ผู้เขียนหายจากการเขียนบันทึกนี้ไปนาน แต่ไม่ได้นิ่งเฉยที่จะมาเขียนบันทึก ในใจอยากจะเขียนบันทึกเป็นประจำเสมอๆ เพราะบันทึกนี้อยู่ในชีวิตและการทำงานของผู้เขียน แต่ผู้เขียนก็ติดอยู่ในใจ....ที่....ถ้าเขียนแล้วคุณๆ สามารถใช้ประโยชน์จากสิ่งที่ผู้เขียนเขียนเล่ามาได้มากน้อยแค่ไหน นั่นต่างหากเป็นประเด็นที่น่าสนใจมากกว่าในความคิดของผู้เขียน
มาในวันนี้ผู้เขียนได้ทำอะไรๆ ที่ใจอยากทำมาสักพักหนึ่งแล้ว (โดยมีท่านอาจารย์ขจิตเป็นผู้ช่วยในการแนะนำ, ให้คำปรึกษา, และให้กำลังใจตลอดมา ...... คงต้องขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วย)
ในปีการศึกษานี้ผู้เขียนได้รับผิดชอบในการสอนห้องเด็กที่เรียนอ่อนมากๆ ในวิชาภาษาอังกฤษ ถึง 3 ห้องเรียน และมีต่างระดับชั้นอีกต่างหาก ( คงหนักเอาการ และนั่นมันก็ทำให้ผู้เขียนต้องจัดการปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับเด็กกลุ่มนี้มากมายหลายปัญหา จนอาจจะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้เขียนห่างหายจากบันทึกนี้ไป)
ในภาคเรียนที่ 1 ผู้เขียนสำรวจพบผู้เรียนแล้วว่าปัญหาเยอะ แต่ผู้เขียนก็ติดอยู่ตรงที่การสอนจะต้องติดยึดหลักสูตรสถานศึกษาด้วยเช่นกัน จะลงมาแก้ปัญหาอย่างเดียวคงจะเป็นการยาก (หากจะลงย้อนกลับไปสอนในระดับประถมศึกษาให้เด็กๆ ) และก็คงทำไม่ได้ เวลาและหลักสูตรเป็นตัวค้ำคอให้ผู้เขียนต้องดำเนินการสิ่งต่างๆ ไปพร้อมๆ กัน จนกระทั่งเมื่อการสอบปลายภาค 1 เสร็จสิ้นลง เด็กๆ ที่น่าสงสารเหล่านี้ยังไม่สามารถเรียนรู้เรื่องใหม่ๆ ที่ผู้เขียนนำเสนอให้เค้าตามระดับชั้นของเขาตามที่ควรจะเป็นได้ ผู้เรียนจึงนำเรื่องนี้เรียนปรึกษาท่านผู้อำนวยการโรงเรียน ( ผู้อำนวยการนิยม ชูชื่น ) ซึ่งเมื่อมีการปรึกษาพูดคุยกัน ท่านก็เปิดไฟเขียวให้ผู้เขียนแก้ปัญหาเด็กก่อนเลย เพราะในเมื่อไม่สามารถต่อยอดได้ ก็ลงไปซ่อมฐานก่อน ผู้เขียนเลยมีความมุ่งมั่นที่จะลงลุยงานใหม่อีกรอบ แม้ว่าคราวนี้จะต้องสอนเฉกเช่นเดียวกับครูที่สอนในระดับประถมศึกษาก็ตาม ผู้เขียนเริ่มต้นทำงานรอบใหม่อย่างสบายใจมากขึ้น พร้อมที่จะแก้ปัญหาให้เด็กๆ เหล่านั้นมากขึ้น
ปัญหาแรกสุดที่ผู้เขียนสนใจ คือ เด็กในชั้นที่ผู้เขียนสอนเค้าเขียนชื่อตนเองไม่ถูกต้อง ( ท่านอ.ขจิต บอกเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า เดี๋ยวนี้ในระดับอุดมศึกษาก็เจอ เลย...อ้าวเหรอ แทบไม่เชื่อจนเมื่อมีการยืนยัน มีจริงแฮะ....) แทบจะเกือบๆ 70% ของเด็กในห้อง เลยมานั่งคิดหาวิธีการทำอย่างไรให้เค้าเข้าใจ และจำได้ทนติดอยู่กับตัวเค้า ในที่สุดผู้เขียนก็จัดทำและจัดหาตารางเทียบเสียงจากพยัญชนะไทยเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษ ตารางเทียบเสียงสระไทยเป็นสระภาษาอังกฤษ และตารางเทียงเสียงตัวสะกดไทยเป็นตัวสะกดภาษาอังกฤษ แล้วก็เริ่มสอนเค้าโดยให้เวลากับเค้ามากหน่อยนึง เพราะเค้าเหล่านี้จะรับรู้ในสิ่งที่เรียนอาจจะช้ากว่าเด็กในระดับเดียวกัน (เลยบอกให้กำลังใจเค้าว่า "ช้าๆ แต่ชัวร์ก็ได้ลูก" ก็ดูเค้าจะชอบใจ เนื่องจากมีใจพร้อมที่จะรับใหม่แล้ว)
แล้วก็มาเริ่มกันที่คำไทยที่ต้องการจะเขียน โดยบอกให้เขียนแจกลูกเป็นคำอ่านก่อนแล้วค่อยแทนด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษต่อไป เช่น คำว่า กาญจนา ก็จะเป็น กาน-จะ-นา แล้วก็มาเริ่มทีละพยางค์ โดยเริ่มที่ กาน ก่อน เด็กๆก็จะแยกคำว่า กาน เป็น 3 ตำแหน่ง คือ
ตำแหน่งที่ 1 = พยัญชนะต้น = ก
ตำแหน่ง 2 = สระ = อา
ตำแหน่งที่ 3 = ตัวสะกด = น ( แม่ กน)
แล้วเค้าก็จะหาตารางเทียบเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งตัว ก = K สระอา = a และ น สะกด (แม่กน) = n
แล้วเค้าจึงจะทำเสียงคำพยางค์ต่อๆ ไป จนได้ชื่อภาษาอังกฤษว่า Kanchana ในที่สุด ที่สำคัญคือต้องย้ำให้เค้าเทียบเคียงจากคำอ่านของเสียงเป็นสำคัญ
สิ่งที่ผู้เขียนพบในระหว่างการสอนบทเรียนนี้คือ เด็กบางคนยังอ่านสระภาษาไทยไม่ออก เช่นมีอยู่บ้างที่เมื่อผู้เขียนถามว่า ---แ ะ---นี่คือสระอะไร ด้วยความซื่อจริงๆ ไม่ใช่แกล้งตอบกวนๆ เค้าบอกว่า สระ แอ กับ สระอะครับ หรือบางครั้งเช่นคำว่า สม เด็กบางคนตอบผู้เขียนไม่ได้ว่า มีสระอะไรอยู่ในนั้น ( เนื่องจากผู้เขียนพบว่า เค้าเขียนมาเป็นภาษาอังกฤษว่า Sm นั่นคือคำว่า สม ของเค้านั่นเอง ) ผู้เขียนเลยต้องมาบูรณาการกับวิชาภาษาไทยด้วยอีกวิชาหนึ่ง และผู้เขียนเลยต้องนำเรื่องนี้ไปบอกเล่าครูภาษาไทย โชคดีที่ครูท่านดังกล่าวก็มีจิตใจช่วยเหลือเด็กๆ เช่นกัน เธอชื่อคุณครูภานุมาศ นิคมรัตน์ เธอเลยต้องมานั่งสอนเรื่อง สระ ให้เด็กๆ ใหม่อีกครั้ง
เมื่อคนไหนที่ทำได้ เค้าก็จะเข้าใจ ซึ่งก็จะต้องอาศัยการใช้ทักษะการฝึกเยอะ เน้น ย้ำ ซ้ำ ทวน บ่อยๆ จนเค้าเข้าใจแล้วเค้าก็จะทำได้ จนมีเด็กผู้ชาย ม.3 คนนึงเค้ามาสารภาพกับผู้เขียนว่า "ครูครับก่อนหน้านี้ทำไมมันยากมาก ตอนนี้ง่ายนิดเดียวเองครับ" (ว้าว...ภูมิใจสุดๆ) และมีเด็กผู้ชายอีก 2 คน ที่ไม่เคยเข้าใกล้ครูภาษาอังกฤษเลย ( ท่าทางจะเป็นมาตั้งแต่ประภมศึกษาแล้วมั๊ง ) ทั้งๆ ที่ภาคเรียนต้น ผู้เขียนเองก็สังเกตเห็นว่าเค้าก็ไม่กล้าเข้ามาคุย หรือถามอะไรๆ ผู้เขียนเลย จนมาเมื่อผู้เขียนสอนเรื่องนี้ เค้าคงเข้าใจ เริ่มสนุก เขียนงานการบ้านเสร็จแล้วรีบมาหาผู้เขียนเพื่อให้ช่วยตรวจการบ้าน (รายชื่อ) ให้เค้าหน่อยในตอนคาบพักกลางวันของผู้เขียน กำลังจะเปิดห่อข้าวกลางวันซึ่งเป็นข้าวมันไก่ที่เพิ่งออกไปซื้อมาจากตลาด แค่จับช้อนยังไม่ทันได้ทาน แล้วเด็กเค้าก็โผล่เข้ามาหาด้วยความตั้งใจมาก คงอยากรู้ว่าคำตอบที่ตัวเองทำมาถูกรึปล่าว หรือจะถูกกี่ข้อ ผู้เขียนเห็นความมุ่งมั่นตรงนั้นเลยยอมวางช้อนข้าวแล้วหันมาตรวจให้ เด็กเค้าดีใจใหญ่ เดี๋ยวนี้เลยได้ใจ เข้ามาพบมาพูดคุยกับผู้เขียนมากขึ้น แต่ก็อย่างที่ผู้เขียนเกริ่นไปแล้ว "ช้าๆ แต่ชัวร์"
ในครั้งนึงมีครูผู้สอนโรงเรียนเดียวกัน แต่สอนสังคมศึกษา เค้าแอบเห็นเด็กๆ ห้องเหล่านี้ เค้าทดคำอ่านแล้วลองแปลงเป็นตัวภาษาอังกฤษกันบนกระดาน เค้ามาเล่าให้ฟังว่าพอพี่เห็นแล้วพี่ซึ่งเป็นคนที่คิดว่าภาษาอังกฤษยากมากเลยคิดว่าง่ายดีนะ แล้วเอาไปสอนลูกชายที่อยู่ชั้น ป.3 ปรากฎว่าลูกชายสนุกใหญ่ บอกให้แม่บอกคำไทยมา เดี๋ยวเขียนเป็นอังกฤษเอง เลย สนุกกันทั้งคุณแม่และคุณลูก
ลองต่อยอดดูนะคะ
ได้ผลเป็นอย่างไร ก้อเข้ามาบอกกล่าวเล่าเรื่องให้ผู้เขียนฟังบ้างนะคะ
สวัสดีครับอาจารย์แอน
เด็ก ๆ ได้ประโยชน์จากอาจารย์นักบูรณาการ
นับเป็นกุศลอย่างยิ่งครับ...
ขอขอบคุณแทนประเทศไทยครับ
สวัสดีค่ะนายช่างใหญ่
สวัสดีค่ะ คุณครู
ได้มาอ่านใน blog นี้รู้สึกว่าคุณครูมีความพยายามมาก และสิ่งที่คุณครูได้ทำมานี้ เคยได้ศึกษาในการทำวิจัยในชั้นเรียนสมัยเรียนวิชาชีพครู และได้มาเจอของคุณครูอีก ดีมากเลยค่ะ
สวัสดีอีกครั้งค่ะ
สวัสดีครับ
รบกวนถามนิดนึงครับ ผมเดาเอาว่า ตารางที่คุณครูเอาไปสอนเทียบเสียง นี่ตาราง romanization ใช่ไหมครับ
ขอบพระคุณมากครับ
สวัสดีค่ะน้อง....
ขอบคุณค่ะ
สวัสดีทุกๆ ท่านค่ะ
.....ต้องขออภัยที่ไม่ได้มาเช็คซะนานเอาการ งานมันพาไปค่ะ เพิ่งได้ขอลางานกลับมาเป็นส่วนตัวก็คราวนี้นี่เอง.....ต้องขอบคุณทุกๆ ท่านที่แวะเวียนมาให้กำลังใจนะคะ
แวะมาทักทายครูแอนค่ะ
เห็นชื่อบันทึกแล้วสะท้อนใจ
ครูแอนเขียน...ทำไงดีผู้ใหญ่ที่อ่อนภาษาอังกฤษบ้างสิคะ
ปล.ขอเก็บบล็อกเข้าแพล็นเน็ตด้วยนะคะ
ขอบคุณค่ะ
หวัดดีค่ะพี่แจ๋ว
ดีจังค่ะครูแอน เด็กๆ สนุกกับการเรียนด้วย
ไม่เป็นไร พี่แจ๋วสมัครเรียนไปพร้อมๆ กับเด็กๆ ก็ได้ค่ะ
ปล.เรียกอะไรก็ได้ค่ะ ใครๆ ก็เรียกพี่ เป็นพี่ก็ได้ค่ะ :)
หา..อะไรนะคะ....ท่าน ผ.อ. จะเข้ามานิเทศน์การสอนของ
ครูแอนใช่มั๊ยคะเนี่ย....ขอบคุณค่ะ ๆ ขอคำแนะนำเพิ่มเติมด้วยนะคะท่าน ผ.อ
ขอบคุณค่ะ
....หนูจะเจอท่าน ผ.อ. ที่ตลาดนัดมั๊ยคะเนี่ย
ครูแอนก็ใช้หลักเทียบเดียวกับราชบัณฑิตยสถานนั่นหล่ะค่ะ ขอบคุณค่ะ