หมอบ้านนอกไปนอก(34): กำแพงใจ


ใจเป็นตัวกำหนดทัศนคติ ทัศนคติที่ไม่ดีที่เราก่อขึ้นไว้ในใจโดยเฉพาะความกลัว ความอาย ความเย่อหยิ่งถือดีและอคติเปรียบได้กับกำแพงใจเป็นตัวกักขังตัวเราเองกับกั้นเรากับผู้อื่น เป็นกำแพงที่คอยปิดกั้นใจเราไม่ให้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างที่ผ่านมาในชีวิต

 เริ่มต้นสัปดาห์ที่ 9 ของการเรียนMPH: HSMP 2007-2008 ที่แอนท์เวิป สภาพภูมิอากาศเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วช่วงเดือนแรกที่ผมมาอยู่ กว่าจะมืดหมดแสงอาทิตย์ก็สองทุ่มกว่าๆ แต่พอมาเดือนนี้ประมาณห้าโมงเย็นก็มืดแล้ว มืดเหมือนสองทุ่มบ้านเราเลย อากาศที่หนาวเย็นลงอย่างมาก ทำให้ผู้คนใส่เสื้อกันหนาวกันลมหนาๆ ใส่ถุงมือ ใส่หมวกไหมพรม ผมสังเกตว่า คนเบลเยียมไม่ค่อยมีที่ออกกำลังกายมากนัก มีสวนสาธารณะบ้าง ไม่ค่อยมีสนามกีฬากลางแจ้ง มีเด็กไปเล่นกันไม่มากนัก อากาศไม่ค่อยเอื้ออำนวย หนาว ฝนตก ถ้าอยากเล่นกีฬาต้องไปเล่นในสนามกีฬาในร่มเพราะมีการปรับอากาศทั้งสนามบาสเก็ตบอล ฟุตบอล วอลเลย์บอลและแบดมินตัน รวมทั้งสระว่ายน้ำ ที่ต้องเสียเงินค่าเข้าไปใช้บริการ ค่าศูนย์ฟิตเนส เดือนละ 30-50 ยูโร แต่ในชีวิตประจำวันเขาได้ออกกำลังกายกันมากจากการเดินและขี่จักรยาน แต่ไม่แน่ใจว่าอัตราการเต้นของหัวใจจากการเดินหรือปั่นจักรยานในชีวิตประจำวันจะมากพอสำหรับการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพหรือเปล่า แต่เรื่องใช้พลังงาน ใช้มากแน่ๆ

วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน คาบแรกเรียนระบาดวิทยากับอาจารย์วีเริล (Veerle Vanlerberghe) มีการนำเสนองานกลุ่ม คาบที่สองเรียนเรื่องการค้นข้อมูลจากฐานข้อมูลออนไลน์ของห้องสมุดกับอาจารย์วีเริล ดีเมด (Veerle Demedts) ภาคบ่ายเริ่มเรียนส่วนที่สามของหลักสูตรคือการวิเคราะห์ วิจัย การตัดสินใจและการวางแผนโครงการ เรียนกับอาจารย์กี คีเกล (Guy Kegels) อาจารย์ให้ออกเสียง กี ไม่ใช่กาย คาบสุดท้ายเป็นการเสนอปัญหาให้อาจารย์ที่ปรึกษา (บรูโน) พิจารณา มีข้อแนะนำให้แก้ไขบ้างไม่มากนัก

วันอังคารที่ 6 พฤศจิกายน คาบแรกว่าง คาบที่สองเรียนกับอาจารย์กีต่อ คาบสามเป็นการพบอาจารย์วาลาเรีย เป็นชั่วโมงแนะแนวแล้วก็ว่าง ตอนหกโมงเย็นไปเรียนคอร์สภาษาอังกฤษกับอาจารย์มาริน่าที่สถาบันแอทธินา ขี่จักรยานไป ฝนตกปรอยๆ ต้องใส่ชุดกันหนาวอย่างเต็มที่ หนาวมาก อาจารย์มาริน่า สอนสนุก ไม่เบื่อ มีทั้งการอ่าน การพูด ไวยากรณ์และมีเรื่องตลกของฝรั่งมาให้อ่านกันด้วย สามทุ่มครึ่งจึงได้กลับบ้าน

วันพุธที่ 7 พฤศจิกายน ตื่นสาย เมื่อคืนหลับไม่ดี ทำให้มึนศีรษะ กินข้าวแล้วนอนพักหนึ่งชั่วโมง โชคดีที่คาบแรกว่าง ก่อนไปเรียน บุรุษไปรษณีย์เอาพัสดุจากเมืองไทยมาให้พร้อมกับให้จ่ายเงินเพิ่มอีก 24 ยูโร ผมถามเขาว่าเป็นค่าอะไร ใบเอกสารเป็นภาษาดัชท์ เขาบอกว่าค่าตรวจสอบของในกล่อง ผมก็ให้เงินเขาไป คาบสองเรียนกับอาจารย์กีต่อแล้วก็ทำงานกลุ่ม วันนี้เลิกเรียนเร็ว ผมก็มานั่งคิดว่า แฟนผมก็เสียเงินค่าส่งตั้ง 1800 บาทแล้ว ทำไมเราต้องจ่ายเพิ่มด้วย ก็ตัดสินใจว่าจะเอาเอกสารไปให้เจ้าหน้าที่สถาบันดูให้ ว่าเป็นค่าอะไรกันแน่ การส่งไปรษณีย์ถ้าธรรมดา 22 วัน ถ้าด่วน 7 วันพร้อมการรับประกันของให้ด้วย

วันพฤหัสที่ 8 พฤศจิกายน ควบเช้าว่างอีก ที่ว่างเยอะเพราะอาจารย์ให้เวลาทำงานที่มอบหมายให้นำเสนอปัญหาให้อาจารย์ที่ปรึกษาพิจารณาและเตรียมนำเสนอในชั้นร่วมกับอาจารย์ท่านอื่นๆกลางเดือนนี้ แต่กลุ่มผม อาจารย์ที่ปรึกษานัดถี่มากทำให้ทำงานเสร็จเร็ว คาบที่สองเรียนเรื่องการวิจัยกับอาจารย์กีและคาบบ่ายเรียนการใช้โปรแกรมเอกซ์เซลกับอาจารย์โดมินิค ผมถูกจัดอยู่ในกลุ่มผู้เริ่มต้น โดยดูจากการทดสอบทักษะคอมพิวเตอร์เมื่อเดือนแรก ผมทำไม่ได้และไม่ยอมถามใคร ผมเรียนทั้งสองคาบเลยเพราะถือว่าเป็นโอกาสในการทบทวนการใช้โปรแกรมไปด้วย คาบสุดท้ายเป็นกลุ่มระดับกลาง ผมนั่งเรียนต่อด้วย กลับถึงบ้านพักค่ำ ฝนตกปรอยๆ หนาวมาก

วันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน ตื่นเช้ามาสดชื่นหน่อย หลังจากที่มึนๆหัวมาสองสามวัน ตอนเช้ามีฝนลูกเห็บตกมาพักใหญ่ เป็นลูกเห็บก้อนกลมๆเล็กๆ เต็มถนนไปหมด คาบแรกและคาบที่สองเรียนกับอาจารย์กีต่อ ตอนบ่ายว่างหนึ่งคาบรีบกลับบ้านพักมาต่อสไกป์กลับบ้าน แต่ไม่มีใครรับสาย ตอนเดินกลับบ้านมีฝนลูกเห็บตกอีก พอสักครึ่งชั่วโมงก็มีแดดออกสักสิบห้านาทีก็ฟ้ามืดครึ้มอีก ผมกลับไปเรียนคาบสุดท้ายให้ดูภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับระบบบริการสุขภาพของอเมริกาเทียบกับประเทศอื่นๆเพื่ออภิปรายกัน วันนี้ได้ทราบเหตุผลว่าที่เขาเก็บเงินค่าพัสดุเพิ่มเพราะเขาคิดว่าเป็นสินค้าต้องเสียภาษี เขาดูไม่ออกเพราะไม่ได้เขียนว่าเป็น personal goods ผมก็เลยเอาเอกสารไปสแกนแล้วส่งกลับไปว่าเขียนไว้แล้วว่าเป็นเสื้อผ้า ส่งอีเมล์ไปเพื่อขอเงินคืน แต่ไม่รู้จะได้คืนหรือเปล่า

วันเสาร์ที่ 10 พฤศจิกายน ฝนตกตอนเช้า อากาศหนาว ไม่อยากออกไปไหน นั่งอ่านหนังสือสรุปบทเรียน ฟังเทปภาษาอังกฤษอยู่ที่ห้อง สิบโมงเช้าฝนหยุดตกออกไปจ่ายตลาด ต้องแบ่งหน้าที่กันเพราะรอคิวนาน ผมไปซื้อหมู ไก่ ไข่ พี่เกษมไปซื้อผัก ผลไม้ กลับมาถึงบ้านแดดออก บ่ายไปเล่นกีฬากับเพื่อนๆเสร็จแล้วต่อสไกป์คุยกับแฟนและลูกๆ มีความสุขมาก ได้สอนน้องแคนและขิมกับขลุ่ยวาดรูปให้ดู

วันอาทิตย์ที่ 11 พฤศจิกายน ตื่นเกือบสิบโมงเช้า ไม่ได้ออกไปไหน นั่งอ่านหนังสือ สรุปบทเรียนเขียนลงในเว็บบล็อก เป็นการฝึกเขียนภาษาอังกฤษไปในตัว แล้วก็แก้ไขงานวิจัย KM ครั้งที่สอง กะว่าบ่ายๆจะไปขี่จักรยานออกกำลังกายสักพักหนึ่ง

ช่วงสองเดือนนี้ได้รู้จักเพื่อนๆในชั้นทุกคน บางคนก็มีเวลาคุยกันมาก บางคนก็แทบไม่ได้คุยกันเลย บางคนพอเจอหน้ากันก็ถูกชะตา บางคนเจอหน้ากันก็ไม่ถูกชะตา แต่บางทีผมมาคิดดูว่าบางทีใจเราก็มีอคติ ทำให้ไม่อยากไปคุยกับเขา ไม่ชอบใจ ทำให้เกือบเสียโอกาสไปก็มี อย่างเช่นมีเพื่อนคนหนึ่งชื่อเจเจ มาจากคาเมรูน ตอนเจอแรกๆ มีความรู้สึกไม่ค่อยอยากคุยด้วย แต่พอได้รู้จักกันมากขึ้น ก็พบว่าเขาเป็นคนน่ารักมาก ได้ไปเล่นบอลกันเกือบทุกอาทิตย์ นั่งฟังบรรยายติดกันบ่อยๆ พอได้คุยกันก็ได้รู้ว่าเขาก็ไม่เก่งภาษาอังกฤษเหมือนกัน พูดสำเนียงไม่ค่อยชัดนักเพราะเขาใช้ภาษาฝรั่งเศสแต่ผมก็คิดว่าเขาเก่งกว่าผม เราไปเรียนภาษาอังกฤษด้วยกัน ตอนหลังก็ทราบว่าอายุเท่ากัน แต่งงานแล้วมีลูกสาวหนึ่งคน ค่อนข้างคุยกันถูกคอและก็เล่นปิงปองด้วยกันบ่อยๆ นี่ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งในชีวิตที่เราอาจตัดสินใจคนแค่มองหน้า แล้วปิดใจไม่อยากคบค้ากัน ทำให้เราเสียโอกาสในการรู้จักหรือได้มิตรภาพได้ สิ่งเหล่านี้เกิดจากใจเป็นตัวกำหนด เมื่อปิดใจก็เหมือนปิดโอกาสตัวเองที่จะเรียนรู้คนอื่นๆรวมทั้งปิดกั้นตัวเองจากโอกาสอื่นๆด้วย

ใจเป็นตัวกำหนดทัศนคติ ทัศนคติเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมหรือการปฏิบัติ เป็นตัวบอกเราว่าฉันทำได้หรือฉันทำไม่ได้ อยากทำหรือไม่อยากทำ เป็นการพยายามเอาพรแสวงมาดึงพรสวรรค์ที่ซ่อนอยู่ในตัวคนหรือตัวเราออกมา ทัศนคติที่ไม่ดีที่เราก่อขึ้นไว้ในใจโดยเฉพาะความกลัว ความอาย ความเย่อหยิ่งถือดีและอคติเปรียบได้กับกำแพงใจเป็นตัวกักขังตัวเราเองกับกั้นเรากับผู้อื่น เป็นกำแพงที่คอยปิดกั้นใจเราไม่ให้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างที่ผ่านมาในชีวิต ไม่กล้าทำนั่น ไม่กล้าทำนี่ ทำให้เราเสียโอกาสในชีวิต คิดว่าตัวเองทำไม่ได้ เล่นไม่ได้ เพราะอย่างนั้นอย่างนี้แล้วก็ปิดกั้นตัวเอง ผมเองมีและเคยมีกำแพงเหล่านี้มากที่กว่าจะฝ่าทะลายออกมาได้ใช้เวลานานและบ่อยครั้งต้องคนมาช่วยเหลือจึงฝ่าออกมาได้

สมัยเด็กๆผมเกิดมาเป็นคนจน แล้วผมก็เอาความจนมาขวางตัวเอง ทำให้ไม่ได้เรียนรู้หลายอย่างในชีวิต แล้วก็ทำให้ไม่กล้าทำอะไร เอาความจนมาจำกัดตัวเอง คิดว่าตัวเองไม่หล่อ ตัวเตี้ย ตัวดำ ดูไม่น่าสนใจ คิดว่าตัวเองต่ำต้อย ทำไมเราต้องเกิดมาไม่หล่อ เตี้ย ดำด้วย ใจมัวแต่มองข้อด้อยของตนเอง ทำให้ทำลายความมั่นใจของตนเองไป ทั้งที่ไม่ได้มีใครมากดเราลงไป แต่เรากดตัวเราเอง ความคิดที่ว่าตัวดำ ไม่ดี ดูไม่สะอาด สู้คนขาวไม่ได้ คนขาวจะดูดีกว่า สะอาด หล่อ เท่ห์ แล้วก็ไม่กล้าใส่เสื้อผ้าสีฉูดฉาด ทั้งที่เวลาไปไหนมาไหนเห็นคนใส่เสื้อผ้าที่มีสีสันก็อยากใส่บ้างแต่ไม่กล้า หรือกางเกงยีนส์ก็ไม่กล้าใส่ อ้างโน่นอ้างนี่ไป ซึ่งจริงๆแล้วกางเกงยีนส์ก็มีประโยชน์มาก ยิ่งมาอยู่ที่เบลเยียมนี่สะดวกมาก กันหนาว ไม่ยับง่าย ดูแลง่าย ซักก็ไม่ยาก ผมเคยคิดว่ากางเกงยีนส์ซักยาก ทั้งๆที่ไม่เคยซักเองสักที จริงๆแล้วธรรมชาติให้ความโดดเด่นแก่คนทุกคน เพียงแต่เจ้าตัวจะรู้จักใช้มันหรือเปล่า

เรื่องเล่นดนตรี ผมก็ตีกรอบตัวเองว่า เราไม่มีพรสวรรค์ด้านนี้ ทำไม่ได้หรอก แล้วเล่นดนตรีก็เป็นการเสียเวลาด้วย ตอนไปเรียนเชียงใหม่เห็นเพื่อนๆเล่นกีตาร์ก็อยากเล่นบ้าง แต่ก็ไม่กล้า เพราะใจคิดว่าเราทำไม่ได้ โชคดีที่รูมเมตช่วยสอนให้และให้กำลังใจ บอกว่าไม่ยากหรอก ใครๆก็หัดได้ เพื่อนคนนี้คือหมอหมูหรือนิพนธ์ กาญจนะ (ปัจจุบันเป็นสูติแพทย์อยู่ที่โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยายมราช สุพรรณบุรี คุณแม่หมอหมู ท่านใจดีมาก ผมเคยไปเที่ยวสุพรรณบุรีตอนปีหนึ่งและไปพักที่บ้านท่าน เวลาท่านไปเชียงใหม่ก็มีขนมไปฝากผมกับเพื่อนๆเสมอ) หมอหมูสอนผมอย่างใจเย็นมาก กว่าจะหัดได้ก็น่าดูเหมือนกัน หัวไม่ค่อยไป ฟังเสียงโน้ตดนตรีไม่ออก ผมต้องฝึกจับคอร์ดอย่างเดียวอยู่นาน แล้วก็ฝึกดีด ฝึกเกากีตาร์อย่างเดียว พอทำได้ชินแล้ว จึงจับคอร์ดกับดีดหรือเกากีตาร์พร้อมๆกันให้เป็นเพลงได้ ใช้เวลานานพอดู ก็พอเล่นเป็นเพลงได้ ตอนออกค่ายอาสาก็เลยได้เล่นกีตาร์ร้องเพลงเพื่อชีวิตรอบกองไฟได้ แต่ก็เล่นไม่เก่ง แล้วก็มีปัญหาตั้งสายกีตาร์ไม่ได้ เพื่อนสอนเท่าไหร่ก็ทำไม่ได้ ตอนอยู่แม่พริกคุณหมอปัญญา เคยสอนอีกแต่ก็ทำไม่ได้อยู่ดี แต่ก็พอใจแล้วที่พอเล่นดนตรีได้หนึ่งชนิด ไม่นับตีกลองยาว

เรื่องกีฬาก็เป็นอีกอย่างที่ผมปิดกั้นตัวเองไว้นาน ตอนเรียนประถมก็เล่นแชร์บอล แต่ทำไม่ค่อยดีเป็นตัวสำรองตลอด พอเรียนมัธยม ก็ทำไม่ได้ ไม่กล้าเล่น กลัวทำเสีย อายเขา กลัวเพื่อนว่า ก็เลยคิดว่าเป็นเด็กเรียนไม่ต้องเล่นกีฬาก็ได้ ตอนนั้นชอบเล่นวอลเลย์บอล แต่พอไม่กล้าเล่น ก็เลยไม่มีโอกาสเล่น พอไปเรียนที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ก็ไม่กล้าสมัครเล่นกีฬาน้องใหม่ ดีที่พี่ตุ๊ก พี่ช้าง รุ่นพี่ปีสองมาชวนไปอยู่ชมรมรักบี้ฟุตบอล ไม่ค่อยมีใครไปเล่น พี่ๆบอกว่าทุกคนเท่ากันเพราะต้องหัดใหม่เหมือนกัน ไม่ต้องกลัวทำไม่ได้ ขอให้มีความตั้งใจ มีพี่ฮ่อ (สุรินทร์ วรกิจพูนผล ปัจจุบันเป็นอาจารย์ศัลยแพทย์ระบบหัวใจและหลอดเลือด คณะแพทย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่) ช่วยสอนให้ ผมรับส่งลูกไม่ค่อยดีแล้วก็ตัวเล็กเลยถูกจับให้เป็นกองหน้า เป็นฮุกเกอร์ ผมก็พยายามฝึกอย่างเต็มที่ ทุ่มเทมากและก็ทำได้ ต่อมาก็ไปแข่งว่ายน้ำ โปโลน้ำแล้วก็ติดทีมมหาวิทยาลัยไปแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยสองปี

รักบี้ทำให้ผมมีความกล้าที่จะเล่นกีฬา คิดว่าเราทำได้ ช่วยทะลายกำแพงความไม่กล้าเล่นกีฬาของผมออกไป พอเรียนจบไปทำงานที่งาวไม่มีรักบี้ให้เล่น ไม่มีสระว่ายน้ำให้ว่าย มีแต่อ่างเก็บน้ำก็ไปว่ายได้ไม่บ่อยแล้วก็ไม่ค่อยสะอาดด้วย พอดีเขามีแข่งกีฬาสาธารณสุขกันก็เลยหันไปเล่นวอลเลย์บอลกับเจ้าหน้าที่ ฝึกเล่นบาสเกตบอลกับเด็กนักเรียนมัธยมประจำอำเภอ แอบสังเกตว่าเขาเล่นกันอย่างไรก็ลองฝึกทำบ้าง ก็เลยเล่นได้  ส่วนปิงปองก็พอเล่นได้ตั้งแต่เรียนมอหนึ่ง  ฟุตบอลก็มาหัดตอนทำงานแล้ว ตอนแรกคิดเสมอว่าเล่นไม่เป็น เล่นไม่ได้ เตะไม่เป็น โหม่งไม่เป็นพอเล่นๆไปมันก็เป็นไปเอง ตอนนี้ก็ได้อาศัยเล่นบอลกับเพื่อนๆสัปดาห์ละครั้ง สนุกมาก ส่วนแบดมินตันตอนอยู่ที่บ้านตาก เจ้าหน้าที่เขาเล่นกัน ก็ไม่ค่อยเล่นกับเขา อ้างว่าเล่นแล้วปวดแขน ไม่ชอบ พอมาเรียนเขาเล่นก็ต้องเล่นกับเขาตอนนี้ก็รู้สึกว่าเล่นแล้วสนุกดี มีอีกอย่างหนึ่งที่ผมไม่ยอมเล่นคือเปตอง คิดว่ากลับเมืองไทยคงต้องเปิดใจแล้วก็ฝึกเล่นกับเขาบ้าง

สมัยเด็กๆ ผมจะได้ยินจากคนในหมู่บ้านเสมอว่าไปขายถั่วขายฝ้ายให้พ่อค้าคนจีนในตลาด มักถูกเอาเปรียบ โกงตาชั่งบ้าง คิดดอกเบี้ยราคาแพงบ้าง กดราคาซื้อบ้าง ชาวไร่ชาวนาก็ต้องยอมเพราะไม่มีทางเลือก ทำให้ผมรู้สึกว่าคนจีนนี่ไม่ดี ไม่น่าไว้ใจ ไม่น่าคบ ตอนเรียนชั้นมัธยมสองเคยแบ่งพวกกันระหว่างลูกคนจีนในตลาดกับลูกคนไทยชนบท ตอนกินก๋วยเตี๋ยวก็ไม่ยอมใช้ตะเกียบ อะไรที่เป็นของจีนก็พยายามไม่ยุ่งเกี่ยวเลย แต่พอโตขึ้นเรื่อยๆผมก็พบว่าที่ผมมีความคิดอย่างนั้นไม่ถูกต้อง คนไทยเชื้อสายจีนที่ดีๆมีอยู่มากมาย และคนไทยแท้ๆที่เห็นแก่ตัวก็มี ผมเคยเล่าให้อาจารย์แม่ (อาจารย์นิโลต์บล ศรีสุโข ปัจจุบันอาจารย์สอนอยู่ที่โรงเรียนสุโขทัยวิทยาคม จังหวัดสุโขทัย) ฟัง อาจารย์ก็เป็นคนไทยเชื้อสายจีน อาจารย์บอกว่า “การตัดสินคนจากกำเนิดนั้นไม่ได้ถูกต้องเสมอไป คนเราต้องดูพฤติกรรม การกระทำของเขา คนทุกเผ่าพันธุ์มีทั้งดีและเลว คละเคล้ากันไป อยากให้เปิดใจให้กว้างเพราะพิเชฐยังต้องเจอคนอีกเยอะ” พอผมโตขึ้นก็ได้เห็นตามคำสอนของอาจารย์มาตลอด อาจารย์แม่เป็นผู้ช่วยทะลายกำแพงความคิดที่ไม่ดีเหล่านี้ออกไปจากใจผมได้ ทุกคนที่เกิดหรืออยู่บนแผ่นดินไทยคือคนไทย

เรื่องภาษาอังกฤษก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผมปิดกั้นตัวเอง ทำให้ไม่ฟังเพลงฝรั่ง ไม่ดูหนังฝรั่ง ส่งผลให้ผมไม่ได้ฝึกใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร แล้วก็ทำให้ผมมีความลำบากในการเรียนตอนนี้ แต่ก็ถือว่าผมได้เปิดใจตัวเองในเรื่องนี้แล้ว เริ่มฟังเพลงฝรั่ง รู้สึกว่าเพลงไพเราะๆเยอะมาก ดูหนังฝรั่งสนุกขึ้น

นึกไปถึงจดหมายจากน้องปูเขียนมาถึงว่า “วันนี้มีเรื่องอยากเล่าย้อนอดีตที่ผ่านไปนิดนึงค่ะ ก็ตอนไปทำกลุ่มที่เขื่อนกับพี่เอ้ ปิ และก็พี่น้อยค่ะ ตอนไปนะคะไม่อยากไปเลยค่ะ คิดแค่ว่าเบื่อทำไปงั้นๆจะได้เสร็จไปเพราะเลื่อนบ่อยมาก  แต่พอทำกลุ่มไปแล้วสนุกค่ะน่าจะมีต่ออีกวันเลยค่ะ กลุ่มส่วนใหญ่สนุกสนานแม้ว่าบางคนจะไม่ได้ฟังการบรรยายจากหมอ แต่เค้าพยายามจะแลกเปลี่ยนเรียนรู้และซักถามอยู่ตลอดจนถือได้ว่าการทำกลุ่มครั้งนี้รู้สึกสนุกและได้เครือข่ายในจังหวัดเราเลยค่ะ ถึงว่าเค้าว่ากันว่า สิ่งที่เราคาดหวังไว้อาจไม่เป็นจริงเสมอไปค่ะ ผ่านไปด้วยดีและมีความประทับใจจริงๆค่ะ อีกรอบที่ผ่านมาสดๆร้อนๆก็บรรยายเรื่องkm ทีรพ.สมเด็จเจ้าพระยา เรื่องบรรยายทางทฤษฎีก็ให้พี่เอ้ไปค่ะ ส่วนปูได้รับมาหนักใจพอสมควรไม่เคยขึ้นเวทีเป็นเรื่องเป็นราวขนาดนี้แหมก็ที่ไปกรมราชทัณฑ์ก็คนฟังไม่ถึง100 นี่ตั้ง300-400 คน ไม่เชิงบรรยายเลยค่ะ เล่าสู่กันฟังถึงการทำkmในงานประจำ และ KMสู่นวตกรรมในงานต่างๆค่ะ ก็พยายาม เชื่อมโยงไปค่ะ แต่เวลามีน้อยคิดว่าทำได้ไม่ดีเท่าที่ควรเลยค่ะ อีกส่วนไปวิพากษ์CQIลำบากใจพอสมควร ปูวิพากษ์คู่กับอ.สมจิตต์ ชี้เจริญที่ปรึกษาของพรพค่ะ เราเลยวิพากษ์ไปในแนวที่ว่านำKM ไปใช้ได้อย่างไร กระบวนการไหน ส่วน อ.สมจิตต์ก็ไปทางHAค่ะ ถือว่าได้เรียนรู้ไปพร้อมกันดีมากเลยแต่ขอบอกว่านั่งเกร็งพอสมควร  อย่างน้อยต้องขอบคุณมากที่ให้โอกาสได้พัฒนาและเรียนรู้การทำงานของคนอื่นมาประยุกต์กับเราค่ะ หากหมอไม่ให้โอกาสพวกเราก็คงไม่มีวันนี้ค่ะ”

ผมตอบกลับไปว่า “สำหรับเรื่องบรรยายKM หมอเชื่อว่าพวกเราสามารถบินเดี่ยวกันได้แล้ว ถ้าพอจัดเวลาไปได้ ก็อยากให้รับงานเพื่อจะได้เรียนรู้และพัฒนาไปได้เรื่อยๆ โอกาสมีอยู่เสมอรอบๆตัวเรา เพียงแต่ว่าเราจะหยิบจับมันมาไว้หรือเปล่า หลายคนปล่อยโอกาสหลายสิ่งหลายอย่างผ่านไป ไม่ยอมเรียนรู้ ไม่เปิดใจก็เลยเสียโอกาสนั้นไปได้ อยากให้มั่นใจได้เลยว่าเรื่องกระบวนการKMนั้นทีมเราทำได้ ขอให้มีความมั่นใจ กล้าแสดงออก แต่รู้จักถ่อมตัวพอที่จะเรียนรู้เพิ่มเติมจากคนอื่นๆได้ เปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่ๆภายใต้หลักการที่ถูกต้อง  ถ้าไม่มีทีมวิทยากรKMที่ดีอย่างพวกเรา หมอก็คงทำอะไรไม่ได้มากเช่นกัน

นี่ก็เป็นการมองโอกาสและคว้าโอกาส เปิดใจตัวเองมองเห็นสิ่งดีในสิ่งที่ทำอยู่ สำหรับตัวผมเองก็กำลังพยายามปีนและทะลายกำแพงของความรู้สึกที่ไม่กล้าพูดภาษาอังกฤษ กลัวผิด เราทำไม่ได้ เราอ่อนเรื่องนี้ ก็เลยคุยกับเพื่อนๆในชั้นไม่มาก โดยอ้างกับตัวเองว่าคุยไปก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง ผมต้องพยายามบอกตัวเองว่าต้องทำได้ แต่จะทำได้แค่ไหน ก็ดูกันต่อไปครับ จบท้ายบันทึกนี้ด้วยเพลงคอย ของพงษ์เทพ กระโดนชำนาญ ครับ

“หากคืนวันที่ฉันไป นั้นไกลกว่า กว่าเวลาที่เฝ้ารอ ขอจงรู้ หลั่งรินฝัน ให้พืชพันธุ์ แย้มบานอยู่ ให้เกสรที่ช่อชูชุ่มแมลง จงเอาสายลมเย็น คลายร้อนรุ่ม เก็บกองสุม ฟืนไฟให้ส่องแสง คืนเหน็บหนาว ดาวเอ๊ยดาวใช่เขาแกล้ง เฝ้าปลอบขวัญผู้โรยแรงให้ร่าเริง ก็ยังมีปัญหามากมาย ก็ยังมีคนไร้ที่พึ่งพา ก็ยังคงมองเห็นเต็มตา ว่าทุกข์ทนและเฝ้าคอย  

หากคืนวันที่ฉันไป นั้นไกลกว่า กว่าเวลาที่เฝ้ารอ อย่าท้อถอย ย่นเวลาที่เฝ้าคอย ให้น้อยหน่อย เพิ่มเวลาของสองเราให้เท่าเทียม”

พิเชฐ  บัญญัติ

Verbond straat 52, 2000 Antwerp, Belgium

11 พฤศจิกายน 2550, 14.00 น. ( 20.00 น.เมืองไทย )

หมายเลขบันทึก: 145703เขียนเมื่อ 11 พฤศจิกายน 2007 19:58 น. ()แก้ไขเมื่อ 19 มิถุนายน 2012 15:16 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)
  • สวัสดีค่ะ คุณหมอพิเชฐ
  • ติดตามอ่านมานานแล้วค่ะ
  • ไม่เคยได้มาทักทาย
  • วันนี้ประทับใจ คำนี้ค่ะ
  • ทัศนคติที่ไม่ดีที่เราก่อขึ้นไว้ในใจโดยเฉพาะความกลัว ความอาย ความเย่อหยิ่งถือดีและอคติ"เปรียบได้กับกำแพงใจเป็นตัวกักขังตัวเราเองกับกั้นเรากับผู้อื่น เป็นกำแพงที่คอยปิดกั้นใจเราไม่ให้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างที่ผ่านมาในชีวิต"
  • กำแพงที่ว่า ยิ่งรับรู้ได้เร็ว ก็ยิ่งทะลายมันได้เร็วนะคะ
  • ขอให้คุณหมอ มีความสุขค่ะ

สวัสดีครับคุณ Coffee mania

ขอบคุณครับ พอได้อ่านข้อคิดเห็น ผมก็ได้ไอเดีย เอาประโยคที่ยกมาเป็นประโยคสำคัญของบทความนี้เลยครับ

ก่อนผมมาเบลเยียม ผมได้มีโอกาสติดตามอาจารย์มรกตไปที่แม่ฮ่องสอน แล้วก็ได้ไปปางมะผ้าด้วย ไม่ทราบว่าได้เจอกันหรือเปล่า และเห็นว่าโรงพยาบาลกำลังก่อสร้างใหม่ ตอนนี้ใกล้เสร็จหรือยังครับ

ฝากความคิดถึงให้หมอติ๊กด้วยนะครับ และส่งกำลังใจให้ชาวโรงพยาบาลปางมะผ้าทุกคนด้วยครับ 

  • สวัสดีอีกครั้งค่ะ คุณหมอพิเชฐ
  • ในครั้งก่อน คงไม่ได้พบคุณหมอค่ะ
  • พอดีช่วงนั้น ไปเรียนต่อ
  • แต่เคยไปฟังคุณหมอบรรยาย เรื่อง KM ที่ รพ.ศว.
  • ขอบพระคุณที่ฝากความระลึกถึง
  • มายัง ผอ. และ ชาว ปางมะผ้าค่ะ
  • อาคารกำลังสร้างอยู่ ไม่เสร็จตามสัญญา แต่ก็คงเร็วๆ นี้

 

สวัสดีเจ้าค่ะ คุณน้าหมอเจ้าขา

               สบายดีหรือเปล่าค่ะ หนูแวะมาเยี่ยมเจ้าค่ะ ช่วงนี้ไม่ค่อยว่างเลยเจ้าค่ะ เลยไม่ค่อยเข้ามาเยี่ยมสักเท่าไหร่ เอิกๆๆๆ....ช่วงนี้เครียดๆเจ้าค่ะ คิคิ....มียาแก้เครียดไหมค่ะ.....ขอยาวิเศษด้วยนะค่ะ แบบว่า กินปุ๊บหายปั๊บเลยค่ะ  แล้วก็ยาที่กินแล้ว เอ็นท์ติดอะค่ะ 555++

            เป็นกำลังใจให้เจ้าค่ะ -------> น้องจิ ^_^

ชอบอ่าน Blog ของคุณหมอมากค่ะ  เพราะได้อะไรดีๆ  ไปปรับใช้ในชีวิตได้เสมอ  เเละรู้สึกว่อบคาได้ดึงพลังด้านบวกของตัวเองออกมาใช้เยอะมากค่ะ

 ขอบคุณนะคะ  สำหรับสิ่งดีๆ  ขอให้คุณหมอและครอบครัว มีแต่ความสุขนะคะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท