ในช่วงเวลาที่ข้าพเจ้าสนใจใฝ่รู้ในวิชาของพระพุทธเจ้า เกี่ยวกับเรื่องของการเกิดและการตายนั้น ข้าพเจ้าพบว่าการตายในความคิดเห็นทางการแพทย์กับการตายในทางพุทธศาสนานั้นมีความต่างกันอยู่มากทีเดียว โดยเฉพาะเรื่องการตายครั้งใหญ่ของเราทั้งหลาย (ไม่นับเรื่องการเกิด การตายในส่วนย่อยๆ ของร่างกายเช่นที่เซลล์ผิวหนัง หรือลำไส้ )
การเกิดในทางพุทธศาสนานั้นเริ่มต้นเมื่อ มีการรวมตัวของเซลล์ต้นกำเนิดทางกายภาพในครรภ์มารดา โดยมีครึ่งหนึ่งนั้นมาจากพ่อ อีกครึ่งหนึ่งนั้นมาจากแม่ พร้อมกับมีปฎิสนธิจิตมารวมด้วย เกิดเป็น รูปและนาม หรือกาย และจิต จากนั้นมีการเจริญเติบโตต่อเนื่องในครรภ์ พอครบเก้าเดือนก็ออกมาลืมตาดูโลก ได้ชื่อได้นามสกุล ได้สมมุติบัญญัติต่างๆในทางโลก จากนั้นก็เจริญเติบโต เข้าโรงเรียน จบการศึกษา ออกมามีงานทำ แต่งงาน แล้วก็มีลูก มีหลาน มิช้ามินานก็แก่เฒ่า เจ็บป่วย แล้วก็ถึงการตายครั้งใหญ่
การตายในทางพุทธก็คือ วันที่รูป หรือกายเราคงอยู่ไม่ได้แล้ว ทุกอย่างไม่ทำงาน จิตสุดท้ายของคนผู้นั้นจะแปรเปลี่ยนเป็นจุติจิต ละจากร่างหรือกายเดิมที่ใช้การใช้งานไม่ได้แล้ว กลายเป็นปฎิสนธิจิตเพื่อรวมกับเซลล์ต้นกำเนิดใหม่ในภพภูมิใหม่ต่อไป ดังนั้นในทางพุทธศาสนาแล้ว การตายไม่ได้หมายถึงการจบสิ้นของทุกสิ่งทุกอย่าง แถมอาจจะเหมือนที่นักวิทยาศาสตร์ว่า สสารไม่มีวันสูญหายไปจากโลก เราต่างแปรเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่นอะไรทำนองนั้น และชาวพุทธเองก็มักจะคุ้นเคยดีกับคำว่า เวียนว่ายตายเกิด ทว่าบางครั้งเราก็ไม่คิดว่ามันจะมีจริง เพราะในความคิดเห็นทางการแพทย์ ตายก็คือตาย สมองหยุดทำงาน หัวใจไม่เต้น แล้วทุกอย่างก็จบลงแค่นั้น
เนื่องจากวิชาชีพของข้าพเจ้านั้น ก็ได้พบเห็นการเกิดการตายมามากมาย และมีมุมมองเรื่องของการเกิดและการตายแบบวิทยาศาสตร์ แต่หลังจากมาเรียนวิชาของพระพุทธเจ้าข้าพเจ้าก็พบว่า สิ่งที่เข้าใจมาทั้งหมดเรื่องการเกิดและการตายนั้น อาจจำเป็นต้องทำความเข้าใจใหม่ทั้งหมด
และการที่ได้ฟังธรรมบรรยายของหลวงปู่ติชในวันสุดท้ายของงานภาวนาสู่ศานติสมานฉันท์ ก็ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจเรื่องการเกิดและการตายได้ดีขึ้น แถมท่านยังกล่าวในตอนท้ายอีกว่า อันที่จริงแล้วไม่มีการเกิดและการตายอย่างแท้จริง ........
ท่านพุธทาส บอกว่าคนเรา เิกิด-ตาย, เกิด-ตาย, วันละหลายร้อยหลายพันครั้ง (ถ้าเราไม่มีสติ มาควบคุมตัวเอง)
ฝ่ายชอบค้าน...มาแล้วครับ
"...การเกิดและการตายนั้น ข้าพเจ้าพบว่าการตายในความคิดเห็นทางการแพทย์กับการตายในทางพุทธศาสนานั้นมีความต่างกันอยู่มากทีเดียว ..."
พระพุทธศาสนา เพียงแต่เสนอว่ามีการตายในมุมมองใหม่อีกมุมหนึ่งของบุคคลที่มีคุณธรรมอีกระดับหนึ่งให้รู้ โดยไม่ได้ปฏิเสธการเกิดตายที่คนส่วนใหญ่เข้าใจแต่อย่างใด สรุปคือ การตายมี ๒ อย่าง
ถ้าเราเชื่อว่า "แท้ที่จริงแล้วไม่มีการเกิดและการตาย" ก็อีกเรื่องหนึ่งซึ่งไม่ต้องอธิบาย เพราะผู้อธิบายเองก็ไม่มี ผู้เชื่อเองก็ไม่มี... นั่นมันอะไรกัน.. มันก็แค่นั่นเอง...
คุณเอกชนกล่าวถูกต้องแล้วค่ะ
การตายมี 2 อย่าง และอาจจะมากกว่าสองอย่าง ต่างมุมมองกัน แล้วแต่เราจะมองมุมไหน มีความคิดเห็นอย่างไร
ส่วนแท้ที่จริงแล้วไม่มีการเกิดและการตาย อันนี้ท่านว่ามาอีกทีค่ะ รับฟังมา และกำลังพิจารณาอยู่ ตามเหตุผลที่ควรจะเป็นไปได้ และไม่มีฝ่ายค้านและฝ่ายชอบค้านค่ะ ทุกคนมีมุมมองอิสระ และมีเหตุผลของตนเองอยู่แล้ว
ทุกความคิดเห็น จึงไม่มีถูก และไม่มีผิด และคนที่จะรู้ว่าการเกิดและการตายที่แท้จริงเป็นอย่างไร ก็ต้องเป็นคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ของการเกิดและการตายนั้น
ขอบคุณ ที่เข้ามาพูดคุยและให้ความรู้ค่ะ
ดีครับ...
"ทุกความคิดเห็น จึงไม่มีถูก และไม่มีผิด และคนที่จะรู้ว่าการเกิดและการตายที่แท้จริงเป็นอย่างไร ก็ต้องเป็นคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ของการเกิดและการตายนั้น"
-เมื่อเรายอมรับมีถูกและผิดแล้ว สิ่งที่ตรงข้ามกันก็จะเป็นสิ่งเดียวกันไม่ได้ เช่น คุณมีตังอยู่ 5 บาท(เป็นความจริง) สิ่งที่ไม่เป็นจริงคือ คุณไม่มีตังเลย, คุณไม่มีตัง 5 บาท, คุณมีตังเกิน 5 บาท ฯลฯ (ความจริง ความถูกต้องมีได้อย่างเดียว)
-การที่จะรู้หรือไม่รู้อะไรมีเหตุปัจจัยของมันเอง เรื่องในอดีต เรื่องในปัจจุบัน และเรื่องในอนาคต ก็สามารถรู้ได้ทั้งนั้น ถ้ามีเหตุปัจจัยมากพอที่จะให้รู้ได้ เรื่องนามธรรม เรื่องวัตถุก็เช่นกัน
คุณเอกชน กล่าวได้ลึกซึ้งและคมคายมากค่ะ
ขอบคุณค่ะ
คุณ jkrr
สงสัยเราจะเป็นเหมือนกันค่ะ ในส่วนลึกจะเป็นคนที่เชื่ออะไรยาก
เพราะติดกับความคิดแบบวิทยาศาสตร์มาก บางครั้งต้องพยายามหาข้ออธิบายแบบวิทยาศาสตร์มาเทียบเคียงให้ได้ และมักมีคำถามที่ค้างคาในสมองอยู่เป็นประจำเช่น จริงหรือที่ท่านว่า ทำไมถึงเป็นแบบนั้นล่ะ ?
การได้เรียนรู้เรื่องพุทธศาสนาอย่างจริงจัง ทำให้รู้ว่า บางคำตอบ ต้องใช้เวลาพิจารณาในขณะที่จิตมีความสงบมากๆ การปฎิบัติธรรม ทำให้มุมมองของชีวิตเปลี่ยนไปมากทีเดียว และมีอยู่หลายครั้งที่ ได้คำตอบว่า อ๋อ มันเป็นเช่นนั้นเอง แต่จะเกิดขึ้นได้ก็หลังจากผ่านขบวนการที่คุณ ikrr ว่า ไปสักระยะหนึ่ง เช่นกัน
โผล่หน้ามาทักทาย...สวัสดี