สนทนากับเสียงด้านใน : เมื่อใครใครก็กวนใจเรา


“คนที่เดินเข้ามาในชีวิตเราเปรียบเสมือนกระจกเงา ที่เขาส่องให้เห็นใจของเรา” แต่ส่วนใหญ่ไม่ทันที่จะส่องให้เห็นอะไร เราก็อาจกระโดดถีบหรือทุบกระจกแตกไปเสียก่อน และบ่อยครั้งกระจกเงาบานนั้นก็แตกยับเยินเกินซ่อมแซม และบานใหม่ก็เริ่มร้าวราน

         หลังจากที่ สคส. ได้เข้ากระบวนการเริ่มรู้จัก นพลักษณ์  เมื่อ 20 22 ธันวา ที่ผ่านมา  นอกจากได้เริ่มศึกษาความจริงที่เรียกว่า นพลักษณ์ แล้ว    อ. ชัยยศ  จิรพฤกษ์ภิญโญ หนึ่งในกระบวนกรของเรา ก็มีของแถมให้พวกเราด้วยกระบวนการ  Voice Dialogue  ซึ่งเพิ่งไปเรียนรู้-รู้จักมา  แล้วก็ลองมาส่งให้พวกเราได้ชิมลางกัน  หะแรกก็แปลกใจ  เพราะการทำ dialogue ชอบบอกให้เราฟังแบบลึกซึ้ง แล้วแขวนสิ่งที่นึกได้ไว้ก่อน  ไม่ต้องเป็นฮิตาชิ ให้เกิดในบัดดล 

         เมื่อกลับมาที่ทำงาน  ก็หาข้อมูลเพิ่มเติมในเน็ต  ปรากฎว่า ได้ปะชื่อคนคุ้นเคย (เราฝ่ายเดียวที่เป็นผู้คุ้นเคย)  คือ คุณ สมพล ชัยสิริโรจน์  เครือข่ายจิตตปัญญาศึกษา [email protected]  ผู้เขียนประจำคอลัมน์ ณ พรมแดนแห่งความรู้ หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์  ซึ่งว่าไว้ในฉบับวันที่ 4 พฤศจิกายน 50 (ขอจับความมาเผื่อไผสนใจ หรือมีข้อแนะ) 

................ 

         เราเคยได้ยินเสียงเหล่านี้ในใจเราไหม คิดได้ไง (ว่ะ) ทำงานไม่รับผิดชอบซะเลย คนพรรค์นี้” “เนี่ยเหรอ จะให้สร้างสรรค์ เอาแต่สั่งๆ แล้วใครจะคิดอะไรได้  และเสียงอื่นๆ ที่บ่นต่อว่า อาจจะก่นด่าผู้คนที่เราต้องพบปะเจอะเจอ ในชีวิตประจำวัน เรามักพบประสบกับผู้คนที่จุดชนวนให้อารมณ์ของเราปะทุ นับแต่หงุดหงิดเล็กน้อย จนโมโหโกรธา หรือน้อยอกน้อยใจ จนเศร้าสร้อยซึมเซา ขัดอกขัดใจบ้าง จนถึงขั้นเกลียดชังไม่เผาผี 

         ครั้งแล้วครั้งเล่า ที่เราได้เจอพวกเขาผู้กวนใจเหล่านั้น เสียงอีกเสียงหนึ่งก็จะค่อยดังขึ้นในใจเรา ทำมาย ทำไม คนดีดีอย่างเราถึงต้องเจอกับคน .....ๆ อย่างนั้น”   คนเราก็แตกต่าง ก็เท่านั้นเอง   นึกว่าซวยไปแล้วกัน  อยู่กันไม่ได้ก็แยกกันอยู่”   “คนเรามันก็นิสัยและสัน……เป็นอย่างนี้ทำใจซะ ไปเปลี่ยนมันไม่ได้หรอก”  

         แล้วเราก็พบว่าเสียงอธิบายต่างๆ ที่ฟังเผินๆ ดูสมเหตุสมผลน่าจะนำมาปฏิบัติ  เผื่ออารมณ์ที่กำลังปะทุของเราจะทุเลาลงบ้าง  

         บางครั้งฟังเสียงดังกล่าวแล้วทำตาม อารมณ์เราก็เพลาลง แต่บ่อยครั้งก็ยังพลุ่งพล่านเกินกว่าจะอยู่ได้เป็นปกติสุข  และแม้นจะเบาลงก็ชั่วครู่ชั่วคราว เมื่อได้เจอหน้าคู่กรณีเดิมอาการเดิมก็กำเริบ  

