โดย นายสุริยา ยีขุน นายกเทศมนตรีตำบลปริก
เกริ่นนำ
เทศบาลตำบลปริก เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขนาดเล็ก องค์กรหนึ่งที่ได้ปรับเปลี่ยนและยกฐานะจากสุขาภิบาลปริกเป็นเทศบาลตำบลปริก ตามพระราชบัญญัติเปลี่ยนแปลงฐานะของสุขาภิบาลเป็นเทศบาล พ.ศ.2542 เมื่อวันที่ 13 เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2542 สถานที่ตั้ง ตั้งอยู่ที่ หมู่ที่ 3 ตำบลปริก อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา มีรูปแบบการบริหารจัดการพื้นที่ในรูปของคณะกรรมการชุมชน ประกอบด้วยชุมชน ต่าง ๆ จำนวน 7 ชุมชน คือ ชุมชนตลาดปริก ชุมชนตลาดใต้ ชุมชนทุ่งออก ชุมชนร้านใน ชุมชนสวนหม่อม ชุมชนปริกใต้ และชุมชนปริกตก ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 3,000 ไร่ หรือคิดเป็น 4.8 ตารางกิโลเมตร มีจำนวนประชากร(เดือนกันยายน 2550) รวมทั้งสิ้น 6,139 คน จำนวนครัวเรือน 1,391 ครัวเรือน ประชากรส่วนใหญ่ร้อยละ 90 นับถือศาสนาอิสลาม และร้อยละ 10 นับถือศาสนาพุทธและอื่น ๆ ชุมชนเทศบาลตำบลปริกเป็นชุมชนที่มีพื้นฐานมาจากหมู่บ้านเดิมในรูปแบบของการปกครองในระบบหมู่บ้านที่มีความเป็นหมู่บ้านและชุมชนเก่าแก่และมีประวัติศาสตร์เป็นของตนเองเฉกเช่นพื้นที่อื่น ๆ ในจังหวัดสงขลามาอย่างยาวนาน จากคำบอกกล่าวเล่าขานของท่านผู้เฒ่าหลายต่อหลายรุ่นที่ส่งผ่านกันมา เป็นที่เชื่อกันได้ว่า “ปริก” ซึ่งเป็นชื่อของชุมชน หมู่บ้าน นั้น มาจากชื่อของต้นไม้ชนิดหนึ่งที่ชอบขึ้นตามที่ราบลุ่มริมลำห้วย หนอง คลอง บึง หรือที่ชุ่มน้ำพอประมาณ
ปริก ที่เป็นชื่อของชุมชนนี้ เป็นต้นไม้ที่มีลักษณะแตกต่างไปจาก ปริก ที่เรารู้จักกันโดยทั่วไปในไม้จำพวก ล้มลุก ประเภทเฟิร์น ที่มีใบบาง ๆ เล็ก ๆ โดยสิ้นเชิง เพราะ ต้นปริก ซึ่งเป็นที่มาของชื่อชุมชนหมู่บ้านแห่งนี้ เป็นต้นปริก ที่เป็นไม้เนื้ออ่อนค่อนข้างแข็งนิด ๆ เป็นสายพันธุ์ที่อยู่กึ่งกลางระหว่าง ปอ กับ พลา มีลำต้นสูงเต็มที่ประมาณ 15 เมตร ในอดีตที่ผ่านมา จะมีต้นปริกดังกล่าวขึ้นอยู่เรียงรายตามสายคลอง และเป็นหย่อม ๆ ในพื้นที่ราบลุ่มของชุมชน จนกระทั่งชาวบ้านในอดีตได้ตั้งชื่อ ชุมชน หมู่บ้าน แห่งนี้ว่า บ้านปริก และมีสายคลองปริกไหลตัดผ่านกลาง หมู่บ้าน และชุมชน ทำให้คนรุ่นหลังจึงได้เรียกชื่อตาม ๆ กันมา ว่า บ้านปริกบ้าง ตำบลปริกบ้าง ปริก จึงมีความหมายและมีคุณค่าที่ถูกตั้งชื่อขึ้นตามลักษณะภูมินิเวศอันสะท้อนให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ของพืชพรรณ แมกไม้ที่ขึ้นอยู่ตามสายคลอง และที่ราบลุ่มของชุมชน คนปริกมีความรักความผูกพันในชุมชนสูง มีความสัมพันธ์ในระดับเครือญาติ มีการร่วมมือกันและช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ร่วมแรงร่วมใจทำกิจกรรมต่าง ๆ ทางสังคมด้วยกันอยู่อย่างเนือง ๆ และต่อเนื่องเป็นรุ่น ๆ สืบทอดกันมา สิ่งเหล่านี้จึงกลายเป็นจุดเด่นของเราชาวปริก
เทศบาลตำบลปริกได้จัดทำนโยบายด้านต่าง ๆ ขึ้นเป็นนโยบายสาธารณะที่ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการคิดร่วม และได้แปลงจากนโยบายไปสู่การปฎิบัติด้วยการที่ประชาชนก็เข้ามามีส่วนร่วมในการทำ และติดตาม ตรวจสอบด้วยเช่นกัน การบริหารจัดการและพัฒนาท้องถิ่นของเทศบาลตำบลปริกนับตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2542 เป็นต้นมานั้น ไม่เพียงแต่จะทำหน้าที่ตามภารกิจตามบทบาทหน้าที่ทั่ว ๆ ไปขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่พึงมีตามกฎหมายกำหนดเท่านั้น แต่เทศบาลตำบลปริก ซึ่งเป็นองค์กรขนาดเล็กแห่งนี้ กลับทำหน้าที่ด้วยการทำงานเชิงรุก หรือเชิงยุทธศาสตร์หลายประการ โดยมีสาระสำคัญที่แตกต่างกันออกไปตามประเด็นเนื้อหา อาทิ เช่น การบริการสาธารณะ การจัดการศึกษาที่เน้นรูปแบบการจัดการศึกษาเพื่อปวงชน ( Education for all & All for education) การจัดการรัฐ- ชุมชนสวัสดิการ เรื่องของงานทางด้านการสาธารณสุขและคุณภาพชีวิตที่มุ่งเน้นกระบวนการสร้างนำซ่อม โครงการสุขภาพอนามัยแม่และเด็ก การจัดการสุขภาวะแบบองค์รวม การพัฒนาสังคมแบบมีส่วนร่วม การพัฒนาแผนปฎิบัติการชุมชนด้านพลังงาน รวมทั้งเรื่องของการจัดการสิ่งแวดล้อมชุมชน ที่มีทั้งเรื่องของการดูแลเฝ้าระวังคุณภาพลำคลอง เรื่องการจัดการขยะ และการรณรงค์แก้ไขปัญหามลพิษ เป็นต้น การจัดการสิ่งแวดล้อมชุมชน
ในราว ๆ ประมาณกลางปี พ.ศ. 2543 เทศบาลตำบลปริกได้จัดทำโครงการด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมชุมชน ขึ้น โดยเริ่มจากศึกษาข้อมูลพื้นฐานทั่วไปในระดับชุมชน แล้วพบว่า ชุมชนส่วนใหญ่ที่อยู่ในเขตพื้นที่รับผิดชอบนั้นจะมีปริมาณขยะค่อนข้างมากเมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนประชากร กล่าวคือ เทศบาลจัดเก็บขยะในขณะนั้น ประมาณ 8,000 กิโลกรัม หรือ 8 ตันต่อวัน เมื่อคิดเฉลี่ยจากจำนวนครัวเรือนที่มีอยู่ 1,100 ครัวเรือนเศษในขณะนั้น ก็จะพบว่ามีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ครัวเรือนละประมาณ 7.27 กิโลกรัมต่อวัน เมื่อคิดเฉลี่ยจากจำนวนประชากรที่มีอยู่ ประมาณ 5,800 ในขณะนั้น ก็จะมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่คนละประมาณ 1.38 กิโลกรัมต่อวัน เมื่อมีการเจาะลึกลงไปเป็นรายชุมชน กลับพบว่าชุมชนปริกตกจะมีปริมาณขยะในแต่ละวันมากที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับชุมชนอื่น ๆ ดังนั้น เทศบาลตำบลปริก ได้ประสานงานกับคณะการจัดการสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ เพื่อให้คณะอาจารย์ นักวิจัยและนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา สาขาการจัดการสิ่งแวดล้อม และสิ่งแวดล้อมศึกษา ลงพื้นที่เพื่อที่จะนำเอาองค์ความรู้ศาสตร์ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในสถาบันอุดมศึกษาออกมาสู่สาธารณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการออกสู่ชุมชน(community outreach) เช่น การเข้าไปทำงานทางด้านการวิจัย และทำวิทยานิพนธ์ โดยมุ่งเน้นในเรื่องการทำงานวิจัยเชิงปฏิบัติ (Action Research) เป็นสำคัญ และต่อมาในปี พ.ศ. 2544 ได้มีนักศึกษาปริญญาโท คณะการจัดการสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ เข้ามาทำวิทยานิพนธ์ โดยได้ทำการวิจัยเชิงปฎิบัติ( Action Research)ด้านการจัดการขยะในชุมชน โดยได้จัดกิจกรรมผสมผสานกันกับกิจกรรมของทางเทศบาล ที่มีอยู่เดิม เช่น การประชุมเชิงปฎิบัติการ จัดกลุ่มย่อยวิเคราะห์ปัญหา การเดินรณรงค์ เคาะประตูบ้าน การศึกษาดูงานด้านการจัดการขยะของหน่วยงานต่าง ๆ ได้แก่ เทศบาลเมืองทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช และ เทศบาลเมืองท่าข้าม จ.สุราษฎร์ธานี และกลับมาต่อยอดกิจกรรมด้วยการสุ่มตัวอย่างขยะภายในชุมชน ซึ่งจากการสุ่มตัวอย่างขยะที่เริ่มต้นขึ้นที่ชุมชนปริกตกอันเป็นผลจากการศึกษา วิจัยเรื่อง การส่งเสริมการมีส่วนร่วมและกระบวนการเรียนรู้ของประชาชนในการจัดการมูลฝอยชุมชน กรณีศึกษาชุมชนปริกตก เทศบาลตำบลปริก ของนางสาวปานกมล พิสิฐอรรถกุล นั้น พบว่า ปริมาณขยะ และประเภทขยะที่มีมากที่สุด ได้แก่ขยะอินทรีย์ สูงถึงร้อยละ 64.17 ของปริมาณขยะประเภทอื่น ๆ ทั้งหมด รองลงมาเป็น ขยะประเภท กระดาษ พลาสติก โลหะ แก้ว อะลูมิเนียม ร้อยละ 32.62 ส่วนที่เหลือ เป็นขยะทั่วไปอื่น ๆ ที่ปะปนกัน มีอยู่เพียงส่วนน้อยคือร้อยละ 3.21 เท่านั้น ซึ่งเป็นฐานข้อมูลที่มีความสอดคล้องและมีความใกล้เคียงกันกับผลจากการศึกษาวิจัยของ ผศ.ดร.โรจนัจฉริย์ ด่านสวัสสดิ์ คณบดีคณะการจัดการสิ่งแวดล้อม(ปัจจุบัน)และคณะนักวิจัยจากคณะการจัดการสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เมื่อปี พ.ศ. 2546 ที่ได้เข้ามาทำการศึกษาวิจัยเรื่อง โครงการวิจัยและถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ชุมชน กรณีศึกษาของชุมชนสวนหม่อม เทศบาลตำบลปริก พบว่า องค์ประกอบของมูลฝอยในชุมชนสวนหม่อม เทศบาลตำบลปริก มีขยะอินทรีย์สูงที่สุดถึงร้อยละ 61.6 ซึ่งมูลฝอยหรือเศษวัสดุเหลือใช้ดังกล่าวก็สามารถที่จะนำไปใช้ประโยชน์โดยการทำเป็นปุ๋ยหมัก หรือนำไปใช้เพื่อการเลี้ยงสัตว์ได้ และเศษวัสดุเหลือใช้หรือขยะประเภท กระดาษ พลาสติก ขวดแก้ว และโลหะ ที่สามารถขายให้กับรถรับซื้อของเก่า(ซาเล้ง) หรือร้านรับซื้อของเก่าโดยตรงได้ทันที มีจำนวนคิดเป็นร้อยละ 26.6 ซึ่งหากเราสามารถที่จะทำการแยกขยะส่วนนี้ออกทั้งหมดได้ จะทำให้ขยะมูลฝอยเศษวัสดุเหลือใช้ประเภทอื่น ๆ ที่ต้องส่งไปยังหลุมฝังกลบของเทศบาล เหลือเพียงร้อยละ 11.8 เท่านั้น
จากข้อมูลดังกล่าวเหล่านี้ทำให้เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญสำหรับเทศบาล ชาวบ้าน และชุมชน ที่เห็นว่า การจัดการขยะนั้นจะต้องเป็นเรื่องของทุกคน ไม่ใช่เป็นภาระหน้าที่ของเทศบาลแต่เพียงฝ่ายเดียวอีกต่อไป ชาวบ้าน ชุมชน สามารถเข้าใจถึงปัญหา รู้จักมูลค่าของเศษวัสดุเหลือใช้ หรือ ขยะ ได้เกิดการกระตุ้นความคิดของชุมชนในด้านการจัดการขยะขยายผลส่งผ่านไปในแต่ละพื้นที่ของเทศบาลตำบลปริก
ต่อมาในปี พ.ศ. 2545 ก็ได้มีการจัดตั้งกลุ่มอาสาสมัครตรวจวัดคุณภาพน้ำคลองปริกและคลองอู่ตะเภา มีสมาชิกที่มาจากชุมชนต่าง ๆ ในเขตเทศบาล ได้แก่ ประชาชนจากชุมชนปริกตก ตลาดใต้ ร้านใน ปริกใต้ สวนหม่อม และเยาวชนโรงเรียนพัฒนาศาสตร์มูลนิธิ ซึ่งตั้งอยู่ในเขตชุมชนตลาดใต้ และในปี 2547 มีการแต่งตั้งคณะกรรมการเครือข่ายอาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นโครงการที่ทำร่วมกันระหว่างเทศบาลตำบลปริกกับสำนักงานสิ่งแวดล้อมภาค16 ประกอบด้วยสมาชิกที่มาจากชุมชนสวนหม่อม ชุมชนปริกใต้ ชุมชนตลาดปริก ชุมชนทุ่งออก ชุมชนตลาดใต้ และชุมชนร้านใน จำนวน 17 คน ตลอดจนในที่สุดได้มีการจัดตั้งธนาคารขยะขึ้นที่ชุมชนตลาดใต้ โดยเริ่มต้นจากกลุ่มแกนนำในชุมชนที่เป็นผู้ใหญ่ ประกอบด้วยกรรมการชุมชน และต่อมาได้ปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์และกระบวนการทำงาน ที่มีครู เยาวชน และนักเรียนเป็นแกนนำ ในปี 2548 จากกิจกรรมธนาคารขยะได้เกิดการขยายผลเกิดการกระตุ้นให้ชุมชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการขยะไปสู่การทำน้ำหมักชีวภาพ การทำปุ๋ยหมัก และเทศบาลตำบลปริกได้มีโรงแยกขยะรองรับเพื่อการผลิตปุ๋ยอินทรีย์จากขยะอีกชั้นหนึ่ง ทั้งนี้เพื่อที่จะขับเคลื่อนไปสู่ การจัดการขยะที่เริ่มต้นจากครัวเรือนซึ่งเป็นระดับปัจเจกในเบื้องต้นหรือต้นทาง เชื่อมต่อกับระบบธนาคารขยะที่มีในชุมชนซึ่งเป็นระดับสาธารณะขั้นที่สองที่เรียกว่ากลางทาง ในที่สุดก็จะไปยังที่ปลายทางคือหลุมฝังกลบมูลฝอยของเทศบาลก็จะมีการโรงคัดแยกขยะอินทรีย์หรือขยะที่ย่อยสลายได้เพื่อไปทำเป็นปุ๋ยหมักอินทรีย์ การดำเนินงานในลักษณะเช่นนี้ เท่ากับเป็นการทำงานเชิงยุทธศาสตร์ อันนำไปสู่การจัดการขยะแบบฐานศูนย์(Zero Waste Management)ที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต
ถาทุกชุมชนสามารถทำได้แบบนี้ สิ่งแวดล้อมต้องดีขึ้นแน่นอนครับ
ขอเป็นกำลังใจ ในการพัฒนาต่อไปค่ะ