(อยากจะ) ...............เป็นเกษตรกร


ทำไมการเป็นเกษตรกรมันถึงยาก และเหนื่อยขนาดนี้หนอ

(อยากจะ)….......เป็นเกษตรกร

ฉันเป็นลูกชาวนา ฉันเป็นลูกแม่ค้า ฉันเป็นเด็กชาวบ้าน ที่มีโอกาสได้รับการศึกษา เข้าสู่ระบบเมือง ระบบทุน และบริโภคนิยมตั้งแต่เริ่มมีความคิดเป็นของตัวเอง การต้านกันของ 2 กระแสเกิดขึ้นภายในตัวเอง ด้วยรากของวิถีเกษตรกรรม กับวิถีชีวิตที่เริ่มเปลี่ยน เป็นสิ่งที่ต้านได้ยากยิ่ง แต่อีกมุมมองหนึ่ง แรงต้านที่เกิดขึ้น นั่นคือ ทุน ที่สำคัญในการใช้ชีวิต ของตัวฉันเอง ฉันเป็นลูกชาวนา ฉันเป็นอดีตลูกแม่ค้า ( เพราะแม่ได้เลิกอาชีพแม่ค้าตั้งแต่เริ่มไม่สบายหนัก และเสียชีวิตในที่สุด ) และฉันเป็นนักพัฒนา นั่นคือ สิงที่ฉันเป็น ถือเป็นของขวัญจากสองกระแสทางความคิดในตัวเอง ที่กลั่นให้ได้ทำในสิ่งที่เป็นทั้งวิถีดั้งเดิม และการเปลี่ยนแปลงของโลกที่กำลังเกิดขึ้น และ ฉัน (อยากจะ ) .................เป็นเกษตรกร

ตลอด 6 ปี ทำงานสัมผัสกับกลุ่มพี่น้องเกษตรกรในภาคอีสาน ทั้งเกษตรกรในระบบทุน ที่กำลังล่มสลายไปกับนโยบายรัฐหลายด้านที่บีบบังคับ ทั้งพี่น้องที่ค้นพบความสมดุลของชีวิต ภายใต้วิถีเกษตรกรรม ที่เรียกว่า “เกษตรกรรมยั่งยืน” ด้วยสัมผัส เรียนรู้ ลงลึก และผลักดันการทำงานด้านระบบเกษตรมาหลายปี ทำให้กลายเป็นบุคคลที่มีความรู้เรื่องระบบเกษตรกรรมยั่งยืนหลายๆด้าน โดยเฉพาะเรื่อง พันธุ์ข้าวพื้นบ้านอีสาน สามารถสร้างแปลงเกษตรที่สมบูรณ์แบบในหัว และร่างลงกระดาษได้เพียงไม่กี่อึดใจ สามารถเป็นนักส่งเสริมที่มองได้รอบ ทุกมุม รวมถึงหาวิธีการในการจัดการและแก้ปัญหาให้กับพี่น้องเกษตรกรได้เบ็ดเสร็จ ...........แต่ ก็ทำ และเป็นได้เพียงแค่ นักส่งเสริม ไม่ใช่......เกษตรกร

กรกฏาคม 2550 ฉันตัดสินใจลาออกจากงาน ที่ทำร่วมกับมูลนิธิชีวิตไท กลับบ้านเกิดที่ จ.นครศรีธรรมราช ด้วยความคาดหวังลึกๆว่า ฉันจะทำงานพัฒนา และเป็น เกษตรกรควบคู่กันไปด้วย กันยายน 2550 ฉันได้มีโอกาสร่วมงานกับ โครงการพัฒนาชุมชนเป็นสุขที่ภาคใต้:ดับบ้านดับเมือง เรียนรู้อยู่ดีที่ปากใต้ ในส่วนของงานจัดการความรู้และสื่อ ......และ ฉันก็จะได้มีโอกาสในการเป็นเกษตรกร ก็คราวนี้แหละ

.............หลายเดือนของการกลับมาอยู่บ้าน ความหลังเก่าสมัยเป็นเด็กเริ่มทยอยเข้ามาในสามัญสำนึก ภาพออกไปทุ่งกับพ่อ ภาพทุ่งนาเขียวขจีที่กว้างไกลสุดตา มีพุ่มไม้เป็นหย่อมๆ แลเห็นเป็นระยะๆ ตัดกับเทือกเขาหลวงทมึนสีเขียวคล้ำอมน้ำเงินที่เป็นฉากหลังอยู่ลิบๆ

..............และฉันจะเป็นเกษตรกร การขายไอเดีย เป็นสิ่งที่ถนัดที่สุด หลังจากพร่ำถาม พร่ำซอกแซกคุย ขุดคุ้ยประวัติศาสตร์การเป็นเกษตรกรกับพ่อมาหลายเดือน สิ่งที่เริ่มทำได้ง่ายที่สุดคือ....ทำคอกปุ๋ยหมัก ....โดยมีพ่อเป็นแรงงานสำคัญ ไอเดียของฉันบรรลุผล เมื่อพ่อยอมสร้างคอกปุ๋ยหมักกับเศษปีกไม้ที่หาได้ง่ายมากในสวนยางข้างบ้าน และทยอยขนเอาเศษใบไม้ ที่มีอยู่เยอะมากมาสุมรวมกันในคอก การทยอยขนเอาเศษขี้เลื่อยกองใหญ่ที่ได้จากการเลื่อยต้นมะพร้าวอายุกว่า 30 ปี หน้าบ้าน เพื่อสร้างคอกไก่ ( ก็ไอเดียของฉันอีกนั่นเหละ อิอิอิ ) รวมถึงการไปขอขี้ไก่ของเพื่อบ้าน เพื่อเป็นวัสดุหลักในคอกปุ๋ยหมัก ....ของฉันและพ่อ

เหตุการณ์ที่กล่าวมาเป็นเรื่องราวเมื่อ 2เดือนที่แล้ว หลังจากที่ทุกอย่างเรียบร้อย วัสดุทุกอย่างถูกกองรวมกันในคอกขนาด 1.5 x 1.5 เมตร อาทิตย์ที่แล้ว เริ่มคิดขึ้นได้ว่า ......ต้องกลับกองปุ๋ยนี่นา........ และแล้ว นักส่งเสริม ก็เริมลงมือเป็นเกษตรกร (สมัครเล่น) ฉันใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงในการกลับกองปุ๋ยหมัก ประมาณ 1 ตัน ด้วยตัวเอง เพราะไม่ได้ทำงานใช้แรงงานมานาน จึงทำไปหยุดพักเหนื่อยไปเป็นระยะๆ ไม่รีบร้อน ทำจนกว่าจะเสร็จ และเป็นที่พอใจของตัวเอง และผลที่ออกมาก็เป็นสิ่งที่ภาคภูมิใจเพราะฉันสามารถทำมันได้สำเร็จ ถึงแม้จะต้องใช้เวลามากมายก็ตาม แต่สิ่งที่ตามมาในคืนนั้นก็คือ ......อาการปวดกล้ามเนื้อแขนอย่างรุนแรง กล้ามเนื้อเต้นระริก ร้อนผ่าว อาการมือสั่นที่ไม่มีทีท่าจะหายได้ง่ายๆ ความวิตกกังวลเริ่มแผ่เข้ามา ด้วยไม่เคยมีอาการเช่นนี้มาก่อน แต่ก็สามารถสรุปเหตุ ปัจจัยให้ตัวเองได้ว่า เกิดจากอะไร

.......น้ำมันคลายเส้นของกลุ่มสมุนไพร จากหมู่บ้านคีรีวง ที่เคยซื้อมาฝากพ่อคราวก่อน เป็นอีกที่พึ่งหนึ่ง บวกกับ พาราเซตามอล อีก 2 เม็ด ช่วยให้อาการดีขึ้น และหลับลงได้ในเวลาประมาณ 02.00 น.

ทำไมการเป็นเกษตรกรมันถึงยาก และเหนื่อยขนาดนี้หนอ.............นี่เป็นเพียงแค่กิจกรรมเล็กๆที่ทำ แล้วหากคิดถึงการ "ทำนา" ซึ่งมันจะมหาหฤโหดกว่านี้อีกหลายเท่า .........แล้วชาวนาในภาคอีสานที่ใช้ระบบเกษตรกรรมยั่งยืน ใช้ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอกในการปรับปรุงบำรุงดิน และปลูกพืช เขาต้องใช้พลังและแรงกายแรงใจสักเท่าไหร่ กว่าจะประสบความสำเร็จได้ ทำให้ฉุกคิดถึงว่า ทำไม การขยายผลเรื่องระบบเกษตรที่เอื้อต่อสุขภาพถึงได้ขยายวงออกไปได้ยากนัก บางครั้งก็ไม่ยั่งยืน เมื่อหมดงบประมาณในการช่วยเหลือ เกษตรกรหลายรายก็เริ่มกลับเข้ามาสู่วังวนเดิม คือ เกษตรเคมี .....ฉันสรุปบทเรียนให้ตัวเองได้ว่า ....ตลอดระยะเวลาของการทำงานส่งเสริมเรื่องระบบเกษตรกรรมยั่งยืน ได้ทำสิ่งผิดพลาดอย่างหนึ่ง คือ การประเมินกำลังความสามารถด้าน แรงกาย ของพี่น้องเกษตรกร ......ด้วยเพราะฉัน "ไม่รู้ "เลยว่า มันต้องใช้พลัง มากมายถึงเพียงไหน และสิ่งที่พบอีกอย่างก็คือ ความฝัน ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง ด้วยสิ่งที่เราคิด และฝัน ไม่มีทางจะสมบูรณ์ได้ หากไม่ลงมือทำ ..........แต่อย่างไรก็ตามฉันยัง(อยากจะ) เป็นเกษตรกรอยู่เช่นเดิม ถึงแม้ว่า มันจะเหนื่อยยากอย่างไรก็ตามที แต่คงต้องปรับรูปแบบให้เหมาะสมกับความเป็นจริงของตัวเอง

หมายเลขบันทึก: 148683เขียนเมื่อ 23 พฤศจิกายน 2007 15:34 น. ()แก้ไขเมื่อ 25 พฤษภาคม 2012 12:57 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท