ประกันล้นพ้นตัว


ผมคุยกับกัลยาณมิตรท่านหนึ่ง แล้ววกมาถึงเรื่องการทำประกัน

คุยไปคุยมา ผมได้ยินว่า เขาทำประกันชีวิตไว้ บอกเป็นวงเงินเทียบเท่า 12 % ของรายได้

ฟังแล้วผมหวิดพลัดเก้าอี้

เพราะเขาเป็นคนโสด ไม่มีห่วง ไม่ได้ผ่อนบ้าน ทำประกันมากมายไปเพื่อใคร ?

อย่าว่าแต่ นี่เป็นประกันชีวิต ไม่ใช่ประกันสุขภาพสักหน่อย จะได้พูดได้เต็มปากว่า ไว้แก้ปัญหาการเงินให้ตัวเองตอนไม่สบาย

ผมนึกขึ้นได้ถึงลูกศิษย์อีกคน เล่าให้ฟังเมื่อหลายปีก่อน ตัวเลขก็แบบนี้

คือตอนทำ ไม่คิด มาคิดได้ ก็ตอนผ่านไปหลายปี ว่า อ้าว ทำเพราะเกรงใจคนอื่นหรอก แต่บนความเดือดร้อนตัวเอง

แบบนี้ เรียก ประกันล้นพ้นตัว ก็คงไม่ผิด

ทำประกัน เท่าไหร่ดี ?

ผมมองว่า คงต้องขึ้นกับเงื่อนไขเฉพาะตัวของบุคคล

ถ้ามีภาระห่วงหน้าห่วงหลังมาก  12 % ที่ว่า ผมก็ว่าไม่ได้มากไปเท่าไหร่นัก

แต่ถ้าไม่มีห่วงอื่น ต้องห่วงแต่ตัวเอง ประกันประเภทได้ประโยชน์ตอนเป็น จะคุ้มกว่าที่ให้ประโยชน์ตอนตาย และคงต้องดูเงื่อนไขเฉพาะตัวอื่นประกอบด้วย เช่น ถ้ารับราชการอยู่ ผมมองว่า 12 % มากไป (แต่ไม่ทำเลย ก็จะ "น้อยไป" เพราะต้องเผื่อกรณียกเว้นสิทธิ หรือสิทธิไม่คลุมถึง)

กลุ่มนี้ ถามซักไซร้ไปลึก ๆ มักเล่าเหตุผลให้ฟังที่แต่ละอย่าง ผมฟังแล้วอยากร้องไห้

  • ไว้หักลดหย่อนภาษี ("ได้หนึ่ง ทิ้งเก้า" นี่นะ ?)
  • คนขายตื๊อจนใจอ่อน (..."ยังไม่เคยเจอทีเด็ดตอนโดนทิ้งทุ่น"...ผมคิด)
  • เป็นการลงทุน (โอ้ว พระเจ้า ! มันเยี่ยมมาก คิดได้ไง !)

คือฟังไปฟังมา เป็นการ "ทำประกันความเสี่ยง ไม่ใช่เพื่อคุ้มครองความเสี่ยง" ทั้งนั้นเลย

ผมจะสอนเด็กโตเรื่องพวกนี้ว่า "ทำประกันอะไร เพื่ออุดความเสี่ยงเรื่องนั้น"

และ "ทำแบบพอดี"

คือ ...

ถ้าทำน้อยไป แสดงว่า ประมาท

ถ้าทำมากไป แสดงว่า โง่ 

อาจได้ลดหย่อนภาษีด้วยเป็นของแถม

อาจได้รักษาสายสัมพันธ์กับคนขายด้วยเป็นของแถม

อาจได้การออมหรือได้ลงทุนด้วยเป็นของแถม

แต่ถ้าเมื่อไหร่ เอาของแถมเป็นตัวตั้ง เพื่อซื้อของเอาของแถม ก็คงบ่งว่า มีความพิกลในวิธีคิดอยู่ไม่น้อย

ประกันใบแรก ๆ ในชีวิตของผม ทำเพราะความเกรงใจคน

แต่ใบหลัง ๆ ต่อให้เป็นคนที่ผมเกรงใจ ผมก็จะบอกว่า ให้เขาลองวิเคราะห์ให้ผมฟัง ว่าประกันที่ผมทำไปแล้ว ยังมีรูโหว่ความเสี่ยงไหนที่ผมยังไม่อุด หรือยังอุดไม่รัดกุม

ถ้าวิเคราะห์ไม่ได้ ผมไม่สนใจเรื่องนี้ต่อ ก็จะไปชวนคุยกันเรื่องลมฟ้าอากาศ เรื่องสัตว์เลี้ยงแสนรัก เรื่องสัตว์ประหลาด เรื่องนิยายน้ำเน่าที่กำลังจะอวสานคืนนี้

สบายใจกว่ากันเยอะเลย

 

หมายเลขบันทึก: 154547เขียนเมื่อ 18 ธันวาคม 2007 22:29 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 พฤษภาคม 2012 22:03 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)
ผมไม่เคยวิเคราะห์ลงรายละเอียด เริ่มจากเกรงใจเพื่อนร่วมงานที่ขายประกันเป็นอาชีพเสริม ผมรู้สึกว่าตัวเองจะ(โง่)ประกันซ้ำซ้อนไปด้วย แต่ยอมรักษาเพื่อนไว้และเพื่อเป็นเกราะบอกเพื่อนคนอื่นๆว่า ผมทำแล้วครับ
ผมฟังจากอาจารย์ที่เคารพรักมากท่านหนึ่งว่า นักขายประกันถูกสอนให้มองว่าการเซ้าซี้เพื่อนให้ทำประกันเป็นความท้าทาย เพื่อนไม่รู้หรอกว่าเพื่อนหนักใจแค่ไหนที่จะบอกเพื่อนว่า ขอบคุณมากที่หวังดี
  • สวัสดีครับคุณภีม
  • ประกันใบแรก ในช่วงแรกของชีวิต ผ่านไปนานพอ มักจะไม่มีผลกระทบเมื่อรายได้เพิ่ม
  • ดังนั้น "ซื้อความรู้" จากการทำใบแรก ก็ถือว่า คุ้ม เพราะได้ใช้แทน เกราะกำบัง ได้ด้วย เป็นของแถม
  • แต่ถ้าใบหลัง ๆ คงต้องคิดหน้าคิดหลังให้มาก และนาน แหละครับ เพราะเป็นการทำเพื่อให้สะท้อนกับเงื่อนไขเฉพาะที่แท้จริงของตัวเอง
  • ผมเคยได้ยินคำคนสอนว่า "มิตรภาพที่สร้างบนฐานการทำธุรกิจ จะจริงใจและยั่งยืนกว่า ธุรกิจที่สร้างบนฐานมิตรภาพ"
  • เท่าที่เจอกับตัวเอง ผมว่าจริง
  • เพราะใครค้าขายโดยเอามิตรภาพบังหน้า วันไหนเราไร้ประโยชน์สำหรับเขา มิตรภาพก็หดหาย (พอซื้อประกันเขาแล้ว ก็หายหัว จะเคลมประกัน ก็ขี้เกียจบริการ อะไรประมาณนั้น)

 

  • สวัสดีครับ ถือโอกาสมาเล่าประสบการณ์มาแชร์กันครับ
  • ผมทำประกันชีวิตครั้งแรก เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว
  • คนขายประกันเป็นเพื่อนผม มาเซ้าซี่ทุกวัน
  • พยายามคิดถึงมิตรภาพ และแต่ก็แอบคำนวณผลตอบแทนจากประกันชีวิต กับการนำเงินก้อนนั้นไปฝากธนาคารกินดอก (ขนาดนั้นดอกเบี้ยร้อยละ 10 -ก่อนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ-)
  • ผลการคำนวณพบว่า ถ้าภายในเก้าถึงสิบปีหลังจากทำประกันแล้วไม่ได้ใช้ประโยชน์จากการทำประกันแต่ใดๆ เลย ถือว่าเป็นการลงทุนที่ขาดทุน เพราะฝากเงินกินดอกได้มากกว่าประโยชน์จากประกัน
  • ผมก็เอาผลการคำนวณไปให้เพื่อนมันดู คราวนี้เพื่อนมันจนด้วยเหตุผลในเชิงประโยชน์ที่ผมจะได้รับจากประกัน มาเปลี่ยนเป็นให้เห็นใจมันหน่อยเพราะมันต้องการยอด จะได้ไปเที่ยวเกาหลี
  • ในที่สุดผมก็ตัดสินทำ แต่เหตุผลที่ทำไม่ได้ต้องการช่วยเพื่อนให้มันได้ไปเกาหลี ผมาย้อนคิดถึงคนข้างหลัง ต้องการหลักประกันในช่วงเก้าหรือสิบต่อจากนี้ให้แม่ผม
  • ทำประกันไปได้สองปี เพื่อนมันเลิกอาชีพประกัน และได้พาน้องใหม่มาแนะนำผม
  • แต่ปีที่สาม ใกล้ครบกำหนดส่งเบี้ยประกัน ไม่มีตัวแทนประกันคนไหนสนใจติดต่อมาบริการรับเบี้ยประกันจากผมเลย
  • ผมโทรศัพท์ไปประสานงาน ปลายสายแจ้งให้ผมโอนค่าเบี้ยประกันทางธนาคารด้วยตนเอง
  • ผมก็มานั่งคิด ก็พอเข้าใจในเหตุผลได้ว่า น้องใหม่ เขาก็คงไม่ได้ประโยชน์อะไรจากสัญญาประกันผม เขาก็คงไม่อยากให้บริการ
  • ผมเลยตัดสินใจโทรไป ขอสายหัวหน้ากลุ่มประกัน แล้วก็สั่งให้เขามารับค่าเบี้ยประกันจากมือผม ทุกปี โดยได้ต่อว่าไปหลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องที่หายหัวไปไม่บริการเนี่ยแหละ
  • ทุกวันนี้หัวหน้ากลุ่มประกันคนนั้น ก็จะมารับเบี้ยประกันจากมือผมทุกปี
  • หัวหน้ากลุ่มประกันคนนั้น เขาอายุมากแล้วเหมือนกัน แต่การทำอย่างนี้ของผมไม่ใช่ต้องการแกล้งคนแก่ แต่ต้องการให้เขาเข้าใจว่าภาระและผลที่เกิดจากการพยายามใช้มิตรภาพเข้ามาทำธุรกิจ มันต้องเหนื่อยและรับผิดชอบไม่มีวันสิ้นสุด
  • จึงไม่แปลกที่แม้แต่โฆษณาประกันยังสะท้อนภาพให้เห็นภาพคนขายประกันมีภาพลักษณ์ ดังแมลงสาบ ที่ทุกคนรังเกียจ
  • อย่างไรก็ตาม ประกันก็มีประโยชน์ แต่การตัดสินใจทำประกัน ต้องมาจากการที่เราจะได้รับประโยชน์จากมันจริงๆ ไม่ใช่แค่เพราะไม่อยากเสียเพื่อนไป

สวัสดีครับ คุณtikapus

  • ที่ผมเคยเจอเอง มีทั้งประทับใจด้านลบ และด้านบวกครับ
  • ถ้าเจอแบบนั้นมั่ง ผมคงสาปส่งการประกันไปเลย
  • เรื่องเล่าของคุณ tikapus เป็นตัวอย่างของการทำประกันอย่างฉลาดครับ คือ "ทำประกัน เพื่อการประกันความเสี่ยง"

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท