณะมากเท่าใด

เราก็ยิ่งห่างไกลจากธรรมชาติมากเท่านั้น ทำให้ชีวิตเรายุ่งยากมากขึ้น ดิฉันยัง

พบชายชาวอินเดียบางคนนุ่งโสร่งสีขาวนั่งเครื่องบินมาเที่ยวเมืองไทย กินดื่มบน

เครื่องบินกันเต็มที่จนแอร์โฮสเตสสายการบินแอร์ อินเดียเองยังหงุดหงิดเพราะ

ผู้โดยสารพูดคุย ทักทาย เดินกันขวักไขว่ไปมา เหมือนอยู่บ้าน หากเราใช้สายตาคนไทย

ตัดสิน เราคงบอกว่าพวกนี้ล้าสมัย บ้านนอก แต่หากเรามองด้วยใจเป็นกลาง เราจะ

ไม่รู้สึกอะไร คนไม่เคยไปไหน ไม่เคยเห็นสังคมอื่นๆ ที่แตกต่างก็อาจทำอะไรอย่างที่

ตนเคยทำ แต่คนที่ทำเช่นนั้นได้เพราะเขามีความมั่นใจในความเป็นตัวตนของตนเอง

ไม่สนใจว่าคนอื่นจะมองอย่างไร คิดอย่างไร แต่เขาคิดว่าสิ่งเขามีและเป็นอยู่ดีแล้ว

ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนเขาก็ยังประพฤติปฎิบัติต่อไป เมื่อเขาเห็นมาก เรียนรู้มากขึ้น

 เขาก็อาจจะปรับตัวให้กลมกลืนได้ แต่ไม่เสียอัตลักษณ์ของตนไป คนที่ไม่มีความมั่นใจ

ต่างหากก็จะต้องคอยดู คอยตามคนอื่นเพื่อไม่ให้ใครรู้ว่าเราแตกต่าง เราไม่รู้ เราไม่

เหมือนเขา เสียความเป็นตัวเองจนแม้กระทั่งเสียอัตลักษณ์ของกลุ่มชนไปเลยก็มี

ให้เห็นมามากแล้วในประเทศไทย แต่เรื่องการนุ่งโสร่งออกไปนอกบ้านเป็นเรื่อง

ปกติธรรมดาของสังคมของเขา ดังนั้น เราจึงไม่ควรจะไปตัดสินด้วยสายตาคนนอก

เพราะจะไม่ตรงและไม่จริง แต่ควรมองอย่างที่เห็นและที่เป็นโดยไม่ต้องตัดสินใดๆ

         ดิฉันชวนคิดว่าคนไทยเป็นประเภทที่รักษา "หน้า" มาก เรายอมกู้ยืมเงินมาซื้อหา

สิ่งอำนวยความสะดวก (วัตถุนิยม) โดยมิได้คำนึงถึงศักยภาพของตนเอง เพียงเพื่อ

ให้มีเหมือนๆ ผู้อื่น ใครจะรู้ว่าในการได้มาของสิ่งของเหล่านั้น เราอาจต้องผจญกับ

การโหกเมื่อถูกทวงหนี้ การทะเลาะด่าทอ ไม่พอใจ สุดท้ายตนเองและครอบครัวอาจ

เกิดความลำบาก ไม่เพียงแต่เรื่องวัตถุ ในเรื่องอื่นๆ ก็เช่นกัน สังคมไทยโดยเฉพาะ

ในอดีต ผู้ใหญ่ไม่เปิดโอกาสให้ผู้น้อย เด็กได้คิดเอง เอาแต่สั่งและให้ทำตามที่ผู้ใหญ่สอน

หรือบอกเท่านั้น แม้ในปัจจุบันผู้ใหญ่จำนวนมากไม่ "ฟัง" ผู้อื่นเลย เมื่อไม่เปิดโอกาส

เด็กก็ไม่ได้หัดคิด หัดใช้เหตุผล นิ่งเงียบคือลักษณะคนไทย ไม่กล้าที่จะบอกว่าฉันไม่รู้

กลัวพูดผิด กลัวถามอะไรโง่ๆ กลัวเสีย  "หน้า"  หลายคนบอกทำ "ฟอร์ม" ไว้ก่อน การ

ไม่ยอมรับความจริง การไม่เป็นตัวของตัวเอง การไม่ใช้เหตุผลเหล่านี้ ทำให้สังคมเรา

เลียนแบบคนอื่นได้ง่าย ไม่มีวิจารณญาณในการเลือกที่จะ "รับ" สิ่งต่างๆ ด้วย 

ผู้ที่สำเร็จการศึกษาจากต่างประเทศก็เอาสิ่งที่ตัวเองเรียนมากับครูฝรั่งทั้งหมดมา

ใช้กับสังคมไทยซึ่งมีทั้งที่ใช้ได้และใช้ไม่ได้อยู่มากมาย แต่ไม่ได้กลั่นกรองเลือกนำมาใช้

ฝรั่งว่าดี ฉันก็เป็นศิษย์มีครู ดีทั้งนั้น การศึกษาไทยจึงทำให้คนไทยเป็นอย่างที่เห็นทุกวันนี้

         ลูกศิษย์ดิฉันเคยถามว่าทำไมคนไทยไม่คิดทฤษฎีขึ้นมาเองบ้าง ที่เรียนๆ อยู่นี่นำเข้า

มาจากฝรั่งทั้งนั้น เราก็เห็นว่าใช้ไม่ได้กับบริบทไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากมาย

ยังทู่ซี้เรียนอยู่นั่นแล้ว ดิฉันว่าคำตอบก็จะวนอยู่กับเหตุและผลข้างต้น ท่านคิดเห็นเป็น

อย่างไรคะ

        อินเดียมีนักคิดมากมาย นักปรัชญา นักวิทยาศาสตร์ สารพัด "นัก"  ท่านไม่สนใจที่จะศึกษา

ค้นคว้า หาความเป็น "เพชร" แบบเอเชียด้วยกันหรือ??

-----------------------------------

 ขอเรียนเชิญท่านที่สนใจเรื่องราวของอินเดียในมิติต่างๆ ที่ประสงค์

จะศึกษาต่อในระดับปริญญาโท ขณะนี้สถาบันวิจัยภาษา

และวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาชนบท และบัณฑิตวิทยาลัย

มหาวิทยาลัยมหิดล กำลังเปิดรับสมัครนักศึกษารอบสอง

หลักสูตรอินเดียศึกษา ระหว่างวันนี้ถึงวันที่ 8 มีนาคม 2551

กรุณาสมัครด่วน ท่านอาจจะได้รับทุนการศึกษาต่อในระดับปริญญา

เอกที่ประเทศอินเดีย หากมีผลการเรียนในระดับปริญญาโทดี

(www.lc.mahidol.ac.th) โทร. 02-800-2308-14 ต่อ 3308, 3101

หมายเลขบันทึก: 164380เขียนเมื่อ 10 กุมภาพันธ์ 2008 08:26 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 พฤษภาคม 2012 22:06 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

อาจารย์โสภนาครับ

เรื่องความศรัทธาและมั่นคงในศาสนาของคนอินเดีย เป็นเรื่องที่น่าชื่นชมครับและเป็นจริงดังที่ว่า แม้ในปัจจุบัน คนอินเดียในทุกระดับ ก็ยังปฏิบัติตนในครอบครัวเช่นในอดีต

ในประเทศที่กว้างใหญไพศาลเช่นนี้ สิ่งที่ทำให้คนอินเดียสื่อถึงกันได้ทั่วถึงก็คือผ่านหนังสือซึ่งมีราคาถูกมาก ทุกรัฐไม่ว่ารวยหรือยากจน หนังสือเป็นสิ่งที่แพร่หลายไปทั่ว อุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์อินเดียจึงเจริญและก้าวหน้าไปมากทีเดียว

คนอินเดียคิดมาก รู้มากเพราะมีหนังสือให้อ่านมาก น่าสนใจจริงๆ ครับ

หนังสือนั้นมีส่วนทำให้คนในประเทศพัฒนาตนได้จริงๆ

สวัสดีค่ะคุณโสภนา

   ขอร่วมแสดงความดิดเห็นด้วยนะคะ เกี่ยวกับส่วนของคนไทยก็แล้วกัน เพราะยังไม่เคยสัมผัสต่างชาติ

 ที่จริงคนไทยเรา มีศักยภาพสูงมาก เกือบทุกด้าน โดยเฉพาะจิตวิญญาณ ทำให้เราเห็นภูมิปัญญาไทยมากมาย ที่ยังคงเป็นผู้ถ่ายทอดคุณธรรม และภูมิปัญญนั้นๆ กันอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยวัฒนธรรม ของเรา คนเหล่านี้ จะมัก ไม่ค่อยประกาศตัว ทำตามลำพังไปเรื่ยยๆ จึงอาจเป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ดูเหมือนสังคมเรา จะไม่มีอัตลักษณ์ชัดเจน เหมือนอาจารย์ว่า

  การที่เราส่งเสริม และนิยม ความทันสมัย การได้ร่ำเรียนสูงๆ โดยขาดปฏิบัติ การรับเอาวัฒนธรรม จากต่างชาติเข้ามา ล้วนเป็นเหตุให้เกิดอัตตาสูง และมีความเชื่อมั่น เป็นบุคคลที่อยู่แนวหน้าทันสมัย และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ หลายอย่างของงานพัฒนา จึง กลายเป็นคนเหล่านี้ เป็นผู้คิด ผู้วางแผน ซึ่งบางครั้งผู้ปฏิบัติก็ลำบากใจ

   อาจเป็นการมองในมุมแคบๆ เฉพาะตัว และมีความรู้น้อย ค่ะ

 แนวทางแก้ไข เราควรจะช่วยกันรื้อฟื้น ความเป็นไทย ความคิดแบบไทยๆ อยู่อย่างไทยๆ ให้ยังคงอยู่ เริ่มที่เรา เริ่มที่ชุมชนของเรา เราอาจไม่มีอำนาจ ถึงการเป็นผู้งนโยบายประเทศ แต่ก็คงไม่เกินกำลัง

   เอาง่ายๆ แค่ถามตัวเองว่า เวลาได้ยินเพลงชาติ แล้วเคยลุกขึ้นยืน ให้ความเคารพไหม เวลาแค่ไม่กี่นาที ขณะยืน ทำได้ไหม แค่ระลึกถึงความเป็นเอกราช ความเป็นไทย ที่เขาร้องให้ฟัง ทำบ่อยๆ ความเป็นไทยจะถูกซึมซับเข้ามาในสมองเราเองค่ะ จริงๆค่ะเพราะทำประจำ

 ขอบคุณอาจารย์มากค่ะ

  

เรียน คุณหมอ ที่นับถือ 

ดิฉันเห็นด้วยค่ะว่าคนไทยมีศักยภาพหากได้รับการกระตุ้น ส่งเสริมและโอกาสได้ทำอย่างเต็มที่ รัฐเป็นผู้กำหนดนโยบายควรให้ความสำคัญกับการพึ่งตนเองของประชาชนให้ได้ มิใช่รอความช่วยเหลือจากรัฐอย่างเดียว

เรามีปราชญ์ชาวบ้านมากมายที่ท่านประสบความสำเร็จจากการเรียนรู้ ค้นคว้าและทำด้วยตนเอง ลองผิดลองถูกจนหาบทสรุปให้กับชีวิตตนเองได้และสอนผู้อื่นได้ พวกที่มีดีกรีสูงๆ จำนวนมากยังไม่สามารถทำได้อย่างท่านเลย

ใช่ค่ะ หากการทำความดีทุกอย่างเริ่มที่ตัวเราก่อนทุกคน ปัญหาต่างๆ คงไม่พอกพูนขนาดนี้นะคะ ขอจงอย่าชี้นิ้วไปที่คนอื่น แต่จงกลับมาดูตัวเราก่อนนะคะ

ขอบพระคุณมากค่ะคุณหมอ

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท