ช่วงวันหยุดยาวที่ผ่านมา
ฉันนึกสนุกด้วยการเดินทางกลับบ้านด้วยรถไฟ หลังจากสัญญากับตัวเองเมื่อหลายสิบปีก่อนว่า จะไม่เลือกนั่งรถไฟอีกด้วยเหตุผลของการใช้ระยะเวลาการเดินทางที่นานและเกินกำหนด
เริ่มต้นด้วยการจองตั๋ว ฉันเริ่มต้นด้วยความตื่นเต้นกับการเดินทางครั้งนี้ หลังจากการเดินทางครั้งสุดท้ายเมื่อหลายสิบปีที่ผ่านมา ด้วยการโทรศัพท์ไปสอบถามความว่างของที่นั่งว่าพอจะมีที่ให้ฉันเดินทางด้วยหรือไม่ ฉันคิดว่าวิธีการนี้ดีมากเนื่องจากข้อมูลจากการโทรสอบถามกับข้อมูลหน้าห้องขายตั๋วไม่แตกต่างกัน (หากระยะเวลาการสอบถามกับการไปถึงไม่ห่างกันมากเกินไป)
ฉันไปซื้อตั๋วเดินทางล่วงหน้าหนึ่งวัน และตกลงใจว่าจะเดินทางในชั้นที่มีตั๋วว่าง เมื่อไปถึงหน้าห้องขายตั๋วสถานีรถไฟดอนเมือง พร้อมแจ้งความจำนงว่าต้องการเดินทางไปเชียงใหม่ในวันพรุ่งนี้ ซึ่งเป็นวันหยุดยาวที่มีคนเดินทางมาก ทำให้ตั๋วรถไฟเต็ม เหลือเพียงที่นั่งชั้นสาม
เมื่อฉันยืนยันว่าจะกลับตามนั่น ผู้ชายขายตั๋วเงยหน้ามามองฉันแล้วก้มลงทำอะไรกุกกักอยู่กับแป้นคีย์บอร์ด แล้วเงยหน้ากลับมาพูดกับฉันว่า พอดีมีตั๋วชั้นสองว่างหนึ่งที่ตกลงไหม
ฉันแอบคิดว่าด้วยสภาพผู้หญิงตัวเล็กๆ พนักงานคงเห็นว่าน่าสงสารมากที่จะปล่อยให้ฉันไปผจญกับการยืนห้อยโหนและเบียนเสียดผู้คนในตู้รถไฟชั้นสามในห้วงเวลานั้น ซึ่งฉันก็เห็นด้วยและนึกขอบคุณเจ้าหน้าที่คนนั้นหลังจากได้เห็นตู้รถไฟชั้นสามที่คนยืนเต็มกว่าครึ่งคืน...
ถึงวันเดินทางฉันมาถึงสถานีรถไฟดอนเมืองก่อนเวลาครึ่งชั่วโมง ด้วยความเดียงสาฉันถามคนขายของชำหลังจากชำระเงินค่านมและน้ำดื่มว่า ไปสายเหนือรอรถไฟฝั่งไหนคะ...เค้ายิ้มให้ฉันแล้วบอกว่า ฝั่งนี้แหละครับ ขอบคุณที่เป็นรอยยิ้มที่เมตตามิใช่รอยยิ้มแห่งการเยาะเย้ยกับความไม่รู้ของฉัน
ระหว่างที่นั่งรอฉันพบกับ “แก็งค์เด็กออกค่าย” ประมาณ 30-40 คน
แวบแรกรู้สึกชื่นชมที่ใช้วัดหยุดให้เกิดประโยชน์กับผู้อื่น
แต่ในแวบต่อมากลับเกิดความคิดในมุมลบต่อ พฤติกรรมการรวมกลุ่ม ที่มองไม่เห็นคนรอบข้าง ซึ่งเป็นการกระทำที่เห็นอยู่เป็นประจำเมื่อเด็กวัยรุ่นอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับสหายเกินห้าคน พูดคุย หัวร่อ เสียงดังคับสถานีรถไฟ
ฉันนั่งอยู่ไม่ห่างจากเด็กกลุ่มนั้นเท่าไรนักบนม้านั่งยาวริมทางรถไฟ ส่วนหนึ่งของเด็กกลุ่มนั้นกำลังถ่ายรูปกันอย่างสนุำกสนาน และเริ่มขยับขยายเข้ามาเบียดเบียนที่นั่งของฉันและชายข้างๆ จนแทบจะเหยียบหัวผู้ชายที่นั่งข้างฉัน จนเค้าทนไม่ได้ต้องลุกหนีไป
แต่เด็กกลุ่มนั้นไม่ได้รู้สึกว่าเป็นความผิดของตัวเองแม้แต่น้อย แล้วเิริ่มมาเบียดเบียนฉันแทน ฉันเข้าใจว่าพวกเค้าคงไม่ได้ตั้งใจ แต่ด้วยความสนุกกับการถ่ายภาพร่วมกับเพื่อนในสถานที่แปลกตากับการเดินทางครั้งใหม่ ฉันไม่ทำเหมือนผู้ชายที่นั่งข้างฉันหรอก ฉันยังคงนั่งอยู่ และมองการกระทำของพวกเค้าด้วยความตระหนก...ถ้าการออกค่ายของเด็กกลุ่มนี้มีกิจกรรมที่มองเห็นแต่ตัวเอง ความสนุกของตัวเอง พูดคุยแต่เรื่องของตัวเอง แล้วกลุ่มคนที่คอยมอง คอยฟัง คอยรับความช่วยเหลือจากเด็กกลุ่มนี้จะรู้สึกอย่างไร หรืออาจขมวดคิ้วตั้งคำถามในใจว่า “มากันทำไม”
ฉันหวังว่าฉันจะคิดมากไปเองตามประสาคนเริ่มมีอายุ และเอากิจกรรมค่ายในสมัยตัวเองมาเป็นบรรทัดฐานทั้งที่ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปนานแล้วเด็กกลุ่มนี้คงจะมีความคิดและการวางตัวที่ดีเมื่อไปถึงที่
ทำตัวเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนเพื่อร่วมสร้างรอยยิ้ม
มิใช่ทำตัวแปลกแยกเพื่อเป็นแขกผู้มาเยือน
เสียงประกาศดังออกมาจากลำโพง รถไฟจะเข้าชานชลาช้าจากกำหนดเดิม 15 นาที นี่คือการเริ่มต้นของ...
การใช้เวลา
---^.^---
สวัสดีค่ะ คุณพิมพ์ดีด
สวัสดีครับหนูพิมพ์
หวาววววว...หนูพิมพ์เริ่มมีอายุแล้ว...แต่ยังเข้าใจเด็ก ๆ นี่แหละสุดยอดเลย ฮิฮิ
ผมเกิดที่ร้านหมอ...หน้าสถานีรถไฟโคกโพธิ์...ก็หลายสิบปีแล้วเหมือนกัน(กี่สิบแล้วน๊ะ...เขิน) หน้าบ้านก็ทางรถไฟ...ดังนั้นจึงจำเสียงรถไฟได้...ตั้งแต่เป็นหัวลากรถจักรไอน้ำ...ไม้หมอนก็เป็นไม้เคี่ยม(ที่เขาใช้ใส่ในน้ำตาลโตนด...เพื่อทำน้ำตาลเมา ภาษาชาวบ้านเรียกว่า" หวาก " )...มาเป็นไม้หมอนคอนกรีต(เปลี่ยนเมื่อ พ.ศ.๒๕๑๓ นี่เอง) นับว่าชีวิตไม่ได้ห่างกับทางรถไฟ
แต่นี่ก็สิบห้าปีแล้วเหมือนกัน...ที่ไม่ได้นั่งรถไฟ (ครั้งสุดท้ายไปราชการที่อุบลราชธานี(๒๕๓๕) รถไฟออกจากหัวลำโพง ไม่รู้ว่าสามทุ่มหรือสี่ทุ่ม ขึ้นรถไฟเขาปูเตียงแล้ว หลับไปตื่นที่วารินชำราบ...ไม่ได้ดูวิวข้างทางเลย เสียดาย)
เห็นหนูพิมพ์ขึ้นรถไฟ...แล้วนึกถึงบ้าน...แต่สถานีรถไฟโคกโพธิ์ไม่มีแล้วครับ...เขาเปลี่ยนชื่อเป็นสถานีรถไฟปัตตานีครับ
ขอบคุณครับที่ทำให้นึกถึงเรื่องเก่า ๆ เมื่อหลายสิบปีมาแล้วครับ
สวัสดีคะ คุณ tuk-a-toon
การนั่งรถไฟ เป็นการใช้เวลามองสิ่งรอบตัวและมองตัวเองได้ดีทีเดียวคะ แต่...ต้องไม่เร่งรีบใด ใด อย่างที่คุณบอกนั่นแหละคะ
เรื่องเยาวชนคนรุ่นใหม่ก็คงต้องเป็นกำลังใจและคอยมองอย่างเข้าใจ
ขอบคุณมากที่แวะมานะคะ
สวัสดีคะ พี่อาจารย์ขจิต
ยิ้ม ยิ้ม ด้วยคนคะ
ตอนนี้กรุงเทพอากาศร้อน ไม่เย็นสบายทั้งกายทั้งใจเหมือนทางอีสานหรือเหนือหรอกคะ...
สบายดี และหวังว่าพี่คงสบายดีเช่นกันนะคะ
สวัสดีคะ พี่ออต
ไปแน่แน่คะ จะไปล้มทับพี่ออต
แต่ถ้าหนูนั่งรถไฟไปพี่อาจต้องรอนานหน่อยนะคะ อิอิ
ขอบคุณมากคะสำหรับกำลังใจ
สวัสดีคะ อาจารย์ naree
ถ้าอาจารย์มีโอกาสและเวลาเหลือเฟือ ลองนั่งเล่นๆ นะคะ เปลี่ยนบรรยากาศ...ถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่างเหมือนเดิม เพิ่มเติมเสียงขายของกินตลอดทางด้วยคะ
คนบนรถไฟมีหลายหลาย บวกกับเวลาที่มีมาก ทำให้ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างเลยคะ...หวังว่าจะติดตามในบันทึกภาคต่อนะคะ
ขอบคุณมากคะ
สวัสดีคะ นายช่างใหญ่
หนูเป็นประเภท อายุเป็นเพียงตัวเลข แต่ใจยังวัยสะรุ่นอยู่คะ...
ความทรงจำของหนูเลือนลางเรื่องสถานีรถไฟมากเลยคะ...แต่เคยเดินบนหมอนรถไฟตอนเด็กๆ รู้สึกว่ามันกว้างเกินกว่าขาเด็กน้อยจะกระโดดได้พอดี น่าจะไปลองเดินดูอีกสักทีว่าคราวนี้พอดีหรือยัง
ดีใจที่ทำให้นายช่างคิดถึงบ้านได้บ้าง เพราะได้คิดถึงบ้านจากบันทึกของนายช่างมาหลายทีแล้ว...ผลัดกันผลัดกัน
ขอบคุณที่มาเยี่ยมกันนะคะ
---^.^---
สวัสดีครับคุณพิมพ์ดีด
ผมก็เป็นอีกคนครับที่ชอบนั่งรถไฟถึงแม้จะรู้สึกว่าช้าแต่ก็คุ้มครับเวลารถไฟผ่านไปผมชอบมองหน้าต่างเวลามีเรื่องไม่สบายใจทำให้ผมได้คิดว่าเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าทุกอย่างจะต้องดีขึ้นเพียงแต่ว่าต้องใช้เวลาเท่านั้นเองครับ
สวัสดีคะ คุณสุดทางบูรพา
รถไฟชั้นสาม...ให้นั่งคนเดียวอาจต้องคิดหนัก แต่ถ้าไปกันเป็นพรรคๆ น่าสนุกดีคะ
เพื่อนคุณสุดทาง น่าจะจบคนละรุ่นกับพิมพ์คะ. ..แต่ไงก็ฝากสวัสดีด้วยนะคะ
สวัสดีคะ คุณชีโร่
การเดินทางด้วยรถไฟ ใช้เวลามาก
แต่ทำให้ได้เรียนรู้อะไรอีกหลายๆ อย่าง ซึ่งกำลังพยายามเรียบเรียงสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการเดินทางครั้งนี้ออกมาเป็นบันทึกคะ...หวังว่าคงติดตามกันต่อไปนะคะ
ขอบคุณมากคะที่แวะมา
---^.^---