วิถีชุมชนบ้านวังตาปลั่ง ตำบลวังควง อำเภอพรานกระต่าย จังหวัดกำแพงเพชร
เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2551 ทีมงานของคนทำงาน ของสำนักงานเกษตรจังหวัดกำแพงเพชร ประกอบด้วย ผม อ.สิงห์ป่าสัก คุณกมลรัตน์ นาคคำ (นวส.7ว.) และคุณสราญจิต หรุ่นขำ (นวส.7ว.) ได้ยกทีม ไปเสริมหนุนคนทำงานในระดับอำเภอของสำนักงานเกษตรอำเภอพรานกระต่าย จังหวัดกำแพงเพชร คือคุณรัตติยา ขวัญคำ (นวส.6ว.) ซึ่งทำหน้าที่เป็นเลขานุการคณะกรรมการบริหารศูนย์บริการและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรประจำตำบลวังควง และคุณบุญส่ง จอมดวง (เจ้าพนักงานเคหกิจเกษตร) ซึ่งได้กำหนด Action Plan เพื่อลงปฏิบัติงานโดยจัดเวทีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ร่วมกับกลุ่มวิสาหกิจชุมชนการผลิตข้าวขาวหอมมะลิอินทรีย์บ้านวังตาปลั่ง
ในขณะที่ทีมงานกำลังอยู่ระหว่างเดินทาง เข้าชุมชนบ้านวังตาปลั่ง ซึ่งอยู่ห่างจากตัวอำเภอ ประมาณ 30 กว่า กิโลเมตร ในช่วงที่เข้าชุมชน ได้เห็นระบบการผลิตพืช ซึ่งก็จะเห็นทุ่งนา ที่มีแต่ตอซัง เพราะว่าเกษตรกรได้เก็บเกี่ยวข้าวไปแล้วช่วง พย.-ธค แต่ก็จะมีเกษตรกรบางครอบครัว ที่ปลูกพืชหลังนา คือ ถั่วเขียวและถั่วเหลือง และมีเกษตรกรส่วนหนึ่ง นอกจากจะปลูกข้าว ไว้บริโภคในครัวเรือนแล้ว หากเหลือจากการบริโภคก็จะจำหน่าย
นอกจากนี้เกษตรกรบางรายนอกจากจะปลูกข้าวขาว หอมดอกมะลิ ในหนึ่งปี ปลูกครั้งเดียวโดยอาศัยน้ำฝน และ ยังเลี้ยงโค และไก่พื้นบ้าน เป็นอาชีพเสริม ส่วนบุตรหลานของเกษตรกรที่อยู่ในวัยทำงาน หลังฤดูการเก็บเกยี่วผลผลิตแล้ว ก็จะออกไปรับจ้างในตัวจังหวัดและเมืองหลวง
จุดเด่นที่ผมได้เห็นก็คือ เตากลั่นน้ำส้มควันไหม้ ของกลุ่มนี้ได้ช่วยกันผลิต เพื่อที่จะนำไปใช้และนำไปแบ่งปันให้กับเครือญาต เพื่อนบ้าน ที่มีการทำกิจกรรมทางการเกษตรได้ใช้เพื่อที่ส่งเสริมหรือขยายไปสู่ชุมชนข้างเคียงอีกด้วย
เมื่อทีมงานของเราได้เดินทางไปถึงศาลากลางบ้านตาปลั่ง มีเกษตรกรไม่น้อยกว่า 30 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผลิตข้าวขาวหอมมะลิอินทรีย์บ้านวังตาปลั่ง กำลังจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน โดยมี คุณรัตติยา ขวัญคำ นักส่งเสริมการเกษตร(เลขานุการคณะกรรมการบริหารศูนย์บริการฯ) และคุณบุญส่ง จอมดวง (เจ้าพนักงานเคหกิจเกษตร ) เป็นผู้ดำเนินการร่วมกับกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านวังตาปลั่ง
ช่วงแรกที่ผมได้เข้าไปในชุมชนบ้านตาปลั่งนี้ จากการได้สังเกต พบว่าความเป็นอยู่ของชุมชนนี้ ยังรักษา หรืออนุรักษ์ สิ่งที่ยังเป็นสภาพชุมชนเดิม ที่ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปสู่ด้านวัตถุที่นำไปจากข้างนอกเข้าไปสู่ในชุมชนเอง ผมเห็นแล้วกลับภูมิใจต่อคนในชุมชน ที่ยังมีความรัก ความสามัคคี การร่วมมือ รวมถึงการรวมกลุ่ม ตลอดจน เห็นการตั้งบ้านเรือน การประกอบอาชีพ โดยไม่หลงกระแสของความเปลี่ยนแปลงมากนักมากนัก
ชุมชนในลักษณะนี้จะหาดูได้ยากมากในเขตพื้นที่ของจังหวัด ทำให้ผมสนใจอยากจะศึกษาเรื่องของวิถีชุมชนบ้านตาปลั่ง ว่าชุมชนแห่งนี้เขามีจุดแข็งอะไรบ้าง ที่คนในชุมชนนี้ได้ช่วยกันรักษาไว้ รวมถึงประเพณี วัฒนธรรม สำคัญที่สุดก็คือด้านภายในจิตใจของคนที่อยู่ร่วมกันในชุมชนและสิ่งที่มองเห็น ณ.เวลานี้ก็คือ ผมเห็นผู้นำชุมชนวังตาปลั่งคือคุณอรุณ พงษ์เสือ เป็นประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนนี้ ซึ่งชาวบ้านจะให้การยอมรับและเชื่อถือ
ช่วงแรกของบรรยากาศการจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ร่วมกับกลุ่มวิสาหกิจชุมชนกลุ่มนี้ เขามีเป้าหมายเพื่อที่จะร่วมกันประเมินศักยภาพของกลุ่มแบบมีส่วนร่วม ว่ากิจกรรมของกลุ่มที่ดำเนินการมาตั้งแต่ปี พศ.2547 นั้น มีความก้าวหน้าเป็นอย่างไร มีจุดอ่อนที่พบว่ามีอะไรบ้าง และมีแผนของการพัฒนากลุ่มในฤดูการผลิตต่อไป จะทำอะไรกัน ซึ่งทางสมาชิกกลุ่มก็จะได้แลกเปลี่ยนหารือร่วมกัน ในเป้าหมายของการผลิตข้าวขาวหอมมะลิอินทรีย์ต่อไป
ทีมงานของเราต้องขอชื่นชมความมุ่งมั่นของนักส่งเสริมการเกษตรที่รับผิดชอบงานระดับตำบล ที่ยังมีพลังใจที่จะทำงานร่วมกับชุมชนอย่างไม่ย่อท้อ ถึงเงินเดือนจะเต็มขั้นมาหลายปีอย่างคุณรัติยา ขวัญคำและคุณบุญส่ง จอมดวง หากเราอยู่ระดับจังหวัด ไม่ลงไปเสริมหนุนนักส่งเสริมการเกษตรระดับตำบลและกลุ่มอาชีพทางการเกษตรแล้ว เป้าหมายของการผลิตข้าวขาวมะลิอินทรีย์ หรือ การผลิตพืช GAP ของกลุ่มเป้าหมายอาชีพ ที่ไปรับการจดทะเบียนตามพรบ.ส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนแล้ว จะเกิดการเรียนรู้ หรือไม่ และจะยั่งยืนแค่ไหน นั้น มิใช่แต่เพียง สั่ง มอบหรือ Top Down เท่านั้น เพื่อให้เขาเหล่านั้นต้องลงไปทำงานกับกลุ่มอาชีพทางการเกษตร จึง ยังจะต้องเสริมหนุน พัฒนา ช่วยให้เกิด Competency รวมทั้งการปรับแนวคิดในการทำงาน อาจจะต้องรวมถึงขัวญและกำลังใจเป็นสำคัญ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทีมงานเสริมหนุนคนทำงาน จึงได้ตระหนักอยู่เสมอ เพื่อที่ช่วยนักส่งเสริมการเกษตร และกลุ่มอาชีพทางการเกษตร ได้เกิดการเรียนรู้ และพัฒนาไปอย่างไม่หยุดยั้งต่อไปครับ
(โปรดติดตามอ่านตอนต่อไปจะกล่าวถึงบรรยากาศของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้)
สวัสดีครับ
เป็นกำลังใจให้ครับ❤❤