เมื่อวันจันทร์ที่แล้วตรงกับวันมาฆบูชา
ที่หากย้อนไปเมื่อ ๒๕๙๔ปีที่แล้ว
จะตรงกับสมัยที่พระพุทธองค์ยังทรงมีพระชนม์ชีพ
หรือนับเป็นเวลา ๙ เดือนหลังจากการตรัสรู้
บันทึกนี้เขียนขึ้นจาก "อาการสะดุดความคิด"
หลังจากที่ได้ไปทำบุญที่วัดญาณเวศกวัน จ.นครปฐม
และได้ไปอ่านบอร์ดความรู้เรื่องวันมาฆบูชาที่ทางวัดจัดทำขึ้น
ดังมีใจความว่า
มาฆบูชา ย่อมาจากมาฆปุณณมีบูชา หรือมาฆบูรณมีบูชา แปลว่าการบูชาในวันเพ็ญเดือน ๓ ซึ่งเป็นวันที่พระพุทธองค์ประทานโอวาทปาติโมกข์ เพื่อให้พระสาวก๑๒๕๐องค์ ผู้เป็นเอหิภิกขุ ที่มาประชุมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ได้มีหลักร่วมกันในการประกาศพระศาสนา การประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมครั้งสำคัญที่สุด ซึ่งมีเพียงครั้งเดียวในสมัยพุทธกาล
ความในโอวาทปาติโมกข์แบ่งออกเป็น ๓ ตอน เรียงลำดับกันเป็น ๓ คาถาครี่ง
คาถาที่ ๑
ทรงกล่าวถึงจุดหมายของพระพุทธศาสนาว่า คือ นิพพาน อันได้แก่ความดับกิเลส และกองทุกข์ทั้งปวงได้
โดยทรงกล่าวด้วยว่าการจะไปถึงจุดหมายได้ ต้องมีความอดทนที่จะดำเนินตามมรรคาที่ถูกต้องไปจนถึงที่สุด มีความเข้มแข็งทนทานอยู่ในใจ ดำรงอยู่ในหลักปฏิบัติที่ถูกต้องนั้น ไม่ระย่อท้อถอย
และบรรพชิตในพุทธศาสนา คือเครื่องหมายของความไม่มีภัย เป็นสัญลักษณ์แห่งความร่มเย็น ปลอดภัย และการชี้นำมรรคาแห่งสันติสุข
คาถาที่ ๒
พระพุทธองค์ทรงตรัสสรุปข้อปฏิบัติในพระพุทธศาสนาทั้งหมด ลงเป็นหลักการสำคัญ ๓ ประการ คือ
-
การไม่ทำบาปทั้งปวง เช่น ประพฤติตนอยู่ในศีล
-
การยังกุศลให้ถึงพร้อม ด้วยการบำเพ็ญความดีให้บริบูรณ์
-
การทำจิตของตนให้ผ่องใส ฝึกอบรมเจริญปัญญา ให้เกิดความรู้ความเข้าใจสิ่งทั้งหลายตามที่เป็นจริง
คาถาที่ ๓
ทรงกล่าวถึงหลักความประพฤติและการปฎิบัติตน หรือหลักปฏิบัติในการทำงาน สำหรับผู้ที่จะไปประกาศพระศาสนา หมายความว่าทรงวางมาตรฐานความประพฤติในการไปสอนธรรมแก่ประชาชนว่า
-
ผู้สอนต้องไม่เป็นผู้กล่าวร้าย ต้องไม่เป็นผู้ทำร้าย คือไม่ก่อความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น มีวจีกรรมและกายกรรมที่บริสุทธิ์สะอาด พูดและทำด้วยเมตตากรุณา
-
ประพฤติเคร่งครัดในพระวินัย
-
รู้จักประมาณในภัตตาหาร อยู่ในที่นั่งที่นอนอันสงบสงัด อันเหมาะแก่สมณะ
-
มีจิตแน่วแน่ เข้มแข็งไม่ท้อถอย ฝึกอบรมจิตใจของตนอยู่เสมอ
เมื่อพิจารณาเนื้อความข้างต้นความข้างต้นอย่างละเอียดแล้วทำให้ได้ประจักษ์ในความจริงว่า
สิ่งที่ทรงแสดงมาทั้งหมด เป็นทั้งเป้าหมายและวิธีการ ที่ได้ทรงวางหลักไว้ ทำให้สังฆะซึ่งเป็น"ชุมชนของการเรียนรู้โลกภายใน" ยังคงดำรงอยู่ได้ แม้พุทธกาลล่วงเลยมาแล้ว ๒๐๐๐ กว่าปี อีกทั้งยังตั้งมั่นอยู่ในหมู่ชนที่เป็นพุทธบริษัทได้อย่างมั่นคง
เครื่องยืนยันว่าสังคมไทยสมัยก่อนยุคอุตสาหกรรม ยังเป็นสังคมหนึ่งที่มีโครงสร้างทางวัฒนธรรมรองรับการมีชีวิตอยู่เพื่อไปให้ถึงนิพพาน มองได้ตั้งแต่เรื่องของการนำมูลค่าส่วนเกินทั้งหมดของสังคมไปสร้างถาวรวัตถุอันเนื่องด้วยศาสนา พระสงฆ์ยังได้รับความเคารพศรัทธาจากชาวบ้านอย่างสูง เนื่องจากท่านยังคงสละ และ ละให้เห็นเป็นตัวอย่าง พ่อแม่ทุกคนยังหวังให้ลูกชายมีโอกาสได้บวชเรียนเพื่อสืบต่อพระศาสนา
คำว่า"ไม่เป็นไร" ที่ติดปากคนไทยทุกผู้ทุกนาม และใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เป็นนิจหากมองให้ลึกแล้ว ก็คือเสียงและภาพที่สะท้อนให้เห็นถึงจิตใจที่ไม่ผูกพยาบาท และพร้อมที่จะให้อภัยอยู่ทุกเมื่อ สังคมไทยในสมัยก่อนจึงเป็นสังคมที่คนจากหลายวัฒนธรรมอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ
หากมองไปที่การประกอบอาชีพก็จะพบว่าคนไทยมีความเชี่ยวชาญ เรื่องการทำงานฝีมือที่ละเอียด ประณีต ข้อเท็จจริงก็คือ คนที่มีจิตประณีต เป็นสมาธิเท่านั้น จึงจะสามารถสร้างผลงานที่มีความวิจิตรบรรจงเช่นนี้ออกมาได้
ไม่เป็นที่สงสัยเลยว่าเพราะเหตุใด วัดจึงเป็นที่รวมของศิลปวิทยาการทุกแขนง และ ช่างฝีมือที่เก่งที่สุดจึงเป็นพระสงฆ์ คนไทยใช้งานฝีมือเป็นอุบายในการฝึกให้จิตนิ่ง และให้จิตมีการประสานกับกายให้เป็นหนึ่งเดียว
ในทุกขณะที่ทำงานฝีมือก็คือการฝึกให้ผู้สร้างผลงานมีชีวิตอยู่กับปัจจุบันขณะ นั่นเอง
วิถีการดำรงเช่นนี้จึงมีความสอดคล้องกับอุดมคติทางศาสนา ที่ส่งผลให้เกิดความเจริญทั้งทางโลกและทางธรรมอย่างไม่ขัดแย้ง แต่เมื่ออุดมคติของสังคมเปลี่ยนมาเป็นการยึดทุนนิยมเป็นสรณะ รากฐานทางสังคม ตลอดจนปัจจัยต่างๆที่สร้างสมมาทั้งหมด จึงกลายเป็นปัจจัยที่มาถ่วงความเจริญ
ประเทศไทยจึงต้องย้ายตำแหน่งจากประเทศที่มีความเจริญทางจิตใจในอันดับต้นๆ มาเป็นประเทศที่มีความล้าหลังทางวัตถุในอันดับต้นๆ เพราะโลกทุนนิยม กับจิตนิยมเป็นโลกคนละใบ ที่เลือกใช้ไม้บรรทัดคนละอัน