โฮจิมินห์ซิตี้:2007


เรื่องราวของความเจริญ ผู้คน และความเป็นอยู่

มีโอกาสไปเยือนโฮจิมินห์ซิตี้ก่อนที่จะย่างเข้าสู่ไป 2008 ในอีกไม่กี่เดือน โฮจิมินห์ หรือเมืองไซ่ง่อน เป็นเมืองสำคัญของเวียดนามทางตอนใต้ เมืองเวียดนามนี้เป็นเมืองที่มีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่รวดเร็วมาก เป็นประเทศที่มากด้วยทรัพยากรธรรมชาติ ดังจะเห็นจากประวัติศาสตร์ย้อนหลังไปเกือบ 1100 ปี ที่เชิญชวนให้หลายๆ ประเทศเข้ามามีอิทธิพลและถืออำนาจเหนือประเทศเวียดนาม ไม่ว่าจะเป็นจีน ฝรั่งเศส หรืออเมริกา

เวียดนามเป็นสังคมสาธารณรัฐ รวมประเทศได้เมื่อประมาณ 32 ปีที่ผ่านมา บาดแผลและความเจ็บซ้ำไม่ว่าจะเกิดจากชาติฝรั่งเศส หรือประเทศมหาอำนาจที่บ้าคลั่งอย่างอเมริกา คนเวียดนามได้ถือเป็นบทเรียนที่สร้างความแข็งแกร่ง จะเห็นได้ว่าคนเวียดนามจะอดทน ต่อสู้ เข้มแข็ง เฉลียวฉลาดและรักพวกพ้อง และนี่คือปัจจัยที่ทำให้ทั่วโลกหันมามองเวียดนามในบฐานะประเทศที่มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ไกด์ท้องถิ่นได้เชิญชวนให้กลับมาที่เวียดนามอีกและใน 5 ปีข้างหน้าเวียดนามยังมีการเปลี่ยนแปลงไม่หยุดนิ่ง พวกเขาพร้อมที่จะจับมือร่วมทำธุรกิจกับต่างชาติ แม้ว่าชาตินั้นจะเป็นอเมริกัน หรือฝรั่งเศส และแน่นอน 5 ปีที่ว่านี้หากท่านใดได้ไปโฮจิมินห์ ท่านจะได้ใช้บริการรถไฟฟ้าใต้ดินแน่นอน ด้านการร่วมลงทุน ตอนนี้ชาติไทยไปลงทุนที่เวียดนามเป็นลำดับที่ 13 สำหรับศักยภาพของชาวเวียดนามนั้นเป็นที่น่าเกรงขามเช่นกัน เห็นไกด์บอกว่า ตอนนี้เวียดนามส่งออกข้าวเป็นอันดับ 2 ของโลก เป็นรองแต่ประเทศไทยเท่านั้น เช่นเดียวกันกับการส่งออกกาแฟ อาราบิก้าจากที่ราบตอนกลางของประเทศ ซึ่งตอนนี้เป็นรองเฉพาะบราซิลเท่านั้น กาแฟยี่ห้อที่คนวียดนามนิยมบริโภคคือ ยี่ห้อ จุงเวียน สำหรับการส่งออกพริกไทนั้นตอนนี้เวียดนามขอเป็นแชมป์ในการส่งออกเป็นอันดับ 1 ของโลก

เวียดนามมีด้วยกัน 64 จังหวัด มีเมืองหลวงคือ ฮานอย ค่อนไปทางเหนือ สำหรับเมืองโฮจิมินห์ (Ho Chi minh) เป็นเมืองสำคัญทางใต้ คนพื้นถิ่นออกเสียงว่า โห่-จี-มิน เดิมคือเมืองไซ่ง่อน และได้เปลี่ยนชื่อตามผู้นำที่ทรงอิทธิพลและเป็นที่เคารพยกย่องของชาวเวียดนามคือ ลุงโฮจิมินห์ หลังจากที่ได้ประกาศเอาชนะฝรั่งเศสได้และประกาศเอกราชว่าคนเวียดนามจะปกครองประเทศด้วยตนเอง

 

เมืองโฮจิมินห์ในปี 2007เจริญมาก ที่แม่น้ำไซ่ง่อนนั้นมีเรือสินค้าจอดเทียบท่าเพื่อขนถ่ายสินค้าไปที่ท่าเรือพาณิชย์ ซึ่งไม่ไกลเกินกว่า 200 กม. เช่น ท่าเรือที่เมืองวุงเตา ในความเจริญของโฮจิมินห์ ณ วันนี้ยังมีความเจริญของอดีตปะปนไปทุกที่ เดิมหลายพันปีก่อนที่จีนจะเข้ามามีอิทธิพลนั้น โฮจิมินท์หรือไซ่ง่อนเป็นเมืองที่มีรากอารยธรรมของขอม และเมื่อประมาณ 1100 ปี ได้รับอิทธิพลจากจีน หลังจากนั้นได้รับอิทธิพลจากฝรั่งเศส ส่วนอเมริกานั้นสิ่งที่ให้กับชาวเวียดนามถือเป็นความสูญเสียทำลายล้างมากกว่าสิ่งที่จะบ่งบอกถึงความเจริญ ดังนั้นจึงจะเห้นศาลเจ้าจีน โบสถ์คริสต์ หรือวัดเขมร ตั้งอยู่ในชุมชน อาคารก่อสร้างมีทั้งสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก แบบจีน และแบบเวยดนาม เกิดมุมมองที่หลากหลายทางสายตา ณ โฮจิมินห์วันนี้เต็มไปด้วยโรงแรม 3-5 ดาว ธุรกิจระหว่างประเทศ ผู้ให้บริการที่ต้องติดต่อพูดภาษาอังกฤษได้ดี ในย่านท่องเที่ยวเช่น ตลาดเบ่นถั่น แม่ค้าพ่อค้าพูดได้หลายภาษาแม้กระทั่งภาษาไทย

โฮจิมินท์แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 24 เขต เป็นเขตที่มีประชากรหนาแน่น 19 เขต และออกไปชานเมืองอีก 5 เขต แต่ละเขตจะมีโรงเรียนประถมศึกษาและมัธยมศึกษาประจำเขต สาวๆ ในชุดอ๋าวหย่ายไม่ค่อยมีให้เห็นนัก ยกเว้นพวกที่ทำงานตามสำนักงานหรือโรงแรม การแต่งกายเป็นสากลมากขึ้น แต่สาวๆ ก็ปกปิดร่างกายมิดชิด ทั้งนี้ไม่ได้เป็นวัฒนธรรมอะไรหรอก แต่กลัวผิวเสียมากกว่า จะพบว่ามีการโพกหน้า สวมหมวก สวมปลอดแขน และถุงเท้า เหตุนี้แหละสาวเวียดจึงมีผิวสวย สำหรับการแต่งชุดประจำชาตินี้จะมีให้เห็นมากในงานประเพณี เช่น ตรุษจีน โดยคนเวียดนามยังให้ความสำคัญอยู่

ในความเติบโตและฟันเฟืองของธุรกิจ โฮจิมินห์ซิตี้จะวุ่นวายมากในช่วง 8 โมงเช้า และ 5 โมงเย็น ภาพกองทัพรถมอเตอร์ไซค์จะมีให้เต็มท้องถนนในช่วงนี้ แต่ในช่วงค่ำหนุ่มสาวชาวเวียดนามจะจับคู่ไปนั่งพลอดรักที่สวนสาธารณะกลางเมือง จับกลุ่มนั่งจิบชากาแฟริมฟุตบาท เหมือนวัยรุ่นชาวไทยที่ชอบไปนั่งที่ร้านนม และจะมีสิงห์มอเตอร์ไซค์ที่ขับรถกินลมไปเรื่อยๆ จนคนเวียดนามเรียกเมืองนี้ว่าเมืองไม่เคยหลับ อาชญากรรมมีบ้าง คนพื้นเมืองเตือนเสมอไม่ให้ไปในที่เปลี่ยว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการจี้ปล้น และข่มขืน ในย่านช้อปปิ้งพวกล้วงกระเป๋าก็ถือเป็นของคู่กัน พ่อค้าแม่ค้าก็รู้ดีจึงได้ช่วยเตือนนักท่องเที่ยวให้ดูแลของมีค่าของตนให้ดี ซึ่งนับเป็นความประทับใจอีกอย่างหนึ่ง

ขณะที่ไปเยือนโฮจิมินท์จะเห็นป้ายรณรงค์ในการสวมหมวกกันน๊อค ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2007 นี้ หากไม่สวมจะถูกปรับในอัตราเท่ากับราคาหมวก 1 ใบ สงสัยธุรกิจหมวกกันน๊อคจะเฟื่องฟูเป็นแน่ เพราะเมืองนี้มีผู้ใช้รถจักรยานยนต์มากกว่า 1 ล้านคน

เรื่องราวของเมืองโฮจิมินห์ยังมีอีกมากมาย เชิญชมภาพโฮจิมินห์ปลายปี 2007 ได้ที่ http://picasaweb.google.co.th/tsirip1302

หมายเลขบันทึก: 151294เขียนเมื่อ 4 ธันวาคม 2007 12:42 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 18:36 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท