เรื่องของรองเท้าบางทีก็สำคัญ และมีความหมายต่อชีวิตอย่างที่คิดไม่ถึง มีคนจำนวนไม่น้อยให้ความสำคัญกับรองเท้าในหลาย ๆ ด้าน ทั้งเรื่องความงาม ความโก้หรู หรือแม้กระทั่งความรู้สึกและความเข้าใจ
บางคนแม้รองเท้าจะเก่าแค่ไหนก็ตัดสินใจทิ้งไม่ได้สักที เพราะถ้าเราใช้ความรู้สึกและเอาความเข้าใจเข้าไปเกี่ยวข้องแล้ว สิ่งธรรมดามักกลายเป็นสิ่งพิเศษได้ไม่ยาก
พ่อแม่จำนวนไม่น้อยที่มีลูกอยู่ในวัยเด็ก เมื่อเดินผ่านร้านรองเท้าจะถูกลูก ๆ เรียกร้องให้ซื้อรองเท้าคู่ใหม่ให้อยู่เป็นประจำ ถ้าไม่ได้ก็จะร้องกระจองอแงจนสุดท้ายพ่อและแม่ก็ต้องยอมแพ้ ใจอ่อน ซื้อรองเท้าให้
ใครจะรู้บ้าง ...
สาเหตุสำคัญที่พ่อแม่ยอมซื้อรองเท้าให้ลูกได้ใส่ จะมีนัยสำคัญแฝงอยู่
เพราะชีวิตในโลกกว้างมีเส้นทางแสนยาวไกล ทุกสิ่งใช่จะเป็นไปอย่างใจนึกฝัน เส้นทางที่เราผูกพันบางครั้งก็เต็มไปด้วยความขรุขระ และขวากนามแหลมคมของสารพัดปัญหาที่คอยทิ่มแทงเราอยู่ตลอดเวลา
การมีรองเท้าใส่จึงเป็นเรื่องจำเป็นและเป็นสิ่งที่สำคัญ ที่จะช่วยเติมความฝันของเด็กน้อยให้เต็ม พ่อแม่กลัวลูกจะก้าวพลาดหกล้มลุกเจ็บเนื้อเจ็บตัว จึงต้องเลือกซื้อรองเท้าที่เห็นว่า ลูกใส่สบาย แนะนำให้ลูกเดินไปตามทางที่เห็นว่า ปลอดภัย
ย่างก้าวแรกของลูก ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าใด ก็ยังคงติดตรึงใจอยู่ในความทรงจำของพ่อแม่ตลอดไป เป็นความประทับใจและความอิ่มใจที่มิรู้หน่าย
ยิ่งเมื่อได้รู้ว่าลูกเดินได้ด้วยตัวเองเมื่อไร คนที่เป็นพ่อเป็นแม่จะมีความสุขใจแค่ไหน ใครจะรู้ ?
แต่เมื่อลูกโตขึ้น ...
จะมีลูกสักกี่คน ที่จำรองเท้าคู่แรกที่แม่ซื้อให้และเหนือกว่านั้น จะมีลูกสักคนไหมที่ได้ตระหนักว่า คนที่ซื้อรองเท้าให้เราในวันนั้น วันนี้ท่านมีชีวิตอยู่อย่างไร ?
เมื่อเวลาผ่านไป ...
คนเก่าเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นคนใหม่ จะด้วยเพราะความตื่นตาต่อโลกใหม่หรืออย่างไรก็ตาม ทำให้ลูกใช้เท้าสองข้างที่พ่อแม่เคยจูบ ก้าวฝ่าความรู้สึกของพ่อแม่ด้วยการเหยียบย่ำน้ำใจของท่าน
ลูกบางคนเริ่มไม่เชื่อฟัง บางคนหนีเที่ยว พ่อแม่สอนอย่างไร ไม่เคยจำ แต่ทำเรื่องเลวร้ายได้ทุกอย่าง
ในที่สุด เชือกรองเท้าที่พ่อแม่ผูกให้ก็เริ่มหลุดลุ่ยขาดวิ่น ...
ความรู้สึกอิสระเสรีในโลกใบใหม่ ทำให้เจตนาดีของพ่อแม่กลายเป็นเรื่องเลวร้ายน่าเบื่อหน่าย จนเมื่อภาพมายาคลี่คลาย เส้นทางที่เคยเลือกเดินกลับตื้อตัน ข้างหน้ากลับกลายเป็นกำแพงหินที่ไม่อาจปีนข้าม
กว่าจะตระหนักได้ว่า ตนนั้นหลงทาง ฟางเส้นสุดท้ายก็ปลิวหายไปเสียแล้ว
หลายคนเดินไปจนสุดกู่ โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ตนจะไปไหน หนทางชีวิตที่เคยคิดว่า เข้าใจกัน กลับเป็นเหมือนภาพหลอนที่คอยทำร้ายตัวเองในภายหลัง
เพราะภาพความจริงของการดำรงชีวิตไม่มีอะไรง่าย
เมื่อเวลาผ่านไป หลายคนจึงได้ค่อยตระหนักถึงคำพูดดังกล่าว เริ่มคิดโหยหารองเท้าคู่เก่าที่พ่อแม่เคยซื้อให้
ประสบการณ์ของการสูญเสีย สอนให้คนเราได้ตระหนักถึงสิ่งที่มีอยู่
ว่าหากเราไม่รักษาสิ่งที่มีอยู่อย่างระมัดระวังแล้ว เมื่อเวลาผ่านพ้นไป เราจะไม่เหลืออะไรให้ได้รักษาอีกเลยในชีวิต
การก้าวเดินไปบนเส้นทางของชีวิต จึงควรเป็นไปอย่างระมัดระวัง
รู้จักเลือกทางเดินของชีวิต
รู้จักคิดและใช้ชีวิตด้วยความเข้าใจ
เรื่องหนึ่งที่ งามพรรณ เวชชาชีวะ แปลไว้อย่างน่ารัก ในหนังสือ ด้วยรักและช็อกโกแลต เล่าว่า
ในวันที่หิมะตกหนักหลังจากเลิกเรียน
เด็กหญิงคนหนึ่งยืนร้องไห้อยู่บนระเบียงหน้าห้องเรียนขณะที่นักเรียนคนอื่นต่างกลับไปหมดแล้ว เดือดร้อนถึงครูที่ต้องออกมาดูแล
"หนูเป็นอะไรจ๊ะ"
"หนูหารองเท้าของตัวเองไม่เจอ"
เมื่อครูมองไปที่ชั้นวางรองเท้า ก็เห็นรองเท้ายังเหลืออยู่คู่หนึ่ง จึงบอกว่า
"รองเท้าของหนูอยู่นั่นไงจ๊ะ"
เด็กหญิงส่ายหน้า ยืนยันว่าไม่ใช่ของเธอ
คุณครูไม่เข้าใจว่า ทำไมลูกศิษย์ถึงบอกว่าไม่ใช่ จึงถามอย่างอ่อนโยนอีกครั้ง
"หนูรู้ได้ยังไงว่าไม่ใช่ของตัวเอง"
เด็กหญิงคนนั้นสบตาครูก่อนตอบเบา ๆ
"รองเท้าหนูมีหิมะเกาะอยู่ค่ะ"
เราอย่ามองเห็นแค่ภาพที่เคลื่อนไหว
จงรับรู้ด้วยใจในความเป็นไปของชีวิต
โลกยังกว้าง หนทางยังยาวไกล
วันนี้เรามีรองเท้าที่ใส่แล้วสบายใจ .. บ้างหรือยัง ?
ขอบคุณเรื่องราวดี ๆ จากหนังสือ ชื่อ "ความรู้สึกดี ๆ มีได้ทุกวัน" โดย "กอบแก้ว"
วันนี้ คุณยังจำ "รองเท้าคู่แรกที่แม่ หรือ พ่อ ซื้อให้" หรือเปล่า ... แล้วคุณยังจำ "ความรักที่พ่อกับแม่มีต่อคุณ" หรือไม่
ใครกลับบ้านปีใหม่ "อย่าลืม น้อมศีรษะกราบเท้าท่านทั้งสอง" แล้วบอกรักท่านบ้าง อย่างน้อยสักครั้งก็ยังดี
ขอบคุณพ่อกับแม่ที่ให้ชีวิตผม
รักพ่อ และ แม่ ครับ :)