อย่างไรก็ดี ความต้องการสินเชื่อในชนบทยังคงมีอยู่ และมีมากขึ้นในยุคบริโภคนิยม ทั้งสินเชื่อนอกระบบแบบเดิม สินเชื่อในระบบ และสินเชื่อองค์กรการเงินชุมชน จึงยังอยู่กันพร้อมหน้า เพื่อทำหน้าที่เป็นแหล่งสินเชื่อให้แก่ชาวบ้าน แถมกองทุนการเงินชุมชนยังมีอยู่หลายกองทุน
มีข้อคิดเห็นว่า การมีหลายกองทุนทำให้เกิดการกู้ยืมแบบผลัดผ้าขาวม้า ตัวเองกลับเห็นว่า ถ้าเป็นการผลัดผ้าขาวม้าจริงๆ ก็ไม่เห็นเป็นไร เช่น ยืมกองทุน ก.มา 1000 บาท เสร็จแล้วไปยืมกองทุน ข. 1000 บาทมาใช้คืนกองทุน ก. ผลก็คือ ชาวบ้านก็ยังเป็นหนี้ 1000 บาท (บวกดอกเบี้ย) เท่าเดิม ถ้าการใช้เงินเป็นลักษณะนี้ ไม่ได้เพิ่มปริมาณเงินกู้ ก็ถือว่า การมีหลายกองทุนช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการเงินของสมาชิก หากมีการรวมกองทุน ก็จะมีผลด้านลบเสียมากกว่า
การมีหลายกองทุนจะเกิดปัญหาขึ้น หากมีผลเพิ่มอุปทานเงินแล้วทำให้ดอกเบี้ยที่แท้จริงถูกลง เกิดผลลดแรงจูงใจในการปลดหนี้เดิม หรือเกิดแรงจูงใจในการสร้างหนี้ใหม่โดยยืมมากขึ้น เช่น ยืม 2000 บาทเพื่อใช้คืนกองทุน ก. ส่วนเกินอีก 1000 บาทเป็นการกู้เพิ่ม
หากเป็นเช่นนี้ การรวมกองทุนก็จะช่วยบรรเทาปัญหาได้บ้างโดยการควบคุมวงเงินกู้ แต่ถือว่าเป็นการแก้ที่ไม่ตรงนักเพราะเป็นการจัดการด้านอุปทาน ทั้งๆที่ปัญหาจริงๆมาจากด้านอุปสงค์ คือ ความต้องการที่ไม่จำกัด
คราวนี้ ถ้าสมาชิกคนหนึ่ง มีพฤติกรรมแบบแรกคือกู้เท่าเดิม แต่สมาชิกอีกคนหนึ่งมีพฤติกรรมแบบที่สอง คือ กู้มากขึ้น การรวมกองทุน เพื่อแก้พฤติกรรมแบบคนที่สอง (แต่แก้ไม่ตรงจุด) ก็จะส่งผลเสียต่อสมาชิกคนแรกไปด้วย
ดังนั้น หากต้องการรวมกองทุนเพื่อแก้ปัญหาผลัดผ้าขาวม้า จึงเป็นเรื่องที่เราไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไร ยกเว้นว่าจะมีประโยชน์ด้านอื่นๆ
และตราบใดที่แหล่งสินเชื่อนอกระบบแบบเดิมยังอยู่ แหล่งสินเชื่อในระบบที่อุดหนุนดอกเบี้ยต่ำยังอยู่ การรวมกองทุนการเงินชุมชน ก็คงไม่ได้หยุดพฤติกรรมผลัดผ้าขาวม้าอยู่ดี เพียงแค่ว่ามีผ้าข้าวม้าให้ผลัดน้อยผืนลงไปเท่านั้น
....เขียนมาเพื่อแลกเปลี่ยนกับท่านผู้มีประสบการณ์ตรง และเพื่อตรวจสอบว่าตัวเองเข้าใจถูกต้องหรือไม่....
อาจารย์ครับ
ความต้องการที่ไม่จำกัด
ฟังแล้วตกใจ แล้วคำว่า เศรษฐกิจพอเพียง ไปไหนคะ
ความเห็นของทุกๆท่าน ทำให้ดิฉันได้รู้ ได้คิด ได้เข้าใจมากขึ้น และทำให้มีกำลังใจในการเขียนบล็อกมากขึ้น
ขอบคุณจริงๆค่ะ
สวัสดีค่ะคุณบางทราย
เป็นการแบ่งปันข้อมูลที่มีประโยชน์มากๆค่ะ ดิฉันนับถือประสบการณ์ของคุณบางทรายจริงๆ
เห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะว่า ถึงที่สุด ปัญหา และเป้าหมายที่แท้จริงของงานพัฒนา ลงไปลึกและซับซ้อนหลายมิติ
คนที่ทำงานด้านองค์กรการเงินชุมชน ถ้าติดกับดักอยู่กับความสำเร็จของยอดเงินกองทุน การไม่มีหนี้ค้าง (เพราะที่แท้ผลัดผ้าขาวม้า) การทำให้ชาวบ้านมีเงินกินมีเงินใช้ .... ก็จบกันพอดี.... (แต่ก็เห็น หลายที่เขาใช้ประเด็นเหล่านี้เป็นตัวชี้วัด)
แก้ปัญหาความเสี่ยง
แก้ปัญหาความคิด (เกษตรกร ข้าราชการ พ่อค้า..)
แก้ป้ญหาความเหลื่อมล้ำ
แก้ปัญหาระบบราชการ (รวมระบบงบประมาณ)
เหล่านี้จึงจะเขยิบเข้าใกล้ความสำเร็จที่แท้จริง ต้องตีทุกจุด ใช่ไหมคะ
คุณ sasinanda สวัสดีปีใหม่ค่ะ
การแก้ปัญหาความคิด ทางหนึ่งคือ ใส่ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเข้าไปในความคิดของผู้คน...อย่างที่คุณ sasinanda เสนอมาใช่เลยค่ะ.... ถ้าจะให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น (และอาจจะเข้าใจง่ายเพราะอยู่บนฐานวัฒนธรรม) ก็คือ หลักศาสนา (ไม่ว่าศาสนาใดๆ)
ลด ละ เลิกอบายมุข คงจะเป็นก้าวแรกค่ะ
สวัสดีปีใหม่ค่ะ คุณสิงห์ป่าสัก
พวกเราเห็นไปในทิศทางเดียวกัน แต่จะ "ทำอย่างไร"
เท่าที่เห็น หลายชุมชนพยายามทำกันอยู่ แต่ก็อาจแก้ได้แค่บางจุด
คือ แก้เรื่องของ "ความคิด" ชาวบ้าน (แต่ยังไม่สามารถแตะต้องความคิดข้าราชการ พ่อค้า)
แต่งานนี้ "คำตอบไม่ได้อยู่ที่หมู่บ้านอย่างเดียว"
ความเสี่ยง ความเหลื่อมล้ำ ระบบราชการที่ไม่เอื้อ ....ยังต้องหาทางออกอยู่ค่ะ
สวัสดีค่ะคุณหมอ คนชอบวิ่งและชอบหัวเราะ (ต้องสุขภาพดีแน่ๆ ^-^ )
สวัสดีค่ะอาจารย์เอก
แนะนำว่า เวลาตอบข้อสอบ ต้องตั้งกรอบไว้ก่อน
เช่น ในการสอบวิชากฎหมาย ก็ต้องขึ้นว่า "ถ้ามองในด้านกฎหมาย...." แล้วจึงวิเคราะห์ เพื่อเรียกคะแนนพื้นฐาน ต่อจากนั้น ค่อยเสนอมุมมองอื่นนอกกรอบ เพื่อเรียกคะแนนโบนัส (ถ้าผู้ตรวจยอมรับความคิดนอกกรอบ).....อิอิ....
ต่อคำถามที่ว่า ทำธุรกิจชุมชน โดยไม่ใช้เงินเป็นทุนได้หรือไม่ จะตอบว่า
ถ้าชาวบ้านตั้งกองทุนเองจะมีกี่กองก็ไม่เป็นไร ปัญหาคือ นักการเมืองและรัฐบาลชอบทำเรื่องใหม่ของตนเองโดยไม่ดูภาพรวม ทำให้เกิดหนี้ล้นพ้นตัวจากความต้องการเทียมในสิทธิที่พึงได้
เข้าใจว่าเป็นความพยายามจัดการกองทุนให้สมดุลที่เรียกว่าบูรณาการ คนที่คิดจะทำก็ทำกันไป นักการเมืองมีหน้าที่สร้างปัญหาใหม่ก็สร้างกันไป ทั้งกองทุนศก.พอเพียงของปชป. กองทุน3ล้านของพรรคต่างๆ
ด้วยระบบงบประมาณที่เป็นอยู่ สามารถยุบหน่วยจัดการภูมิภาคโดยไม่เกิดผลเสียต่อประชาชนเท่าใดนัก ระบบตรงนี้มีไว้เพื่อทำหน้าที่กระตุ้นศก.จากรายจ่ายภาครัฐเท่านั้นเอง(จริงๆ)
เรื่องเหล่านี้เหมือนการว่ายวนอยู่ในบ่อถ้าจะแก้ไข
ผมมองเป็นเรื่องกรรมและวิบาก
ใครทำอะไรได้อย่างนั้น
คนภายนอก หมายถึงรัฐบาลหรือใครที่อยากช่วย
ควรจริงจังเรื่องสวัสดิการ การศึกษา และโอกาศการเข้าถึงทรัพยากร
แต่อย่าทำเหมือนคนเหล่านี้เป็น.....ขอส่วนบุญ
ถ้าเขาอยากลืมตาอ้าบากเขาต้องทำและพึ่งตัวเอง