นานมาแล้วที่ไม่เคยเข้ามาที่ทำงานในวันเสาร์เพื่อนั่งทำงานอย่างเป็นเรื่อง เป็นราว ทำงานที่บริษัทนี้มาหลายปี ย้ายสถานที่นั่งทำงานมานับครั้งไม่ถ้วน พวกเราที่นั่งอยู่ในอาคารนี้จะติดปากเรียกว่า "บ้าน" เพราะในอดีตเมื่อหลายสิบปีก่อน อาคารนี้ก็คือบ้านพักของวิศวกรที่ต้องทำงานในโรงงาน ลักษณะอาคารเป็นบ้านสองชั้น ตอนนี้ทาสีเขียว บันได และพื้นด้านบนเป็นไม้กระดานมันวับ ส่วนด้านล่าง แบ่งออกเป็น 2 โซน แต่ละโซนมีที่นั่ง 4 ที่หันหน้าเข้าหากัน ข้างบนเป็นห้องทำงานของกรรมการผู้จัดการบริษัทหนึ่งในกลุ่ม ที่เป็นคนใจคอกว้างขวางมาก
สถานที่ ที่เรานั่งจะเป็นปีกซ้าย ส่วนที่นั่งของ citrus จะหันเฉียงกับประตูทางเข้าประมาณ 45 องศา เวลามีแขกมา จะมีปุ่มติดไว้ใต้โต๊ะสำหรับเปิดประตูให้อาคันตุกะเข้ามา ส่วนใหญ่จะเป็น คนส่งเอกสาร คนส่งของ นานๆ จะมีแขกพิเศษมา ถ้าเป็นพนักงานส่วนใหญ่ใช้นิ้ววางบนแป้น ประตูก็จะปลดล็อคให้เปิดเข้ามาได้ บ้านนี้มีความพิเศษหลายอย่าง เพราะมาทำงานแล้วเหมือนอยู่บ้านจริงๆ มีตู้เย็น พื้นที่ทำอาหาร ยังขาดแต่ไมโครเวฟ เท่านั้น พนักงานบางคนมีเรื่องไม่สบายใจ ก็ชอบมาที่บ้านหลังนี้ เพื่อพูดคุย แล้วก็ไปชงกาแฟมานั่งกิน หยิบเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คขึ้นมานั่งทำงานด้วยความสงบ
เมื่อวานตอนบ่ายหลังเสร็จธุระช่วงเช้า ก็เข้ามานั่งทำงาน แต่ทว่าแดดส่องมาทางหน้าบ้านแรงมาก จึงคิดว่าลองย้ายไปนั่งอีกโซน เลือกเก้าอี้ที่หันหลังให้ประตูและกระจกด้านหน้าบ้าน เพื่อไม่ให้แสงเข้ามาแยงตา
ระหว่างที่นั่งทำงานไปประมาณชั่วโมงกว่า ๆ ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นไฟดับทั้งบ้าน เพราะข้างนอกที่อาคารอื่นมีช่างมาซ่อมบำรุงอะไรก็ไม่รู้ พอนั่งทำงานแรกๆ ก็ไม่เป็นไร สักครึ่งชั่วโมงเริ่มร้อนมากขึ้น เพราะแอร์ดับไปด้วย ขณะนั้นแสงแดดก็เริ่มพ้นออกจากด้านหน้าบ้านไปบ้างแล้ว เลยลุกไปเปิดกระจกด้านข้าง และเปิดม่าน กลับมานั่งทำงานต่อ รู้สึกประหลาดใจตัวเอง ที่เห็นภาพที่สวยงามเมื่อมองออกไปนอกหน้าต่าง วิวด้านนอกเป็นสีเขียวงดงาม ดูร่มเย็น ที่บอกว่าประหลาดใจ เพราะย้ายมานั่งเกินกว่า 6 เดือนแล้ว ทำไมไม่เคยเห็นภาพนี้ ที่สร้างอารมณ์ให้สุนทรีย์ และอยากนั่งทำงานต่อ ไม่อยากกลับบ้าน
นอกจากนั้นข้างบ้านยังมีต้นขนุนที่กำลังออกลูกจำนวนมาก อยู่บนพื้นดิน ภาพนี้ในวันทำงานไม่เคยเห็นมาก่อนเลย เขาเรียกว่าใกล้เกลือกินด่างขนานแท้
จากเหตุการณ์ที่พบวันนี้ รู้สึกทั้งดีและไม่ดี ในเวลาเดียวกัน ที่รู้สึกดีก็คือ มีโอกาสได้เห็นธรรมชาติอันสวยงามรอบบ้านที่เป็นสำนักงาน ซึ่งปกติถ้านั่งอยู่ที่โต๊ะตัวเองไม่เคยเห็น และปกติม่านหน้าต่างกับกระจกที่ถูกเปิดออกในวันนี้ ในวันทำงานไม่เคยเปิดออกเลย เพราะทุกคนเอาแต่ทำงาน หรือไม่ก็อยู่แต่ในห้องประชุมที่ตึกอื่น ไม่ค่อยได้นั่งทำงานอยู่กับโต๊ะกันซักเท่าไหร่
ที่รู้สึกไม่ดีก็คือ ขนาดของดีอยู่ใกล้ตัวขนาดนี้ เรายังมองไม่เห็น วันๆ เอาแต่นั่งอยู่กับโต๊ะทำงานของตัวเอง ไม่ได้ใส่ใจกับสภาพแวดล้อมที่ไม่รู้ว่าบังเอิญเกิดขึ้น หรือใครสรรสร้างให้สวยงามได้อย่างลงตัว
ต่อไปนี้ ถ้าวันไหน คิดอะไรไม่ออก หรือเหน็ดเหนื่อย ต้องลองเปลี่ยนมุมที่นั่งและเปิดม่านหน้าต่างออก อาจจะทำให้สมองปลอดโปร่ง และสามารถคิดสร้างสรรค์ได้มากขึ้น นี่กระมังที่เขาเรียกว่า Green House ได้ยินคำนี้ตอนไปสัมมนากับ ผู้แต่งหนังสือเรื่อง Fish, Steve C. Lundin เขาบอกว่า ถ้าบริษัทสร้างบรรยากาศในสถานที่ทำงานให้เป็น Green House ได้ พนักงานจะมีความคิดสร้างสรรค์เพิ่มมากขึ้น เพราะรู้สึกปลอดภัย สบายใจ และสุขใจ แต่ไม่จำเป็นต้องทาสีใหม่ให้เป็นสีเขียวนะคะ
สวัสดีค่ะ อาจารย์
สงสัยที่ทำงานป้าแดง จะไม่เหลือบริเวณให้เป็น green house แล้วสิคะ เอาเป็นว่า รอ ทานขนุน นะคะ :-))
สวัสดีค่ะ
บล้อกสดชื่นจังเลยค่ะ
เรื่องการเปลี่ยนมุมนั่งทำงานนี่ ได้ผลค่ะ ไม่จำเจ และเกิดความกระตือรือล้นขึ้นมากค่ะ
สวัสดีค่ะ ป้าแดง
ยินดีมากเลยค่ะ ที่ป้าแดงมาเยี่ยม
ขนุนยังลูกเล็กมากค่ะ สงสัยจะออกมายั่วให้เราหวังว่าจะได้กิน เห็นมาตั้งนานลูกยังไม่โตขึ้นเลยค่ะ
สวัสดีค่ะ พี่ sasinanda
ขอบพระคุณสำหรับคำชมค่ะ ต้องทำ theme blog ใหม่ เพราะของเก่าหายไปค่ะ พอค้นหาใน G2K ก็เห็นมีคนทำไว้สวย เลยขอ copy มาค่ะ
สวัสดีค่ะ อาจารย์
เรื่องความจำเจนี่ citrus ก็ไม่ชอบค่ะ ชอบการเปลี่ยนแปลง ขนาดเมื่อก่อนอยู่หอพัก เพื่อนร่วมห้องที่เป็นรุ่นพี่ก็อาการเดียวกัน ห้องเล็กนิดเดียว ทางเดินแทบจะไม่มี ยังหาเรื่องจัดใหม่กันอยู่เรื่อย เพื่อสร้างบรรยากาศให้ตื่นตัวดีค่ะ
ส่วนที่ทำงาน ก็จะชอบหาต้นไม้มาตกแต่ง บริเวณใกล้เคียง บนโต๊ะทำงานก็หาของเล่นมาวาง หรือของใช้ที่น่ารักมาใช้จะได้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า เวลาเหนื่อยๆ ค่ะ