ครั้นก่อนชีวิตฉันเปรียบเหมือนปลาที่ว่ายอยู่ในน้ำแต่มิรู้น้ำ
รู้แต่โลก มิรู้ธรรม
มีแต่โลก มิมีธรรม
ใครมาบอกเรื่องโลก เรื่องพื้นดินอันกว้างใหญ่ “บ้า” พูดไปเรื่อย มีไหนมี ชีวิตฉันมีแต่น้ำไม่มีอะไร
ใครมาชวนเข้าวัด “ไม่ว่าง” จะทำงาน
ชวนทำบุญทำทาน “ไร้สาระ เสียเงิน เสียเวลา”
คราวบาดเจ็บ ใครมาชวนใช้ธรรมรักษา “บ้า” ไปให้ไกล ๆ
แต่มาวันนี้ชีวิตฉันเปลี่ยนไปเหมือนดั่ง “เต่า” ซึ่งเป็นสัตว์สองโลกทั้งอยู่ในน้ำแลบนบก
รู้โลก เริ่มรู้ธรรม
มีทั้งโลก เพียรประกอบให้มีธรรม
ชีวิตก่อนที่ขาดซึ่งธรรม ก็เปรียบเสมือนดั่ง “ต้นไม้ที่ไม่มีรากแก้ว” ซึ่งไม่แข็งแรงแลยั่งยืน
พอน้ำซัด ลมพา ก็กวัดแกว่ง หวั่นไหว มินานไซร้รากฝอยน้อย ๆ ที่ปกคลุมเพียงแค่หน้าดิน ก็พลันหลุด พลันถอน มิสามารถพยุงให้ต้นอยู่ได้จนล้มพังคลืนดั่งเช่นชีวิตในอดีต
ชีวิตก่อนที่ขาดซึ่งธรรม เปรียบอีกดั่ง “ตึกที่มิมีเสาเข็ม” เป็นเพียงตึกที่มีฐานรากตั้งอยู่บนพื้นดิน
ตึกที่ไม่มีเสาเข็ม มิอาจจะเป็นตึกที่สูงใหญ่ ถ้าดันทุรังต่อเติม เสริมแต่งให้สูงขึ้นมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเร่งวันให้พังคลืนลงมาเร็วเท่านั้น
ดังนั้นตึกนี้คงจะเป็นได้เพียงอาคารหลังเตี้ย ๆ เก็บดอก กินผลเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปวัน ๆ คงไม่มีโอกาสได้ขึ้นไปสูดอากาศอันสดชื่นบนยอดตึกสูง
อีกทั้งยังถูกตึกรอบข้างเบียดบังแสงอาทิตย์ ปกปิดวิวทิวทัศน์ที่งดงามตระการตา ไม่มีโอกาสรับรู้ชีวิตที่มีค่าภายใต้โลกแห่งสัทธรรม
ดวงตาเต่า ผุดขึ้นจากน้ำมามองโลกกว้างเห็นผืนดิน
หัวของเต่า เหลียวหลังกลับมองย้อนกลับไปเห็นความผิดพลาดแห่งชีวินในเบื้องหลัง
ชีวิตเต่า หมุนเวียนเปลี่ยนโลกทัศน์ให้หมุนเหนือโลกธรรมด้วยเพียรธรรม
สติของเต่า ชัดสองโลกพ้นโศรกภัย โลกของเต่าสดใส มองรอบด้าน รู้รอบตัว ทั่วทุกข์เอย...
ดวงตาเต่า ผุดขึ้นจากน้ำมามองโลกกว้างเห็นผืนดิน
หัวของเต่า เหลียวหลังกลับมองย้อนกลับไปเห็นความผิดพลาดแห่งชีวินในเบื้องหลัง
ชีวิตเต่า หมุนเวียนเปลี่ยนโลกทัศน์ให้หมุนเหนือโลกธรรมด้วยเพียรธรรม
สติของเต่า ชัดสองโลกพ้นโศรกภัย โลกของเต่าสดใส มองรอบด้าน รู้รอบตัว ทั่วทุกข์เอย...
อยากเป็นเหมือนเต่าที่มีสองโลกในจิตวิญญาณ....
ทั้งรู้...ก็ยากที่จะทวนกระแสกิเลส!!!!!
แต่จิตสำนึกดีเฝ้าคอยประครองไม่ให้หล่นหายจาก.....
ประทับใจในบทความของท่านและได้ทบทวนตัวเองอีกครั้ง