มาดื่มกันเถิด (ปัสสาวะ) น้ำทิพย์หล่อเลี้ยงร่างกายและป้องกันโรคร้าย


ถ้าสกปรก มีพิษจริง พระพุทธองค์คงไม่ตรัสเป็นพระวินัยแน่

ในช่วงปีใหม่นี้ผมได้หนังสือธรรมะชุดหนึ่งจากครูที่โรงเรียนอุตรดิตถ์ มีเล่มหนึ่งชื่อว่า มาดื่มกันเถิด....ปัสสาวะ น้ำทิพย์หล่อเลี้ยงร่างกายและป้องกันโรคร้าย โดยคุณกิตติ เกรียงไกรกำจร ซึ่งได้เขียนเพื่อเป็นวิทยาทาน ไม่ประสงค์จะได้สิ่งแลกเปลี่ยนตอบแทนใดๆ ผมได้อ่านแล้วและคิดว่าเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์เช่นเดียวกัน จึงขอร่วมเผยแพร่ทาง G2K ด้วยถ้าท่านใดเคยศึกษาและมีประสบการณ์ในเรื่องนี้ขอเชิญทุกท่านกรุณาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้วยนะครับ

                ( มาดื่มกันเถิด ปัสสาวะ ....... เขียนโดยคุณกิตติ เกรียงไกรกำจร )

             เป็นน้ำทิพย์หล่อเลี้ยงร่างกายให้แข็งแรง และป้องกันโรคร้าย องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระมหาเมตตา มอบพระธรรม คำสั่งสอนให้มนุษย์ไว้ พระธรรมมีหลายหัวข้อที่เป็นพื้นฐาน ให้มีความมั่นคงในการปฎิบัติเบื้องต้น เช่น น้ำปัสสาวะของพวกเราเอง ก็คือ ข้อพระธรรมนิสสัยสี่ เป็นพื้นฐานของท่านผู้ถือบวช ซึ่งเป็นวินัยเริ่มต้น ที่จะประพฤติปฏิบัติ ไปจนถึงเป็นพระอริยะ

            ข้อพระธรรมนิสสัยสี่นี้ ผมมีข้อสงสัยอยู่กับข้อน้ำดองมูตรเน่า เพราะผมสนใจว่าถ้าเป็นนิสสัยสี่ ต้องไม่ใช่รักษาโรคใดโรคหนึ่ง คงต้องมีสิ่งดีๆต่อร่างกายของคนเราแน่ๆ ก็มานั่งคิดทบทวนดู ทบทวนไป ตามภาษาคนเบาปัญญาในหลักพระธรรม แต่คงมีบุญอยู่บ้างนึกขึ้นมาได้ว่าพระพุทธเจ้าสั่งสอนไว้ในพระธรรมว่า อย่าพึ่งเชื่อแม้แต่ตถาคต ให้ศึกษาก่อนที่จะมั่นใจเชื่อ ก็เลยคิดว่าเราต้องทดลองดูก่อน จะได้รู้ว่ามีประโยชน์เช่นไรต่อร่างกายของเรา และ จะได้รู้จักตนเองว่า มีศรัทธาต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงแค่ไหน ถ้าไม่อ้วกไม่ผะอืดผะอม ตัดสินใจถือแก้วเข้าห้องน้ำเลย ก่อนจะรินใส่แก้ว นึกขึ้นได้ว่าจะต้องปล่อยทิ้งนิดหน่อยก่อน เป็นการล้างท่อปัสสาวะ แล้วก็รินเต็มแก้วเลย ดื่มไปพิจารณาไปจนหมดแก้ว ก็เลยต้องตำหนิตนเองว่า กลัวเหม็น กลัวสกปรก แท้จริงอร่อยดีหรอก รสชาดตามธรรมชาติ มีเค็มนำ เปรี้ยวนิด ฝาดนิดๆก็เลยดีใจกับตัวเองว่า เราไม่อ้วก ไม่ผะอืดผะอม ก็แสดงว่า เรามีศรัทธาต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่อพระธรรม ข้อน้ำดองมูตรเน่า ศรัทธาด้วยความสมบูรณ์แล้ว เพราะได้เรียนและปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์

           มาคิดทบทวนดูว่า เรารู้รสชาดของปัสสาวะแล้วแต่ยังไม่รู้ผล เราจะต้องดื่มต่อไป เพื่อให้รู้ผล ที่จะให้ประโยชน์แก่ร่างกายเช่นไรมั่ง หลังวันที่สามของการดื่มปัสสาวะ มีความเบาตัว รู้สึกโล่งๆอกและสมอง มีการถ่ายหนักที่เป็นอาหารเก่าๆที่หมักหมมมานานมาก ที่อยู่ในลำไส้ทั้งดำและเหนียวเหมือนยางมะตอย เป็นน้ำมีเมือก และฟองออกมาเยอะมาก มองดูแล้วมีความคิดว่า นี่แหละ เป็นตัวการเพาะโรคร้ายต่างๆนานาของคนเรา แปลกอยู่อย่างถ่ายของเก่าทิ้งเยอะ แต่ไม่มวนท้องหรือเพลียเลย กลับมีความสดชื่นและโล่งหน้าอก เบาตัว อารมณ์ดีกว่าเก่าอีก

      โรงเรียนอุตรดิตถ์ขอเชิญทุกๆท่านให้ความคิดเห็น ขอขอบคุณล่างหน้าครับ

            



ความเห็น (24)

ขอเชิญท่านผู้มีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้เชิญแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับโรงเรียนอุตรดิตถ์ได้ครับ

ขอขอบคุณท่านที่เข้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทุกท่านนะครับ

เรื่อง การดื่มน้ำปัสสาวะ เพื่อบำบัดโรค นั้นผมได้ทราบมาบ้าง แต่หากตนเองต้องดื่มก็คงยากที่จะทำใจนะครับ

ทางพระเรียก "น้ำมูตรเน่า"

ค้นในอินเทอร์เนทเรื่องเล่าเกี่ยวกับการดื่มปัสสาวะมากมาย ลองตามอ่านดูนะครับ  ที่นี่ Click

-------------------------------

"...นายสมทรง รตนะ เมื่อทราบความประสงค์ของผู้สื่อข่าว ก็ได้แสดงสดพิสูจน์ด้วยการดื่มน้ำปัสสาวะให้ชม พร้อมเปิดเผยว่า ได้ตำรับยานี้มาจากพระธุดงค์รูปหนึ่งนานมาแล้ว โดยนำบอระเพ็ดและต้นเหงือกปลาหมอทุบแช่ในน้ำปัสสาวะ เมื่อดื่มได้ไม่นานโรคปวดหลังปวดเอวหายเป็นปลิดทิ้ง พอชาวบ้านทราบข่าวก็มาขอตำรับยาไปดื่มเป็นจำนวนมาก ..."

 

แหงะ ไม่ไหวค่ะ แค่นึกก็จะอ๊อกแล้ว ขอไม่ต้องอยู่นานมากบนโลกนี้ดีกว่า ถ้าต้องดื่มแบบนี้เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงก็ไม่อยากอายุยืนแล้วค่ะ ขอตายไวๆ แต่ได้ดื่มกินของที่เราชอบดีกว่า อย่างน้อยก็มีความสุข

ขอขอบคุณคุณเอกครับที่เข้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับโรงเรียนอุตรดิตถ์ ( ผมตามคุณเอกไปถึงกำแพงเพชรแล้วจะตามต่อๆไปอีกครับ ช่วงนี้ขอพักที่กำแพงก่อน )

ในหนังสือเล่มนี้ยังมีข้อมูลอีกมากครับ

ก็ยังติดใจระหว่างสดๆกับหมักไว้นะครับ

ท่านอื่นมีข้อมูลเพิ่มเติมเชิญครับเพื่อร่วมเป็นวิทยาทานด้วย

คุณ Little jazz ครับตอนนี้ผมเองก็ยังไม่ได้ลองดู พอดีได้อ่านก็เลยขอความเห็นของทุกท่านอยู่

รสชาดอาจจะดีกว่าไบเล่ (ของคุณ ) ก็ได้นะ

ขอขอบคุณที่เข้ามาให้ความเห็นครับ

แวะมาทักทายค่ะ แล้วลองทานดูรึยังค่ะ อิอิ ขอบคุณที่เข้าไปเสนอะแนะความคิดเห็นให้นะค่ะ ถ้าอยากได้สรุปก็เข้าไปอ่านได้นะค่ะ เพราะได้เข้าไปแก้ไขให้แล้ว

ขอขอบคุณน้องอรนุชที่เข้ามาแวะชิม (เอ๊ยเยี่ยม)บล็อกโรงเรียนอุตรดิตถ์

ตอนนี้กำลังหาข้อมูลอยู่นะครับ ท่านใดที่มีประสบการณ์ก็มาแบ่งปันความรู้ให้เป็นวิทยาทานด้วยนะครับ

ผมหยุดพักใจที่กำแพงเพชรนานหน่อยครับ เพราะที่นั่น มีรักรออยู่ ครับ

-------------

จากนั้นจะมาที่พิษณุโลกครับผม  แต่เสียดายไม่ได้แวะอุตรดิตถ์ครับ จะแวะไปจิบกาแฟกับครูโตสักหน่อยครับ(แต่ไม่ดื่มปัสสาวะนะครับ อิอิ)

ขอขอบคุณคุณเอกที่แจ้งพิกัดให้ทราบ (ติดใจกำแพงพักใจนานหน่อยนะครับ)

น่าน้อยใจสำหรับอุตรดิตถ์นะครับ มีแต่คนผ่านไป ผ่านมา

แวะจิบกาแฟก่อนเดินทางต่อก็ได้นะครับ

สวัสดีค่ะ อ.โต

สงสัยเหมือนกับหลายๆ ท่านข้างบนค่ะว่า ... อ.โต ดื่มแล้วยัง ได้ผลเป็นประการใด ...

มีอาจารย์ที่ภ่คท่านหนึ่งได้ข่าวว่าดื่มน้ำปัสสาวะเหมือนกัน แต่ไม่ได้ถามรายละเอียด ไว้พบกับท่านจะลองสัมภาษณ์มาฝากนะคะ

แต่จริงๆ แล้ว อยากรู้ผลจาก อ.โต มากกว่า อิอิ

ท่านอาจารย์ paew ครับพอดีผมไม่ได้จบวิทย์เลยยังไม่ได้พิสูจน์ครับ ได้หนังสือมาอ่านมันก็ยังคาใจอบู่ แล้วคุณเอกยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมจากที่คุณเอกหาเจอ เลยยังติดใจที่ว่าสดหรือดองน่ะครับ

อาจารย์ไม่หากลุ่มวิจัยเรื่องนี้หรือครับ ถ้าทำได้คงเป็นผลดีทั้งทางโลกและทางธรรมนะครับ

ท่านใดมีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ขอเชิญร่วมสนทนาด้วยครับ

ขอขอบพระคุณล่วงหน้าครับทุกท่าน

ผมไม่เคยค่อยได้ศึกษาพระพุทธศาสนานัก แต่ก็เคยได้ยินเรื่องบัดบัดโรคด้วยปัสสาวะ และผมก็เคยทดลองแล้วก็ดีจริงอย่างที่ว่า แต่ผมสงสัยว่าหัวข้อธรรมเรื่องน้ำดองมูตรเน่านั้นมีบัญญัติในพระไตยปิฎก หัวข้ออะไรครับ ช่วยแนะนำด้วย อยากศึกษาข้อนี้ครับ ขอบคุณช่วยเมลบอกผมด้วยครับ

ขอยกพระพุทธพจน์จาก พระไตรปิฎก ขุททกนิกาย วิมาน-เปตวัตถุ

http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=26&A=8215&Z=8302

---------------------------------------------

"ภิกษุใดไม่ดูหมิ่น ปัจจัยทั้งสี่ คือ

อาหารบิณฑบาตที่จะพึงลุกขึ้นยืนรับ ๑

บังสุกุลจีวร ๑

เสนาสนะคือโคนไม้ ๑

ยาดองด้วยน้ำมูตรเน่า ๑

ภิกษุนั้นแล สามารถจะอยู่ในจาตุรทิศได้"

----------------------------------------------

สรุปคือ -น้ำมูตรเน่าเป็นยาสารพัดโรคอย่างหนึ่งของคนโบราณ

-ปัจจัยสี่ คือเครื่องสำหรับให้ดำรงชีวิตอยู่ได้

พระสงฆ์สมัยโบราณท่านดำรงชีวิตอย่างสมถะ

เพื่อยังอัตภาพให้ดำรง เพื่อคงสมณธรรมปฏิบัติ

แลบุราณนั้น หาคิลานเภสัชวัตถุยากนัก

"น้ำมูตร" สารพัดโรคบำบัด จึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะยิ่ง

พระพุทธองค์จึงทรงนับเนื่องเข้าในจตุรปัจจัยแห่งภิกษุฉะนี้

อุปมาดั่งการกินข้าวมี ๒ ประเภท

คือ - กินกันตาย (เพราะไม่มีจะกิน)

กับ - กินเพื่ออยู่ (อันนี้ยังพอมีกินอยู่บ้าง)

พระพุทธองค์ทรงหมายถึง "กินกันตาย"

ปัจจุบันถ้าให้เลือก ผมขอเลือกอันหลังละครับ

แต่ถ้ามันน้ำท่วมโลก ไม่มีอะไรจะรักษา

น้ำมูตรดองนี่แหละครับคือตัวเลือกที่ดีที่สุด

เวลาเปลี่ยนไป อะไรมันก็ต้องเปลี่ยนตาม

เหมือนว่า เดี๋ยวนี้เขายุคออกนอกอวกาศกันแล้ว

ฯพณฯ ยังมานั่งเชื่อหมอเดาดูดาวฤาษีชีหิมาลัยแถวเชียงใหม่กันอยู่อีก

พูดได้คำเดียวแหละครับว่า

*****ประเทศไทย ครับ

อ้าว หลงมาเรื่องนี้ได้ไง!

ขอยกพระพุทธพจน์จาก พระไตรปิฎก ขุททกนิกาย วิมาน-เปตวัตถุ

http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=26&A=8215&Z=8302

---------------------------------------------

"ภิกษุใดไม่ดูหมิ่น ปัจจัยทั้งสี่ คือ

อาหารบิณฑบาตที่จะพึงลุกขึ้นยืนรับ ๑

บังสุกุลจีวร ๑

เสนาสนะคือโคนไม้ ๑

ยาดองด้วยน้ำมูตรเน่า ๑

ภิกษุนั้นแล สามารถจะอยู่ในจาตุรทิศได้"

----------------------------------------------

สรุปคือ -น้ำมูตรเน่าเป็นยาสารพัดโรคอย่างหนึ่งของคนโบราณ

-ปัจจัยสี่ คือเครื่องสำหรับให้ดำรงชีวิตอยู่ได้

พระสงฆ์สมัยโบราณท่านดำรงชีวิตอย่างสมถะ

เพื่อยังอัตภาพให้ดำรง เพื่อคงสมณธรรมปฏิบัติ

แลบุราณนั้น หาคิลานเภสัชวัตถุยากนัก

"น้ำมูตร" สารพัดโรคบำบัด จึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะยิ่ง

พระพุทธองค์จึงทรงนับเนื่องเข้าในจตุรปัจจัยแห่งภิกษุฉะนี้

อุปมาดั่งการกินข้าวมี ๒ ประเภท

คือ - กินกันตาย (เพราะไม่มีจะกิน)

กับ - กินเพื่ออยู่ (อันนี้ยังพอมีกินอยู่บ้าง)

พระพุทธองค์ทรงหมายถึง "กินกันตาย"

ปัจจุบันถ้าให้เลือก ผมขอเลือกอันหลังละครับ

แต่ถ้ามันน้ำท่วมโลก ไม่มีอะไรจะรักษา

น้ำมูตรดองนี่แหละครับคือตัวเลือกที่ดีที่สุด

เวลาเปลี่ยนไป อะไรมันก็ต้องเปลี่ยนตาม

เหมือนว่า เดี๋ยวนี้เขายุคออกนอกอวกาศกันแล้ว

ฯพณฯ ยังมานั่งเชื่อหมอเดาดูดาวฤาษีชีหิมาลัยแถวเชียงใหม่กันอยู่อีก

พูดได้คำเดียวแหละครับว่า

*****ประเทศไทย ครับ

อ้าว หลงมาเรื่องนี้ได้ไง!

อ้าว โพสต์รันตั้ง 2 ครั้ง
ขออภัยด้วยนะครับไม่สามารถแสดงภาพ “http://www.f0nt.com/forum/Smileys/iannnnn/18.gif” เนื่องจากเกิดข้อผิดพลาด
(กำลังงงกับระบบ)

ไม่ได้เข้ามานาน ไป2รู้ ดูเปลี่ยนไปเยอะเลยนะครับ บล็อกท่านอาจารย์ก็สวยขึ้นด้วย

แถม ไป2รู้ เล่นยากขึ้นด้วย?
เอ... หรือว่าผมโง่ลงหว่าไม่สามารถแสดงภาพ “http://www.f0nt.com/forum/Smileys/iannnnn/05.gif” เนื่องจากเกิดข้อผิดพลาด

นำปัสสาวะ เป็นการถ่ายของเสียออกจากร่างกาย บอกรักษาโรคได้ โรคไรหรอ หรือสารพัดโลก มีด้วยหรือ ทางที่ดี ก่อนกินควรค้นคว้าดูว่ามีไรอยู่ในนั้นบ้าง มีประโยชน์ต่อร่างกายไหม สมัยโบราณวิทยาศาสตร์ไม่เจริญ แต่ผ่านมา 2500 กว่าปีแล้ว ทำไรลองหาข้อมูลวิทยาศาสตร์สนับสนุนหน่อยก็ดีครับ

ผมก็ไม่รู้ว่ารักษาโรคอะไร

ก็เห็นพูดไปต่าง ๆ นา ๆ

บ้างก็ว่าอ้างพระไตรปิฎก (แต่ก็ไม่เคยเห็นตรงไหนที่บอบว่ารักษาได้สารพัดโรค)

แต่ผมดูแล้วพระพุทธเจ้า

บอกเพียงว่าน้ำมูตรยาดองเป็นยา

(ซึ่งก็คือยาที่นิยมกันในสมัยอินเดียโบราณนั่นแหละ)

คนโบราณก็คงคิดมากเหมือนกันถ้าจะกินยาดอง

พระพุทธเจ้าก็คงกำชับไว้ว่ายังไง ๆ ก็กินไปเถิด

สมัยนั้นวิทยาการยังไม่ก้าวหน้า ยาดองมูตรก็คือสูตรสำเร็จที่ดีที่สุดในสมัยนั้น

เหมือนพาราเป็นสูตรสำเร็จสำหรับหมอในสมัยนี้ (เรื่องจริง!)

ลองคิดเล่น ๆ ว่า ถ้าพระพุทธเจ้าอุบัติในสมัยนี้

เราก็อาจจะได้ยินพระพุทธพจน์ประมาณว่า

"ภิกษุใดไม่ดูหมิ่น ปัจจัยทั้งสี่ คือ ...

อาหารบิณฑบาตที่จะพึงลุกขึ้นยืนรับ ๑

บังสุกุลจีวร ๑

เสนาสนะคือโคนไม้ ๑

"ยาเม็ดพาราเซตามอล ๑"

ภิกษุนั้นแล สามารถจะอยู่ในจาตุรทิศได้"

ผมว่าความรู้สึกเดียวกันกระมังครับ

สำหรับ ยาดองมูตรเน่าในสมัยโบราณ กับพาราเซตามอลในปัจจุบันนี้อะนะ

ฮา

ต้องขออภัยท่านท้ายอาสน์สงฆ์เป็นอย่างมากที่ดูแลบล็อกไม่ทั่วถึง

ขอขอบคุณที่ให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้มาซึ่งก็ได้แง่คิดเพิ่มเติมจากเดิมไปอีกถือว่าเป็นกุศลนะครับ

ขอให้จงสำเร็จในทุกสิ่งที่ประสงค์นะครับ

การดื่มน้ำปัสสาวะน้ำ มีตั้งแต่สมัยพุทธกาล แต่เป็นการดองน้ำมูตรเน่า ตามที่ คุณท้ายอาสน์สงฆ์ อธิบายไว้ ไม่ใช่การดื่มสดๆๆๆ แต่เป็นการดองเพื่อดื่มเพียงน้ำที่ใสแล้วเท่านั้น

เวลาดื่มนี่ต้องปิดจมูกก่อนรึเปล่าหละ?

มีคนนิยมดื่มอยู่พักนึงนะครับโดยเฉพาะฉี่เด็ก

โรงเรียนอุตรดิตถ์ขอขอบคุณคุณฤทธิชัยและคุณส้มโป๊ยที่แวะมาเยี่ยมเยียนโรงเรียนอุตรดิตถ์ครับ

เห็นตามที่ท่านฤทธิชัยว่านะครับน่าจะดองก่อน

ถ้าไม่สดคงไม่มีกลิ่นนะคุณส้มโป๊ย

โรงเรียนอุตรดิตถ์ยินดีแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับทุกๆท่านครับ

(11 - 12 ธันวาคม 2552 งาน 100 ปีโรงเรียนอุตรดิตถ์)

ได้ข่าวว่าดี แต่ยังไม่ได้ลอง ไม่ทราบว่ารสชาติเหมือน "ไฮเนเก้น" หรือเปล่า...เอือก @\/@

ขอบคุณคุณเลิศฤทธิ์ครับ แหมถ้าเป็นอย่างที่ท่านว่าโรงเบียร์คงเจ๋งกันแน่ๆ เพราะต่างคนก็ผลิตเองได้ ที่แน่ๆเป็นฟองด้วยนะครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท