ตัวตนด้านในเหล่านี้มิใช่เป็นเพียงอุปมาอุปไมย แต่ดำรงอยู่จริงโดยก่อร่างสร้างตัวเป็นพลังสะสมสะท้อนความรู้สึกนึกคิด อารมณ์รวมทั้งการแสดงออกต่าง ๆ ในเนื้อในตัวในความทรงจำของเรา และเขามีชีวิตของเขามีความต้องการของเขา มีอาการทุกข์สุขของเขาเป็นตัวตนอยู่ในจิตไร้สำนึกของเราอย่างแนบเนียน จนเรานึกว่าเราเป็นได้เท่าที่เขาเป็น เราต้องการได้ตามที่เขาต้องการ และทุกข์สุขไปได้แค่พอ ๆ กับเขา แล้วเราปล่อยให้ตัวตนด้านในเข้าควบคุมเราโดยที่เราไม่รู้เนื้อรู้ตัวและรู้ทัน ทั้งที่ตัวเรามีศักยภาพที่จะกำหนดชีวิตเราได้มากกว่าเขายิ่งนัก
สนทนากับเสียงด้านใน : เมื่อใครใครก็กวนใจเรา
“ใครสักคนพูดจาฟังดูแล้วไม่ถนอมน้ำใจคนเลย”
อาจจะเป็นเพราะตัวเอกของเรายึดถือว่า คนเราต้องพูดจาระมัดระวัง
“ใครสักคนดูไม่รับผิดชอบเอาซะเลย”
อาจจะด้วยว่า ตัวเอกของเราบอกว่า คนเอาไหนต้องรู้จักเคร่งครัดกับหน้าที่
“ใครสักคนดีแต่สั่งไม่เคยรับฟัง”
เป็นไปได้ว่าตัวเอกคอยกำชับเราว่า จะทำอะไรกับใครต้องให้ทุกคนมีส่วนร่วม
... ถ้าหากเราจะแขวนลอยห้อยคำถามว่า ใครผิดใครถูกไว้สักชั่วครู่ เราอาจจะได้ยินเสียงเบา ๆ อีกเสียงว่า
“ไม่ต้องระมัดระวังนักก็ได้”
“ไม่ต้องเคร่งครัดเสมอๆ หรอก”
“ไม่ต้องคอยใครต่อใครให้เห็นด้วยนัก”
“ไม่ต้องเสียสละหรือเอาใจใครสักวันได้ไหม”
... เสียงของตัวเอกที่ยกมาคือเสียงของตัวตนด้านในที่ ดร. สโตนเรียกว่า Primary Self ตัวพระเอกหรือนางเอก ที่เราได้แสดงในชีวิตเราแล้วใครต่อใครก็ยอมรับและหรือช่วยเราให้รอดในโลกที่เราเติบโตผ่านมา
ส่วนเสียงเบา ๆ ที่เราได้ยินไม่ค่อยชัดนัก มักมาจากตัวตนด้านในที่ถูกละทิ้งไป ที่เรียกว่า Disowned Self ซึ่งมีบุคลิกและพฤติกรรมเป็นขั้วตรงกันข้ามกับตัวเอกของเรา เพราะขณะที่ตัวเอกสามารถทำให้เราอยู่รอดในโลกได้ ตัวตนด้านในที่ตรงกันข้ามกับตัวเอกนั้นทำให้เราไม่ปลอดภัย ไม่เป็นที่ยอมรับ อับอาย และเจ็บปวด
ผู้คนที่กวนใจ กวนโมโหเรา รวมทั้งคนที่เรารู้สึกขาดเขาไม่ได้นั้น ต่างก็มีตัวตนที่ถูกทิ้งของเราอยู่ในมือของเขา และอาการรำคาญกวนใจของเรานั้นเป็นกุญแจเปิดให้เราได้เห็นกระจกเงาบานใหญ่ที่ส่องให้เห็นตัวตนที่เราละทิ้งหลงลืม แต่ยังทรงพลังอยู่ในตัวเรา และสำแดงพลังนั้นออกมาในอาการกระอักกระอ่วนป่วนใจทุกข์ร้อนที่เรามีกับผู้คนรอบข้าง
หากเราลองแวะเข้าไปสำรวจดูความสัมพันธ์ระหว่าง ตัวเอกกับตัวที่ถูกทิ้งของเราไปว่าเขาอยู่กันอย่างไร ตัวตนด้านในของเรานั้น “ใคร” คุม “ใคร” ในใจเรา เราอาจจะเห็นพลังที่ซ่อนเร้นและที่มาของอาการรำคาญกวนใจของเราได้
หากเปรียบเทียบว่าบุคลิกทางจิตของเราเป็นละคร เราเป็นนักแสดงที่ต้องเล่นตามบทบาทที่เราได้รับ แต่ตัวเอกของเราบอกบทของเขาให้เราเล่น และหากใครจะบอกบทที่ต่างจากตัวเอกตัวนี้ เจ้าตัวเอกที่ว่าก็ไล่คนบอกบทที่ต่างออกไปนั้นลงจากเวที และคอยกำกับให้เราเล่นเฉพาะบทที่ตัวเอกต้องการ ตัวตนที่ถูกไล่ลงจากเวที ยังวนเวียนอยู่หลังฉากและอยู่ในหมู่คนดูคอยเอาคืน หรือหาทางหวนคืนเวที
ตัวตนด้านในเหล่านี้มิใช่เป็นเพียงอุปมาอุปไมย แต่ดำรงอยู่จริงโดยก่อร่างสร้างตัวเป็นพลังสะสมสะท้อนความรู้สึกนึกคิด อารมณ์รวมทั้งการแสดงออกต่าง ๆ ในเนื้อในตัวในความทรงจำของเรา และเขามีชีวิตของเขามีความต้องการของเขา มีอาการทุกข์สุขของเขาเป็นตัวตนอยู่ในจิตไร้สำนึกของเราอย่างแนบเนียน จนเรานึกว่าเราเป็นได้เท่าที่เขาเป็น เราต้องการได้ตามที่เขาต้องการ และทุกข์สุขไปได้แค่พอ ๆ กับเขา แล้วเราปล่อยให้ตัวตนด้านในเข้าควบคุมเราโดยที่เราไม่รู้เนื้อรู้ตัวและรู้ทัน ทั้งที่ตัวเรามีศักยภาพที่จะกำหนดชีวิตเราได้มากกว่าเขายิ่งนัก
เราจะมาพิจารณาตัวตนด้านในที่สำคัญ ๆ เหล่านี้ นายแพทย์สกล สิงหะ แห่งมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้ตั้งชื่อตัวตนตัวเอกสำคัญๆ ของ ดร.สโตน เป็นภาษาไทยที่เข้าใจได้ง่าย ซึ่งขอยกมาเปิดตัวไว้ ณ ที่นี้ได้แก่
ตัวอ่อนหวานเอาใจ (The Pleaser)
ตัวตนนี้มีมาตั้งแต่เราเกิด ก่อนที่เราจะรู้ภาษาพูดซะด้วยซ้ำ ตัวช่างเอาใจนี้รู้ดีว่าทำอย่างไร จึงจะทำให้ใครต่อใครยอมรับและพอใจในตัวเรา หากเป็นเด็กก็รู้ว่าจะร้องอย่างไรจึงจะได้นมกินได้เสียงหัวเราะและรอยยิ้มตอบสนอง เมื่อเติบโตขึ้นมาก็รู้ว่า ต้องรู้จักพูดจาพินอบพิเทาอย่างไร ผู้อาวุโสกว่าจะเอ็นดู รวมทั้งต้องเอาใจใครต่อใครอย่างไรให้เขารู้สึกดีดีกับตัวเรา ตัวตนนี้เชื้อเชิญให้เราประนีประนอมกับผู้คนจนบางครั้งเราแทบจะไม่มีที่ยืน
โดย สมพล ชัยสิริโรจน์
เครือข่ายจิตตปัญญาศึกษา [email protected]