หน้าแรก
สมาชิก
ลุงหนวด
สมุด
ปฎิรูปสุขภาพ
ผลไม้ไทยป้องกันภั...
ลุงหนวด
นาย เกษม จันทศร
สมุด
บันทึก
อนุทิน
ความเห็น
ติดต่อ
ผลไม้ไทยป้องกันภัยมะเร็ง
ผลไม้ไทยป้องกันภัยมะเร็ง
ผลไม้ไทย
มี
“
สารทำลาย
”
ตัวการก่อมะเร็ง ต้อกระจก
โรคหัวใจ
ขณะนี้คนไทยกำลังเผชิญกับปัญหาสุขภาพที่เกิดมาจากพฤติกรรมการกินการอยู่มากขึ้น
มีข้อมูลการวิจัยจากผู้เชี่ยวชาญทั้งในและต่างประเทศบ่งชี้ว่า
ปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้น เกี่ยวข้องกับสารที่เรียกว่า อนุมูลอิสระ
โดยอนุมูลอิสระดังกล่าว สามารถทำปฏิกิริยาโยงใยในร่างกายได้มากมาย
ก่อให้เกิดการอักเสบ การทำลายเนื้อเยื่อ เกิดต้อกระจกในผู้สูงอายุ โรคมะเร็ง
โรคหัวใจและหลอดเลือด โดยเฉพาะโรคมะเร็งและโรคหัวใจนี้กำลังเป็นปัญหาใหญ่ทั่วโลก
คนไทยเสียชีวิตจากโรคมะเร็งเพิ่มขึ้นเกือบ
2
เท่าตัว จากปี
2540
เสียชีวิต
26,237
คน เป็น
52,062
คน ในปี
2549
เฉลี่ยชั่วโมงละ
6
ราย
เสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดปีละ
34,000
ราย เฉลี่ยชั่วโมงละ
4
ราย
โดยอนุมูลอิสระนี้ มาจากภายนอกและภายในร่างกาย ได้แก่มลพิษในอากาศ จากควันบุหรี่
แสงแดด รังสีแกมมา คลื่นความร้อน
ส่วนที่มาจากภายในร่างกายเกิดจากกระบวนการเผาผลาญของอ็อกซิเจนภายในเซลล์
หรือเกิดจากย่อยทำลายเชื้อแบคทีเรียของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย
ก็ทำให้เกิดอนุมูลอิสระได้
ซึ่งจากการวิจัยพบว่ามีสารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ
ได้แก่วิตามินอี วิตามินซีและเบต้าแคโรทีน สารทั้ง
3
ตัวนี้
สามารถกำจัดอนุมูลอิสระได้ โดยวิตามินซี ซึ่งละลายน้ำได้
จะทำหน้าที่จับอนุมูลอิสระในเซลล์ที่เป็นของเหลว ป้องกันการถูกอนุมูลอิสระทำลาย
ส่วนวิตามินอี เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน จะช่วยยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระได้
ส่วนวิตามินเอ ซึ่งเป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน ที่อยู่ในรูปของเบต้าแคโรทีน
หรือแคโรทีนอยด์ ซึ่งมีในอาหารธรรมชาติประมาณ
600
กว่าชนิด
ทำหน้าที่ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ยับยั้งการก่อกลายพันธุ์
ป้องกันเนื้องอก และมีความเกี่ยวข้องกับสุขภาพด้านอื่นๆ ได้แก่
ลดความเสี่ยงเกี่ยวกับการเสื่อมของตาเนื่องจากสูงอายุ และต้อกระจก
รวมทั้งลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งบางชนิด และโรคหัวใจและหลอดเลือดได้อย่างดี
ทั้งนี้สารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ มีมากในผักผลไม้หลายชนิด โดยเฉพาะที่มีสีเขียว
แดง แสด และเหลือง เช่น ผักใบสีเขียวเข้ม ได้แก่ ผักขม ผักคะน้า ผักตำลึง ผักบุ้ง
ผักผลไม้ที่มีสีเหลือง เช่น ฟักทอง แครอท มะเขือเทศ มะม่วงสุก มะละกอสุก เป็นต้น
วิตามินอี เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำมัน และมีมากในน้ำมันพืชทั่วไป เช่น
น้ำมันข้าวโพด น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกคำฝอย เป็นต้น
ในผักและผลไม้มีวิตามินอีค่อนข้างน้อย ส่วนวิตามินซีมีมากในผักและผลไม้สดทั่วไป
กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขได้ทำการศึกษาแหล่งอาหารไทยที่มีสารต้านอนุมูลอิสระทั้ง
3
ตัวนี้
เพื่อใช้เป็นข้อมูลส่งเสริมให้ประชาชนทั่วประเทศได้บริโภคสารสำคัญนี้
อย่างต่อเนื่องทุกวัน โดยศึกษาผลไม้ที่มีบริโภคในประเทศไทย
83
ชนิด
ในปริมาณส่วนที่รับประทาน
100
กรัม ผลพบว่า ผลไม้ที่พบสารเบต้าแคโรทีนมากที่สุด
10
อันดับแรก คือ มะม่วงน้ำดอกไม้สุกมี
873
ไมโครกรัม รองลงมาได้แก่ มะเขือเทศราชินีมี
639
ไมโครกรัม มะละกอสุกมี
532
ไมโครกรัม
แคนตาลูปเหลืองมี
217
ไมโครกรัม
มะปรางหวานมี
230
ไมโครกรัม มะยงชิด มี
207
ไมโครกรัม สัปปะรดภูเก็ตมี
150
ไมโครกรัม แตงโมมี
122
ไมโครกรัม ส้มสายน้ำผึ้งมี
101
ไมโครกรัม และลูกพลับมี
93
ไมโครกรัม
ผลไม้ที่มีวิตามินอีสูงสุด
10
อันดับแรก ได้แก่ ขนุนหนังมี
2.38
มิลลิกรัม มะขามเทศมี
2.29
มิลลิกรัม มะม่วงเขียวเสวยดิบมี
1.52
มิลลิกรัม
มะเขือเทศราชินีมี
1.34
มิลลิกรัมมะม่วงเขียวเสวยสุกมี
1.23
มิลลิกรัม
มะม่วงน้ำดอกไม้สุกมี
1.1
มิลลิกรัม มะม่วงยายกล่ำสุกมี
0.97
มิลลิกรัม กล้วยไข่มี
0.47
มิลลิกรัม แก้วมังกรเนื้อสีชมพูมี
0.59
มิลลิกรัม และสตรอเบอรี่มี
0.54
มิลลิกรัม
ส่วนผลไม้ที่มีวิตามินซีมากที่สุด
10
อันดับแรก คือ ฝรั่งกลมสาลี่ มี
187
มิลลิกรัม ฝรั่งไร้เมล็ดมี
151
มิลลิกรัม มะขามป้อม มี
111
มิลลิกรัม
มะขามเทศมี
97
มิลลิกรัม เงาะโรงเรียนมี
76
มิลลิกรัม ลูกพลับมี
73
มิลลิกรัม
สตรอเบอรี่มี
66
มิลลิกรัม มะละกอแขกดำสุก มี
55
มิลลิกรัม พุทราแอปเปิลมี
47
มิลลิกรัม และส้มโอขาวแตงกวามี
48
มิลลิกรัม
นอกจากนี้
ในกลุ่มของกล้วยต่างๆ
24
สายพันธุ์ มีทั้งเนื้อสีขาว สีเหลือง สีเหลืองอมแสด
จากการศึกษา พบว่า กล้วยไข่พม่ามีสารเบต้าแคโรทีนสูงสุด คือ
528
ไมโครกรัม
รองลงมาคือกล้วยงาช้างมี
520
ไมโครกรัม กล้วยไข่โนนสูงมี
397
ไมโครกรัม
กล้วยนางพญามี
393
ไมโครกรัม กล้วยไข่มี
271
ไมโครกรัม และกล้วยหักมุกนวลมี
270
ไมโครกรัม
โดยปกติเราจะได้รับสารอาหารทั้ง
3
ชนิดจากการรับประทานอาหารโดยทั่วไปน้อย เพราะถูกทำลายได้ง่ายจากความร้อน
จึงต้องเพิ่มการรับประทานผลไม้และผักสดด้วย
โดยแนะนำให้รับประทานอาหารให้หลากหลายชนิดและให้ได้สัดส่วนตามธงโภชนาการ โดยใน
1
วันคนเราควรบริโภคผลไม้ให้ได้ วันละ
4
ส่วน โดย
1
ส่วนของผลไม้
หากเป็นผลไม้ขนาดเล็ก เช่น องุ่น ลิ้นจี่ ลำไย เท่ากับ
6-8
ผล
,
ผลไม้ขนาดกลาง เช่น
ส้ม ชมพู่ กล้วยน้อยหน่า เท่ากับ
1-2
ผล ส่วนผลไม้ขนาดใหญ่เช่น แตงโม สับปะรด
มะละกอ จะเท่ากับ
6-8
ชิ้นพอคำ อย่างไรก็ดีในกลุ่มที่ต้องคุมปริมาณน้ำตาล
โดยเฉพาะผู้ที่เป็นเบาหวาน อาจต้องเลือกผลไม้ที่รสไม่หวาน
ในอเมริกาได้แนะนำให้ผู้ชายบริโภคแคโรทีนอยด์วันละ
6
มิลลิกรัม
ในคนไทยแนะนำให้บริโภค วิตามินอีวันละ
6-15
มิลลิกรัม และวิตามินซีวันละ
40-90
มิลลิกรัม
.....................................................................................
เขียนใน
GotoKnow
โดย
ลุงหนวด
ใน
ปฎิรูปสุขภาพ
คำสำคัญ (Tags):
#ผลไม้ไทย
หมายเลขบันทึก: 163254
เขียนเมื่อ 4 กุมภาพันธ์ 2008 11:16 น. (
)
แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 22:36 น. (
)
สัญญาอนุญาต:
จำนวนที่อ่าน
จำนวนที่อ่าน:
ความเห็น (0)
ไม่มีความเห็น
ชื่อ
อีเมล
เนื้อหา
จัดเก็บข้อมูล
หน้าแรก
สมาชิก
ลุงหนวด
สมุด
ปฎิรูปสุขภาพ
ผลไม้ไทยป้องกันภั...
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID
@gotoknow
สงวนลิขสิทธิ์ © 2005-2023 บจก. ปิยะวัฒนา
และผู้เขียนเนื้อหาทุกท่าน
นโยบายความเป็นส่วนตัว (Privacy Policy)
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท