มีเรื่องให้อัปเดทบล๊อกเยอะนะคะ ดีจัง ซันไชน์จะได้มาอ่านบ่อยๆ
อ่านหัวข้อปุ๊บ นึกถึงการพูดคุยกับตนเองเป็นอันดับต้นๆในทำนองที่ว่า วันนี้ทำอะไรไป ดีไม่ดีอย่างไร ควรแก้ไขอะไรบ้าง ฯลฯ
ว่าแต่ การพูดคุยกับศาสดานี่ พูดคุยยังงัยเหรอคะ? ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ อีกอย่าง ท่านจากเราไปแล้ว แล้วเราจะพูดคุยกับท่านได้อย่างไร
ไม่น่าจะเหมือนการพูดคุยกับอัลลอฮ์ (ซบ.)
..
เรื่องขำๆ...
ว่าแล้ว พอพูดถึงการพูดคุยกับตนเอง ทำให้นึกถึงฝรั่งบางคนที่มักจะคุยกับตนเองเวลาเค้าทำงาน ทำงานไปบ่นไปคนเดียว บ่นดังๆด้วย คนนั่งข้างๆ ก็มักจะคิดว่าเค้าคุยกะเรา พอเราโต้ตอบกลับไป เค้าก็จะหันมาพูดว่า
"Nothing, I am just talking to myself"
"ไม่มีอะไรหรอก, ผมแค่พูดกับตัวเอง"
มั้ยหล่ะ...หน้าแตกเลยเรา (^_^)
ประเด็นคุยกับตัวเอง มีเรื่องที่ควรนำมาพิจารณาหลากหลายประเด็นครับ ในมุมมองผมถ้าพิจารณาจากคำสอนในหลายๆ บริบท ผมว่า มุสลิมจำเป็นต้องคุยกับตัวเองในประเด็นต่อไปนี้ครับ
والله اعلم
พระผู้อภิบาลของเรา ได้ทรงโปรดให้ในหมู่พวกเขามีรอซูล(ศาสดา)ขึ้นมาคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้ที่จะมาสาธยายอายะฮ์ทั้งหลายของพระองค์แก่พวกเขา และสอนคัมภีร์และวิทยปัญญาให้แก่พวกเขา และขัดเกลาชีวิตของพวกเขาให้สะอาด แน่แท้ พระองค์คือผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงปรีชาญาณ" [2.129]
"แน่นอนผู้ที่ขัดเกลาตนเอง ย่อมบรรลุความสำเร็จ และเขารำลึกถึงพระนามแห่งพระเจ้าของเขา แล้วเขาทำละหมาด" [87.14-15]
"แท้จริงบรรดาผู้ที่ศรัทธานั้น คือ ผู้ที่เมื่ออัลลอฮ์ถูกกล่าวขึ้นแล้ว หัวใจของพวกเขาก็หวั่นเกรง และเมื่อบรรดาโองการของพระองค์ถูกอ่านแก่พวกเขา โองการเหล่านั้นก็เพิ่มพูนความศรัทธาแก่พวกเขา และแด่พระเจ้าของพวกเขานั้นพวกเขามอบหมายกัน" [8.2]
"อัลลอฮ์ได้ทรงประทานคำกล่าวที่ดียิ่งลงมาเป็นคัมภีร์คล้องจองกันกล่าวซ้ำกัน ผิวหนังของบรรดาผู้ที่เกรงกลัวพระเจ้าของพวกเขาจะลุกชันขึ้น แล้วผิวหนังของพวกเขาและหัวใจของพวกเขาจะสงบลงเพื่อรำลึกถึงอัลลอฮ์ นั่นคือการชี้นำทางของอัลลอฮ์ พระองค์จะทรงชี้นำทางแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์และผู้ใดที่อัลลอฮ์ทรงให้เขาหลงทาง ดังนั้นสำหรับเขาจะไม่มีผู้ชี้นำทาง" [39.23]
แท้จริงพระเจ้าของเจ้านั้นทรงเฝ้าดูอย่างแน่นอน" [89.14] และทรงย้ำอีกว่า " ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าละอองธุลี เขาก็จะเห็นมัน ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าละอองธุลี เขาก็จะเห็นมัน [99.7-8] และทรงกำชับอีกว่า "เขาไม่รู้ดอกหรือว่า แท้จริงอัลลอฮ์ นั้นทรงเห็น มิใช่เช่นนั้น ถ้าเขายังไม่หยุดยั้ง เราจะจิกเขาที่ขม่อมอย่างแน่นอน ขม่อมที่โกหกที่ประพฤติชั่ว" [96.14-16] และ" ดังนั้นข้าขอเตือนพวกเจ้าถึงไฟที่ลุกโชน ไม่มีผู้ใดจะเข้าไปในเผาไหม้ในมัน นอกจากคนเลวทรามที่สุด คือผู้ที่ปฏิเสธและผินหลังให้ และส่วนผู้ที่ยำเกรงยิ่งนั้นจะถูกปลีกตัวให้ห่างไกลจากมัน ซึ่งเขาบริจาคทรัพย์สินของเขาเพื่อขัดเกลาตนเอง [92.14-18]
"แท้จริงบรรดาผู้ยำเกรงต่อพระเจ้าของพวกเขาโดยทางลับ สำหรับพวกเขาจะได้รับการอภัยโทษและรางวัลอันใหญ่หลวง และพวกเจ้าจงปิดบังคำพูดของพวกเจ้าหรือเปิดเผยมันก็ตาม แท้จริงพระองค์ทรงรอบรู้สิ่งที่อยู่ในทรวงอก พระผู้ทรงสร้างจะมิทรงรอบรู้ดอกหรือ? พระองค์คือผู้ทรงรอบรู้อย่างถี่ถ้วนผู้ทรงตระหนักยิ่ง" [67.12-14]
การที่เราได้ พูดคุยกับ อัลลอฮฺ และรอซูล (ศาสดา) ของพระองค์ และกับผู้ที่พูดคุยกับทั้งสอง จะเป็นทางหนึ่งที่จะช่วยเราไม่ให้หลงระเริงในโลกชั่วคราวนี้ และระลึกอยู่เสมอต่อวันหนึ่งที่เราจะต้องกลับไปหาพระผู้เป็นเจ้า และจะเตรียมเสบียงแห่งการปฏิบัติที่ดีสำหรับวันนั้น
แค่นี้ก่อนนะครับ ขอบคุณท่าน ผอ.small man สำหรับการร่วมเสวนาธรรมครับ ขออัลลอฮฺทรงชี้นำทางที่เที่ยงตรง อามีน
สวัสดีครับ ท่าน ผอ.small man
โดยปกติหมายถึง ความปรารถนาที่แรงกล้าที่จะทำในสิ่งที่ไม่ดี บางครั้งหมายถึง ความเจริญอาหาร เมื่อเกี่ยวกับอาหาร และนัฟซูชะฮฺวัต (nafsu syahwat) หมายถึง ความคลั่งไคล้ หรืออยากในกาม ราคะ
คำว่า ฮาวอ / นัฟซูและ/ ชะฮฺวัต ทั้งสามคำนี้ยืมคำในภาษาอาหรับมาใช้
ฮาวอ Hawa (الهوى) แปลว่า รักมาก/ความต้องการ
นัฟซู Nafsu (النفس) แปลว่า วิญญาณ (รูห)/ ชีวิต หัวใจ/ ร่างกาย/ ตนเอง /คนๆหนึ่ง/ ความอยาก/ เจตนา /ความพยายาม ชะฮฺวัต Syahwat (الشهوة) ความอยากในรสชาติ ความใคร่ดังนั้นคำว่า "ฮาวอนัฟซู" จึงน่าจะไม่ใช่ "ความคิด" ครับ วัลลอฮฺฮูอะอฺลัม
สวัสดีครับ ท่านอาจารย์อาลัมที่เคารพ ตามที่ท่านอาจารย์บอกว่า ฮาวอนัฟซู ไม่ใช่ความคิด แต่หมายถึง ความปรารถนาในการกระทำสิ่งที่ไม่ดี หรือความอยากในกามราคะ ผมว่าน่าจะเปรียบกับ "ตัณหา" ในพระพุทธศาสนาได้ใหมครับ ตัณหา (Craving ; selfish desire) หมายถึง ความทะยานอยาก ความปราถนาจะบำรุงบำเรอปรนเปรอตน ความอยากได้อยากเอา ในทางพระพุทธศาสนา มีความต้องการอยู่ 2 ประเภทครับ ความต้องการที่ไม่ดี เรียก ตัณหา ขณะเดียวกัน ความต้องการที่ดี เราเรียก ฉันทะ(will ; zeal ; aspiration) สิ่งที่ชาวพุทธต้องการ คือ พัฒนาความต้องการประเภทตัณหา ให้เป็นความต้องการประเภทฉันทะครับ....ขอบคุณครับ
“และฉันไม่อาจชำระจิตใจของฉันให้สะอาดบริสุทธิ์ได้ แท้จริงจิตใจนั้นถูกครอบงำไว้ด้วยความชั่ว นอกจากที่พระเจ้าของฉันทรงเมตตา แท้จริงพระเจ้าของฉันเป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ” [12.53]
นัฟซู เลาวามะฮฺ คือ เป็นนัฟซูที่รู้จักดีชั่วเมื่อผู้ครอบครองนัฟซูนี้พลั้งเผลอทำบาปหรือสิ่งที่ไม่ดีไม่งามก็สำ นึกตนเองได้พร้อมกล่าวประณามการกระทำของตนเองด้วยความรู้สึกสำนึกแต่ผู้ที่ครอบครองนัฟซูนี้ยังขาดความมั่งคงในการเชื่อฟังอัลลอฮฺ และมักพบว่า ผู้ครอบครองนัฟซูชนิดนี้มักเผลอทำบาปอยู่บ่อยๆ อัลลอฮฺตรัสถึงนัฟซูนี้ว่า ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮ์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงปรานี
[75.1] ข้าสาบานต่อวันกิยามะฮ์
[75.2] และข้าขอสาบานต่อชีวิตที่ประณามตนเอง
[75.3]มนุษย์คิดหรือว่าเราจะไม่รวบรวมกระดูกของเขากระนั้นหรือ ?
[75.4] แน่นอนทีเดียวเราสามารถที่จะทำให้ปลายนิ้วมือของเขาอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์
[75.5] แต่ว่ามนุษย์นั้นประสงค์ที่จะทำความชั่ว
[89.27] โอ้ชีวิตที่สงบแล้วเอ๋ย
[89.28] จงกลับมายังพระเจ้าของเจ้าด้วยความยินดีและเป็นที่ปิติเถิด [89.29] แล้วจงเข้ามาอยู่ในหมู่ปวงบ่าวของข้าเถิด[89.30] และจงเข้ามาอยู่ในสวนสวรรค์ของข้าเถิด