เห็นด้วยกับคุณดังตฤณครับ แต่ผมยังปฏิบัติได้ไม่มากเท่าคุณดังตฤณ แต่อ่านและฟังครูบาอาจารย์มามาก อยากให้กำลังใจพวกเดียวกันครับ คือการจะเข้าพระนิพพานนั้น ได้จากการตัดกิเลสภายในจิตของเราครับ ถ้าเราปฏิบัติดี กิเลสมันก็เบาบางลงได้ หรือหมดไปก็ได้ครับ พอฝึกจนเห็นจิตได้ จนชำนาญ ก็คงเป็นอย่างที่คุณดังตฤณกล่าวครับ เพราะจิตกับกายนี้เป็นคนละส่วนกัน ไม่งั้น พระพุทธเจ้าท่านคงต้องแบ่งเพศตอนขึ้นลำดับญาณนะครับ แต่ท่านไม่ได้แบ่ง ท่านบอกแค่ว่าเริ่มต้นวิปัสสนาคือ แยกรูปกับนามได้ ครับ ตอนเด็ก ๆ ผมเคยนั่งสมาธิแล้ว เห็นมีเราอีกคนอยู่ในตัวครับ มันไม่บอกว่ามันเป็นหญิงหรือชาย ไอ้ทีว่าหญิงหรือชายมันคือกายเนื้อเท่านั้นครับ (ตอนนี้ไม่เห็นแล้วนะครับ ตอนนี้กิเลสหนาอ่ะ แต่ยังปฏิบัติอยู่ เลยเอามาเล่าได้ครับ) อันนี้เป็นแค่ใช้สมาธินะครับ ส่วนเข้าวิปัสสนาแล้วมันยิ่งกว่านี้คือมี แต่รูปกะนาม แล้วถ้าสังเกตุไปเรื่อย ๆ จนเห็นความจริง กิเลสมันก็เจือในจิตเราไม่ได้ครับ ถ้าพวกเราจะไม่สำเร็จก็น่าจะเกิดจากเราทนต่อ กามราคะ ที่มีมากของเราไม่ได้มากกว่า ยอมให้จิตรวมกับราคะ แต่มันก็ไม่ใช่แค่เกย์ที่เป็นนะครับ ผู้ชายหรือผู้หญิง จริง ๆ ก็เหมือนกันถ้า ไม่สามารถ ทนต่อ กามราคะ ที่เกิดได้ ก็ไม่สำเร็จเช่นกันครับ ไม่ใช่ว่าเราเป็นเกย์ แล้วไม่สำเร็จ มันไม่สำเร็จเพราะไม่รู้เท่าทันกิเลสเท่านั้นครับ เคยมีอาจารย์ท่านหนึ่งกล่าวว่า เราก็เอาไอ้ที่เรามีมากนี่แหล่ะมาดูจิตของเรา มันเกิดบ่อย เราเห็นบ่อย เราก็มีสติบ่อย (แต่แรก ๆ ต้องช่วยดับมันก่อนนะครับ หลัง ๆค่อยว่ากันครับ เห็นอาจารย์หลายท่านบอกว่ามันจะดับเองได้ อันนี้ผมยังไม่เห็นครับ ขอโทษด้วย) มีสติกล้าจนเป็นมหาสติเมื่อไหร่ก็มีสิทธิ์หมดกิเลสได้ครับ (เอาวิกฤตให้เป็นโอกาสครับ)
ขอเป็นกำลังใจกับผู้ตั้งใจปฏิบัติทุกท่านนะครับ สู้ ๆ ครับ ผมก็จะทำเช่นกัน