สภาพความเสื่อมโทรมที่สังเกตเห็นได้อย่างเด่นชัดในแต่ละพื้นที่แตกต่างกัน
พอที่จะสรุปได้ดังนี้
1) ผลจากพายุพัดทำลาย
พายุที่พัดในฤดูมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ในปี พ . ศ . 2529
มีผลทำให้เกิดความเสียหายกับแนวปะการังทางชายฝั่งด้านทิศใต้ของเกาะต่างๆหลายแห่งทางฝั่งทะเลอันดามัน
ที่เห็นเด่นชัดได้แก่ บริเวณหมู่เกาะ อาดัง - ราวี ส่วนทางฝั่งอ่าวไทย
ได้รับผลกระทบจากทั้งพายุไต้ฝุ่นเกย์ ในปี พ.ศ. 2532
พายุซีต้าและพายุลินดาเมื่อปี พ.ศ. 2540
พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบมากคือ บริเวณอ่าวไทยตอนกลาง
ตั้งแต่บริเวณชายฝั่งจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร
จนถึงสุราษฎร์ธานี
2) ผลจากการระบาดของดาวมงกุฎหนาม
เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ทางฝั่งทะเลอันดามัน
บริเวณที่ได้รับความเสียหายอย่างเด่นชัดคือที่หมู่เกาะอาดัง - ราวี
ในช่วงปี พ . ศ . 2527 - 2529
3) ผลกระทบจากปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาว (coral
bleaching) เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทางฝั่งทะเลอันดามันในปี พ . ศ .
2534, 2538 และ 2541 ส่วนทางอ่าวไทยได้รับผลกระทบมากในปี พ.ศ. 2541
โดยมีสาเหตุจากการที่อุณหภูมิน้ำทะเลเพิ่มสูงผิดปกติ
ติดต่อยาวนานในช่วงฤดูแล้ง กล่าวคือ อุณหภูมิสูงถึง 31 ซ . (
ซึ่งอาจถือเป็นจุดวิกฤต ) จากเดิมที่อุณหภูมิปกติ 29 ซ .
แนวปะการังในหลายพื้นที่ได้รับผลกระทบ
โดยความรุนแรงแตกต่างกันในแต่ละแห่ง อย่างไรก็ตาม
พบว่าปะการังที่ฟอกขาวส่วนใหญ่สามารถกลับคืนสู่สภาพปกติได้
ยกเว้นในกลุ่มปะการังเขากวางที่มักจะตายไป
โดยทั่วไปแล้วในแต่ละแห่งปะการังตายไปไม่เกิน 10%
4) ผลจากตะกอน
เห็นเด่นชัดตามแหล่งที่อยู่ใกล้ปากแม่น้ำ
หรือตามเกาะที่มีป่าชายเลนขนาดใหญ่ เช่นเกาะตะลิบง กลุ่มเกาะยาว
กลุ่มเกาะในอ่าวพังงา กลุ่มเกาะที่อยู่ทางฝั่งตะวันออกของเกาะภูเก็ต
รวมทั้งพื้นที่ที่อยู่ใกล้แผ่นดินใหญ่ที่มีการพัฒนาชายฝั่งมากตามจังหวัดต่างๆทั้งฝั่งทะเลอันดามันและอ่าวไทย
นอกจากนี้ยังมีปัญหาผลกระทบของตะกอนจากกิจกรรมการทำเหมืองแร่ในทะเลในอดีต
โดยพื้นที่ซึ่งคาดว่าได้รับความเสียหายมากจากตะกอนที่เกิดจากการขุดแร่ในทะเล
คือบริเวณแหลมหัวกรังน้อย และแหลมหัวกรังใหญ่ ในเขตอำเภอท้ายเหมือง
จังหวัดพังงา
เนื่องจากทั้งสองจุดนี้อยู่ใกล้แหล่งสัมปทานเหมืองแร่ในทะเลบริเวณบ้านน้ำเค็ม
จังหวัดพังงา
5) ผลจากกิจกรรมการท่องเที่ยว
เห็นได้ชัดในเรื่องผลกระทบจากสมอเรือ
โดยเฉพาะที่บริเวณหมู่เกาะสิมิลัน ซึ่งหลายจุดมีปะการังที่เป็นพวกกิ่ง
( เช่น Hydnophora rigida และ Acropora spp.)
เป็นพวกที่เด่นในพื้นที่ ปะการังประเภทนี้มีความเปราะบางกว่าชนิดอื่นๆ
จึงมักพบร่องรอยความเสียหายจากสมอเรือหลายแห่งที่หมู่เกาะสิมิลัน
นอกจากนี้ในบริเวณแนวปะการังน้ำตื้นหลายแห่ง เช่นที่เกาะสุรินทร์
เกาะสิมิลัน เกาะเฮ เกาะพีพี ฯลฯ
ได้รับความเสียหายจากการถูกนักท่องเที่ยวยืนเหยียบย่ำเมื่อลงดำน้ำ
ในบริเวณชายฝั่งภาคตะวันออกของอ่าวไทย
แนวปะการังหลายบริเวณได้รับผลกระทบจากการท่องเที่ยว เช่น
บริเวณเกาะกุฎี จังหวัดระยอง เกาะหมาก และเกาะกระดาด จังหวัดตราด
เป็นบริเวณที่มีนักท่องเที่ยวเยี่ยมชมแนวปะการังเพิ่มมากขึ้น
แนวปะการังมีสภาพเสื่อมโทรมลงอย่างเห็นได้ชัด
6)
ผลกระทบจากการทำการประมงที่ผิดวิธี เช่นจาก
การระเบิดปลา ซึ่งเห็นได้ชัดที่เกาะไหง
และเกาะกระดาน จังหวัดตรัง แต่เนื่องจากทั้งสองแห่งนี้มีปะการังโขด (
Porites lutea ) ที่เป็นหัวขนาดใหญ่เป็นชนิดที่เด่น
จึงไม่เกิดความเสียหายเป็นพื้นที่กว้างมากนัก
และสังเกตพบว่าการระเบิดปลาน่าจะเกิดขึ้นมากในพื้นที่ที่เป็นแนวโขดหินใต้น้ำที่มีปะการังขึ้นอยู่เป็นหย่อม
เนื่องจากในพื้นที่หลายแห่งมักจะพบเศษหินและซากปะการังแตกกระจายอยู่ตามพื้นทรายข้างล่าง
ในหลายพื้นที่ยังพบปัญหาเรื่อง
เศษอวนปกคลุมปะการัง เศษอวนเหล่านี้อาจมาจากการที่ชาวประมงซ่อมอวนและตัดอวนทิ้งกลางทะเล
ซึ่งมีโอกาสลอยและถูกพัดพาไปตกค้างในแนวปะการัง
หรืออวนที่ชาวประมงดักปลาในแนวปะการังโดยตรง
ซึ่งเมื่ออวนขาดเสียหายก็ถูกปล่อยทิ้งไว้จนคลุมปะการัง
บางแห่งมีการวาง ลอบดักปลาบนแนวปะการัง
ทำให้ปะการังแตกหักเสียหาย
และในบริเวณโซนพื้นราบโดยทั่วไปมักเสียหายจากการที่ชาวบ้าน
เดินเหยียบย่ำและพลิกปะการังเพื่อหาสัตว์น้ำ
โดยเฉพาะพวกปลาหมึกยักษ์และหอยบางชนิด
และในบางท้องที่ยังมีการ
ลักลอบจับสัตว์น้ำในแนวปะการังโดยใช้สารไซยาไนด์
แหล่งที่มา:http://www.pmbc.go.th/CoralStation/CoralFrameset-4.htm
ไม่มีความเห็น