บทความนี้ ตั้งใจจะเล่าให้ฟังว่า เศรษฐศาสตร์กระแสหลักมองเรื่องสินเชื่อในชนบทอย่างไร โดยตัวละครหลักคือ ปัจเจกบุคคลในระบบตลาด (เช่น เกษตรกร พ่อค้า) กับ รัฐ เรื่องชุมชนนั้น ค่อยเข้ามาสู่ระบบการวิเคราะห์ในช่วงหลังๆ (คิดว่าต้องเขียนหลายตอน แต่คงเขียนตามความสะดวกของผู้เขียนเอง)
*************
มุมมองในทางเศรษฐศาสตร์จะมองภาคเกษตรเป็นภาคการผลิตที่เป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจแบบตลาด สินเชื่อมีความสำคัญต่อภาคเกษตรและชนบทด้วยเหตุผลสามประการ คือ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต เพื่อลดความเสี่ยงด้านรายได้ และเพื่อลดปัญหาการกระจายรายได้
สินเชื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต เพราะสินเชื่อทำให้ชาวบ้านมีเงินเพื่อซื้อปัจจัยการผลิต เพื่อลงทุนในการผลิตและการตลาด จึงช่วยลดข้อจำกัดจากการขาดแคลนปัจจัยการผลิตบางอย่าง สามารถปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและการตลาดของตนได้
ความเสี่ยงเป็นลักษณะสำคัญของการผลิตโดยเฉพาะในพื้นที่การเกษตร ความเสี่ยงจากการผลิตมีผลต่อความผันผวนของปริมาณผลผลิตและราคา ซึ่งส่งผลต่อความแปรปรวนของรายได้ ในปีที่ราคาตกต่ำเพราะผลผลิตมากทำให้รายรับไม่พอกับรายจ่าย หรือในปีที่ไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ เช่นประสบภัยพิบัติ เกษตรกรก็สามารถกู้ยืมเงินมาใช้จ่าย เพื่อลดปัญหาจากความผันผวนของรายได้แล้วค่อยชำระคืนในปีที่ผลผลิตดีและมีรายได้เพียงพอหรือมีรายได้ส่วนเกิน
ด้านการกระจายรายได้ ถ้าไม่มีสินเชื่อ เฉพาะเกษตรกรมีฐานะจึงจะทำการผลิต (เพื่อขาย) ได้ เนื่องจากการมีสินเชื่อที่ช่วยให้เกษตรกรเข้าถึงปัจจัยการผลิต และการลดความเสี่ยงจากความผันผวนของรายได้ จึงเป็นการบรรเทาปัญหาการกระจายรายได้อีกด้วย
โดยลักษณะเหล่านี้ สินเชื่อที่เป็นเรื่องของการกู้ยืมเพื่อการผลิต (หรือแม้แต่เพื่อการบริโภค) จึงเข้าข่ายของมาตรการที่มีผลต่อสวัสดิการของคนในชุมชนโดยตรง ทั้งยังน่าจะเป็น “สวัสดิการพื้นฐาน” ด้วย คือเรื่องของอาชีพและความมั่นคงทางปากท้องของผู้คนที่ต้องกินต้องอยู่ การกู้ยืมเงินจึงจำเป็นสำหรับภาคชนบทที่มีการผลิตและการบริโภคผ่านระบบตลาด
เศรษฐศาสตร์วิเคราะห์ต่อไปว่า ตลาดสินเชื่อในชนบทเองมีปัญหาซึ่งสัมพันธ์กับลักษณะการผลิตในภาคเกษตร ด้วยเหตุนี้รัฐจึงเข้ามาแก้ไข (แทรกแซง) ปัญหาคือ รัฐตั้งโจทย์ผิดมองสาเหตุของปัญหาไม่ค่อยตรงจุดนัก การแทรกแซงของรัฐจึงไปสร้างปัญหาอีกอย่างหนึ่ง
คราวหน้าจะบอกว่า ตลาดสินเชื่อในชนบทมีปัญหาอย่างไรในมุมมองทางเศรษฐศาสตร์
(ยังมีต่อ)
สวัสดีคะ อาจารย์ปัทมาวดี
ความสัมพันธ์ของ สินเชื่อ กับสวัสดิการในชนบท กับโจทย์ที่รัฐมองพลาดจนสร้างปัญหา...
รออ่านตอนต่อไปคะ
---^.^---
- กระทบต่อการศึกษาของลูกหลานชาวชนบท เขาเรียนได้ไม่เต็มที่เพราะพ่อแม่ไม่มีเงินส่งเรียน หลายคนลูกกำลังเรียนในระดับอุดมศึกษา
- กระทบต่อหลักการเศรษฐกิจพอเพียง ที่รัฐไปโฆษณา ประชาสัมพันธ์ให้ชาวบ้านอย่างนั้นอย่างนี้ มันไม่ได้ เขาเป็นหนี้ก็ต้องไปทำงานหาเงินมาใช้หนี้ หรือหนักเข้าไปอีกคือ กู้ ก. ไปคืน ข. แล้วก็วนกันอย่างนี้ ท่านอาจารย์ทราบเรื่องนี้ดีนะครับ
- กระทบต่อระบบกลุ่ม องค์กรในชุมชน หลักการกลุ่มมีอย่างไร คณะกรรมการบ้าง สมาชิกบ้าง มุ่งแต่จะแก้ปัญหาหนี้สินที่มาก การดำเนินชีวิตต่อระบบกลุ่มจึงไม่ราบรื่นและจะสร้างให้กลุ่มเข้มแข็งก็ยากมาก
- กระทบต่อระบบความสัมพันธ์ในครอบครัว พ่อบ้านจากแม่บ้าน จากลูกเล็กๆเพื่อไปหางานทำเงิน...
- กระทบต่อระบบทุนทางสังคมเดิมที่มีวัฒนธรรมประเพณี เป็นเครื่องร้อยรัด สะสมทุนทางสังคมทีละเล็กละน้อยฝังอยู่ในจิตใจคนชนบท แต่ไม่มีแล้ว เพราะต่างคนมุ่งหาทางทำงานหาเงิน การเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมน้อยลงมากๆ มากๆ ส่วนนี้ผมว่าร้ายที่สุด ส่งผลทั้งทางตรงและอ้อม เมื่อสังคมชุมชนมีทุนทางสังคมบกพร่อง นานเข้าลัทธิปัจเจกนิยมก็ก้าวเข้ามาแทนที่ ความสัมพันธ์ระหว่างสายตระกูลยังคลอนแคลน ระบบเจ้าโคตรที่เคยทรงคุณค่าก็จางหายไปหมดสิ้น คนไม่เหลืออะไรเป็นรากเป็นแก่นแก่ชีวิต
ระบบการผลิตแบบตลาดนี้ ผมก็กระโดดเข้ามาจับได้ 2 ปี ก็หนักหนามากจริงๆ ขนาดเรามีเครื่องมือมากมายจะใช้เพื่อการขับเคลื่อนกิจกรรมการผลิตให้พอไปได้ เมื่อเราห่างออกมาแล้วชาวชนบทที่มีจุดอ่อนในเรื่องความสามารถในด้านการตลาดก็เป็นเบี้ยล่างตลอดกาล แม้หน่วยงานที่ไม่น่าเอาเปรียบชาวบ้านเลย ก็ยังเอาเปรียบชาวบ้าน เอาตัวเองรอดไว้ก่อน ทิ้งภาระให้ชาวบ้าน สงสารเขาจริงๆ
อย่างไรก็ตามหลักการทางวิชาการก็ต้องเรียนรู้ครับ แต่ต้องเอาไปดัดแปลงให้สอดคล้องกับสภาพจริงของคน และสถานการณ์และสิ่งแวดล้อมต่างๆในชนบทนั้นๆ
งานชิ้นนั้นผมทำ Risk Management Analysis แต่ก็ไม่สามารถผลักดันให้กระบวนการอุดช่องว่าง ช่องความเสี่ยงลดลงได้มากเท่าที่ควรจะเป็น มันก็เลยเกิดความรู้สึกว่า รู้ทั้งรู้ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นักธุรกิจเกษตรเขามีความคล่องตัวและพร้อมต่อการเสี่ยงมากกว่า และสร้างเงื่อนไขลดความเสี่ยงโดยโยนมาให้ชาวบ้าน ชาวบ้านจะไปรู้เรื่องอะไรครับ เขาว่าอะไรมาก็ทำตามเขาทั้งสิ้น ...
ผมจะตามงานของอาจารย์ครับ น่าสนใจมากครับ
สวัสดีค่ะคุณ wwibul และคุณพิมพ์ดีด
หวังว่าบันทึกคงจะเป็นประโยชน์บ้าง คิดเห็นอย่างไรเล่าให้ฟังด้วยนะคะ
สวัสดีปีใหม่ค่ะ คุณบางทราย
ขอบคุณที่แลกเปลี่ยนด้วยข้อเท็จจริงซึ่งเป็นประโยชน์มากค่ะ คุณบางทรายได้ช่วยตอบโจทย์บางประเด็นที่กำลังจะตั้งคำถามในบันทึกฉบับต่อไปพอดีเลยค่ะ
ประเด็นเชิงทฤษฎีต้องการการทดสอบหรือการยืนยันจากภาคปฎิบัติมากเลยค่ะ เพื่อปรับกรอบคิดและมุมมองให้ถูกต้อง ก่อนที่จะนำไปสู่ข้อเสนออื่นๆ
ทฤษฎีช่วยให้การคิดเป็นระบบ แต่ต้องไม่ติดกรอบมากนัก บางทีนักวิชาการที่มองเชิงทฤษฎีแล้วเสนอแนะโน่นนี่ก็ผิดพลาดและเป็นวิธีการแบบ Top-down เหมือนกันนะคะ ตรงนี้คือสิ่งที่ตัวเองต้องระวังมากๆ
สวัสดีค่ะทุกท่าน
ขอบคุณสำหรับทุกความรู้ที่มีให้มา แต่หนูอย่างทราบถึง ความสำคัญของปัญหาที่ทำให้เกิดสินเชื่อ หน่อยค่ะ อยากทราบว่าทำไมถึงจะต้องสินเชื่อเกิดขึ้น ของความกรุณาช่วยตอบขอสงสัยหน่อยนะค่ะ
ขอบพระคุณอย่างมากค่ะ
สวัสดีค่ะคุณกระต่ายน้อย
สินเชื่อเกิดเพราะความต้องการในปัจจุบันไม่สอดคล้องกับเงินทุนที่มีอยู่ในปัจจุบัน เช่น ต้องการเงินไว้ใช้จ่าย ไว้ลงทุน แต่ไม่มีเงิน ก็ต้อง "ยืมเงิน" เงินที่กู้หรือยืมมานั้นเป็น "สินเชื่อ" ค่ะ เงินกู้ต้องจ่ายดอกเบี้ย เงินยืมไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ย หรือดอกเบี้ยเป็นศูนย์ค่ะ
ในสมัยโบราณที่ระบบเงินตรายังไม่เข้มแข็ง ก็มีการ "ยืมของ" มาก่อน แล้วค่อยใช้คืนเป็นสิ่งนั้นหรือสิ่งอื่น (เช่น ตอบแทนบุญคุณ)
ปัทมาวดี