         อาจารย์อมรา ตัณฑ์สมบุญ เคยกล่าวไว้ทำนองว่า  คนที่เดินเข้ามาในชีวิตเราเปรียบเสมือนกระจกเงา ที่เขาส่องให้เห็นใจของเรา แต่ส่วนใหญ่ไม่ทันที่จะส่องให้เห็นอะไร เราก็อาจกระโดดถีบหรือทุบกระจกแตกไปเสียก่อน  และบ่อยครั้งกระจกเงาบานนั้นก็แตกยับเยินเกินซ่อมแซม และบานใหม่ก็เริ่มร้าวราน อาการปะทุนี้จะเป็นบทเรียนอะไรให้เรากับเราได้บ้าง เราสามารถหยิบฉวยเอาความสัมพันธ์กับผู้อื่นเป็นเครื่องนำทางให้เราได้เรียนรู้ที่จะ ทำใจได้อย่างไร 

         Drs. Hal และ Sidra Stone ได้ริเริ่มและก่อตั้งกระบวนการเรียนรู้ที่เรียกว่า Voice Dialogue Work (VDW) หรือ การสนทนากับเสียงด้านใน หรือ สนทนาด้านใน โดย J’aime ona Pangaia (เจมี่) ศิษย์คนสำคัญของทั้งสองได้เปรียบคนเราเอาไว้ว่า  แต่ละคนเกิดมาพร้อมกับศักยภาพความสามารถทางจิตเหมือนไพ่ครบสำรับทั้งห้าสิบสองใบ

         ในวัยเด็ก เราเรียนรู้ที่จะให้คนรอบข้างยอมรับและยกย่อง เพื่อจะเป็นเด็กดีน่ารักของพ่อแม่  เป็นเด็กเอาไหนของครูบาอาจารย์  เป็นเด็กเชื่อฟังของพระสงฆ์องค์เจ้า เป็นพลเมืองดีของชาติ และเป็นคนที่รู้จักเอาใจเพื่อน และเพื่อจะอยู่รอดปลอดภัยร่วมกับใครต่อใคร

         เราต้องทิ้งไพ่บางใบ ทิ้งศักยภาพบางอย่างของเราเพื่อให้อยู่และเข้ากับเขาเหล่านั้นให้ได้ แล้วตัวเราเองก็เติบโตด้วยศักยภาพด้วยไพ่บางใบเท่านั้นที่เหลืออยู่ในมือเรา  และไพ่เหล่านั้นก็เป็นตัวตนกำเนิดเสียงด้านในของเรา คอยบอกเราว่า เราต้องพูดจาดีดีกับใครต่อใคร” “เราต้องรู้จักรับผิดชอบ” “เราต้องเป็นตัวของเราเอง” “เราต้องเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่  และต้องอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งเสียงเหล่านี้เป็นเสียงที่มีประโยชน์ ทำให้เราประสบความสำเร็จไม่ด้านใดก็ด้านหนึ่งในชีวิต เป็นเสียงของพระเอกนางเอกในชีวิตเราที่ส่งเสริมให้เรามีวันนี้ที่ดี ดร. สโตนเรียกตัวเอกนี้ว่า Primary Self 

แต่ในขณะที่เรายึดถือเสียงของตัวเอกเป็นเครื่องนำทาง เราก็ปฏิเสธหรือหันหลังให้กับตัวตนหรือเสียงที่ตรงกันข้ามกับเสียงตัวเอกเหล่านี้ เมื่อเราเก็บไพ่อะไรก็ตามไว้ในมือ  เราจะทิ้งไพ่ที่แตกต่างตรงกันข้ามไปเสมอๆ ไม่มีข้อยกเว้น ไพ่ที่ทิ้งไป ตัวตนที่เราเนรเทศไปจากชีวิตเราทั้งถาวรและชั่วคราว  ดร. สโตนเรียกว่า Disowned Self   และที่เราทิ้งเสียงของตัวตนเหล่านี้ไป  เนื่องจากเมื่อเราทำตามเสียงเหล่านี้แล้ว ทำให้เราอับอาย ไม่ปลอดภัย เจ็บใจรวมทั้งเจ็บตัว

           ยิ่งไปกว่านั้น เราไม่สามารถทิ้งตัวตนของเราไปได้โดยสิ้นเชิง   ตัวตนหรือไพ่ที่เราทิ้งไปนั้น ยังฝังอยู่  ยังทรงอิทธิพลอยู่ในตัวเรา  เป็นพลังที่ถูกเก็บกักไว้ เรารู้ตัวบ้าง ไม่รู้ตัวบ้าง แต่ส่วนใหญ่ไม่รู้ตัว

            และหากมาวันหนึ่ง เราจำต้องพบปะผู้คนที่เขาถือไพ่ใบที่เราทิ้งไป มีตัวตนของเขาที่ตรงกันข้ามกับตัวเอกเรา วันนั้นพลังที่ถูกเก็บกักกลับปะทุ ความทรงจำเดิมๆ ที่เคยประสบที่ทำให้เราเจ็บใจเจ็บตัวอับอายกลับฉายขึ้นมาในใจ ในจิตที่ไร้สำนึกอีกครั้ง ความขุ่นข้องหมองใจและอารมณ์ต่างๆ ที่เคยฝังไว้กลับมาเยือน ให้เราสะเทือนใจ

             เราฟังดูใครสักคนพูดจาไม่ถนอมน้ำใจคนเลย อาจจะเป็นเพราะตัวเอกของเรายึดถือว่า คนเราต้องพูดจาระมัดระวัง

             ใครสักคนดูไม่รับผิดชอบเอาซะเลย อาจจะด้วยว่า ตัวเอกของเราบอกว่า คนเอาไหนต้องรู้จักเคร่งครัดกับหน้าที่

             ใครสักคนดีแต่สั่งไม่เคยรับฟัง”  เป็นไปได้ว่าตัวเอกคอยกำชับเราว่า จะทำอะไรกับใครต้องให้ทุกคนมีส่วนร่วม

             “ใครสักคนเห็นแก่ตัวสุดๆ ด้วยเสียงตัวเอกคอยบอกว่า คนเราต้องรู้จักเสียสละเอาใจใครต่อใคร

             และถ้าหากเราจะแขวนลอยห้อยคำถามว่า ใครผิดใครถูกไว้สักชั่วครู่ เราอาจจะได้ยินเสียงเบาๆ อีกเสียงว่า ไม่ต้องระมัดระวังนักก็ได้ ... ไม่ต้องเคร่งครัดเสมอๆ หรอก” “ไม่ต้องคอยใครต่อใครให้เห็นด้วยนัก และ ไม่ต้องเสียสละหรือเอาใจใครสักวันได้ไหม

             เมื่อนั้นพื้นที่ใหม่ๆ ในความสัมพันธ์ โอกาสใหม่ๆ ในการเรียนรู้รวมทั้งศักยภาพที่เคยสูญหายไปของเรา อาจจะเริ่มปรากฏให้เราได้เห็น ได้สัมผัส และที่สำคัญได้ยินได้รับฟังจริงๆ อีกครั้ง

             และเป็นไปได้ไหมว่า เราอาจจะพอ ทำใจ ให้รอยยิ้มที่หายไปกับอารมณ์ที่ปะทุได้คืนกลับมา

.....แล้วจะกลับมาใหม่นะ

หมายเลขบันทึก: 156454เขียนเมื่อ 28 ธันวาคม 2007 21:52 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 มิถุนายน 2012 13:13 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)
จิตใจเขาทำด้วยอะไร

     เมื่อเวลาประมาณ 18.00 น. ของวันที่17/10/54 รถทะเบียน ชช 7769 ได้ขับรถมาจอดบริเวณหน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง แถวๆถนนพระราม4 (ป้อมจร.กลางพระราม4) ได้ทำการดับเครื่องและได้เปิดประตูรถ แต่ไม่ได้มองกระจก เพื่อดูรถที่วิ่งมาก่อนจะลงรถ จึงทำให้รถจยย.ที่วิ่งมา วิ่งมาชนประตูรถ ซึ่งทำให้ผู้ที่ขี่จยย.ได้รับบาดเจ็บที่แขนและขา แต่เจ้าตัว(เจ้าของรถทะเบียน ชช 7769) ได้เข้าไปนั่งรับประทานอาหาร ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และได้ปล่อยให้คนเจ็บนั่งรอ ผ่านไป1ชม.คนนั้นได้ออกมาโทรหาประกัน(หลังทานข้าวเสร็จ) ผ่านไป1ชม.กว่า ได้เข้าไปเคลียเรื่องที่ สน.ทุ่งมหาเมฆ โดย(เจ้าของรถทะเบียน ชช 7769)ได้เสียเทียบปรับจำนวน400บาท และได้ชิงตัวเองหายไปโดยไม่ร่ำลา (โดยไม่คุยไม่มาขอโทษกับผู้เสียหายเลย) หลังจากนั้นผู้เสียหายต้องมาคุยกับประกันถึงค่าเสียหาย ผ่านไป2ชม.เจ้าทุกข์หรือคนเจ็บจึงได้ไปรพ.

มาทราบชื่อเจ้าของรถทะเบียน ชช 7769 ภายหลังว่าชื่อ ดร.อมรา ตัณฑ์สมบุญ

ทำไมคนที่เป็นถึงดร.ถึงได้กระทำตัวเช่นนี้ครับ

                                                                  น้องของผู้เสียหาย

ที่มา: http://webboard.news.sanook.com/forum/?topic=3508026

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท