วันที่1 และ 2 พฤศจิกายน 50 ดิฉันได้เข้าร่วมประชุม "เวทีขับเคลื่อนและร่วมเรียนรู้กระบวนการจัดทำธรรมนูญสุขภาพ" ณ ห้องประชุมแอสแคป ฮอลล์ อาคารสหประชาชาติ กรุงเทพมหานคร ในฐานะหนึ่งในตัวแทนเครือข่ายวิชาการ/วิชาชีพ ตามหนังสือเชิญของสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) : National Health Commission Office
เป็นหนังสือเชิญที่ให้เกียรติและให้ความสำคัญกับบุคคลที่ได้รับเชิญเหลือเกิน นั่นอาจเป็นเหตุผลประการแรกก็ได้ที่เป็นมูลเหตุจูงใจให้ผู้ที่ได้รับหนังสือ(ตัวดิฉันเองนั่นแหละ) อยากเข้าร่วมประชุม และเมื่อได้อ่านเหตุผลหลักการตลอดจนกำหนดการแล้ว ก็ยิ่งต้องการเข้าร่วมมากขึ้น เพราะมีคำว่า "สุขภาพ" อยู่ด้วย ซึ่งต้องมีอะไรเกี่ยวกับคณะสหเวชศาสตร์ และองค์การวิชาชีพของดิฉันอย่างแน่นอน
ดิฉันประทับใจกระบวนการจัดประชุมครั้งนี้มากค่ะ เพราะมีหลายสิ่งหลายอย่างบ่งชี้ให้ทราบว่า ผู้จัดมีเป้าประสงค์ชัดเจน จึงใส่ใจในรายละเอียดที่จะให้ได้มาซึ่งผลลัพธ์จากการประชุม อันเป็นการประชุมที่ประกอบไปด้วยกลุ่มคนที่แตกต่างหลากหลาย ทั้งฝ่ายประชาชน/สังคม ฝ่ายบริหาร/รัฐ และฝ่ายวิชาการ/วิชาชีพ เป็นจำนวนนับพันคนทั่วประเทศ
ช่วงเช้าของวันที่ 1 พ.ย. 50 มีเสียงเพลงขับกล่อมจากศิลปิน " ศุ บุญเลี้ยง" ก่อนที่ทุกคนจะมาพร้อมเพรียงกันในที่ประชุม หลังจากนั้นมีวีดีทัศน์ประกอบละครเพลงโดย "สโมสรผึ้งมหัศจรรย์" ที่ร้อยเรียงเรื่องราวการปฏิรูประบบสุขภาพสู่ พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ ผู้แสดงมีทั้งเด็กผู้ใหญ่และคนชรา แต่งกายอย่างไทย แม้จะต่างแบบต่างภาคแต่กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียว ผู้ที่ไม่เคยรู้เรื่องมาก่อนเลยอย่างดิฉันเข้าใจได้โดยง่ายและโดยทันทีในเวลาไม่ถึงชั่วโมงของการแสดง รับรู้และเข้าใจได้ว่า กว่าจะมาถึงวันนี้ กว่า พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติจะคลอดออกมาได้ ได้ตั้งท้องมานานถึง 7 ปี มีภาวะแท้งคุกคามหลายครั้งหลายหน แต่ก็น่าภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ในที่สุดก็คลอดออกมาได้เมื่อวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2550 เป็นกฎหมายที่ก่อกำเนิดมาจากประชาคมทุกภาคส่วนของประเทศไทยเป็นกฎหมายมหาชนอย่างแท้จริง
ต้องขอปรบมือดังๆให้แก่ประธานการจัดงานฯคราวนี้คือ นายแพทย์สุวิทย์ วิบุลผลประเสริฐ
ฯพณฯ ท่านนายกรัฐมนตรี ประธาน คสช. ก็ให้เกียรติมาเปิดงานและแสดงปาฐกถาพิเศษ เรื่อง "พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติกับการสร้างสุขภาวะ" ด้วย
ช่วงเวลาถัดมา 10.30 - 12.00 น. เป็นเวทีเสวนา "พ.ร.บ.สุขภาพฯจะมีน้ำยาจริงหรือ?" มีผู้เสวนาหลายท่าน (ที่ดิฉันไม่เคยรู้จักมาก่อนอีกเช่นกัน) คือ
คุณรัตนา สมบูรณ์วิทย์ ท่านผู้เสวนาท่านหนึ่งที่ดิฉันประทับใจ กล่าวตอนหนึ่งว่า "กฎหมายนี้เป็นกฎหมายฉบับแรกที่เกิดจากประชาชนจริงๆ และผู้ใช้กฎหมายก็คือประชาชน ดังนั้นกฎหมายนี้จะมี "น้ำยา" แค่ไหนก็อยู่ที่ประชาชนทุกคนอีกนั่นแหละ"
ท่านผู้เสวนาเกือบทุกท่านพยายามจะบอกว่า ขอให้พวกเรามอง พ.ร.บ. ให้ออก อย่าตีความเฉพาะตัวอักษรที่ปรากฎอยู่ใน พ.ร.บ. (โดยเฉพาะหมวดที่ 1 มาตราที่ 5 -12 ) ให้ตีความสิ่งที่อยู่ระหว่างบรรทัดด้วย และอย่าให้ พ.ร.บ. เป็นเพียง "กระดาษเปื้อนน้ำหมึก"
คนที่ดิฉันประทับใจมากที่สุด คือคนสุดท้าย น.ส.จุฑามาศ แพงเวียง คะเนจากสายตาที่มองจากระยะไกลและจากน้ำเสียงที่พูด ดิฉันเดาว่า เธอคงอายุราว 14 - 15 เท่านั้น เธอกล่าวตอนหนึ่งว่า "หากเปรียบเทียบอย่างง่าย พ.ร.บ.สุขภาพ เปรียบเสมือน "ยา" เรามี "ยา" ที่จะรักษาโรคแล้ว แต่เราต้องหาวิธีการใช้ยา ที่ถูกต้องด้วย นั่นก็คือ ธรรมนูญสุขภาพ" (อันเป็นหัวข้อการประชุมคราวนี้)
และเธอยังเสนอแนะวิธีการเสริมสร้างเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจในเรื่อง พ.ร.บ. สุขภาพ ออกไปในวงกว้าง ไว้อย่างชาญฉลาดว่า ต้องพยายามอธิบายอย่างง่ายๆให้เด็กฟัง ถ้าเด็กเข้าใจแล้วละก็ การปลูกฝังในระดับครอบครัวก็จะง่ายและเป็นไปได้ นี่คือ การทำให้ พ.ร.บ. มี "น้ำยา"
ช่วง 12.00 - 12.30 น. เป็นการนำเสนอกรอบและร่าง ระบบ กลไกในการจัดทำธรรมนูญ ว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติและแนวทางการประชุมกลุ่ม ซึ่งผู้จัด จัดให้มี 4 กลุ่มคือ
ใครจะเลือกเข้าประชุมกลุ่มไหนก็ได้ในช่วงบ่าย ซึ่งดิฉันเลือกเข้ากลุ่มที่ 1
ดิฉันไม่ได้แสดงบทบาทหรือความคิดเห็นอะไรเลยในการประชุมกลุ่มย่อย (เป็นร้อยคน) แต่ดิฉันได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง เช่น
วันที่ 2 พ.ย. 50
ปาฐกถาพิเศษ "พ.ร.บ. สุขภาพในมุมมองของผู้ทำคลอด" โดยนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ มีอันต้องฟาวล์ไป เพราะท่านติดภารกิจสำคัญ มาไม่ได้จริงๆ
แต่เวลาแห่งการรอคอยที่พิเศษสุดช่วงท้าย ก็ไม่ทำให้ใครผิดหวัง เพราะมี ศาสตราจารย์นายแพทย์ประเวศ วะสี มาแสดงปาฐกถาพิเศษ "พ.ร.บ. สุขภาพ: เครื่องมือการสร้างสังคมสมานฉันท์" ตามกำหนดการ
ท่านอาจารย์หมอประเวศกล่าวว่า " 7 ปี แห่งการออกกฎหมาย 1 ฉบับนี้ นับว่าเป็นกระบวนการทางสังคมที่ยิ่งใหญ่มาก เป็นวิธีเปิดพื้นที่ของสังคมและปัญญาให้กว้างขวาง เพื่อแก้ไขปัญหายากๆ ในโลกปัจจุบัน เป็น Social revolution ที่มาช่วยแก้ปัญหาซึ่งมาถึง point of impossible"
"พ.ร.บ. สุขภาพฯ เป็นนวัตกรมเพื่อการปฏิรูปสังคม ด้วยการใช้ปัญญาโดยไม่ต้องใช้อาวุธ ไม่มีที่ไหนในโลกทำได้ แม้แต่ WHO"
"พ.ร.บ.นี้อาจเป็นต้นแบบแก่ชาวโลก จะมีประโยชน์ต่อชาวโลกด้วยไม่เพียงเฉพาะประเทศไทย"
ความจริงความบรรยายทั้งหมดของท่านอาจารย์หมอประเวศ ได้รับการตีพิมพ์เป็นเอกสารแจกประกอบการประชุมด้วย เป็นเอกสารขนาด A4 พับครึ่ง เพียง 4 บท 10 หน้า ดิฉันอยากจะคัดลอกมาให้ทุกท่านได้อ่านกันซะจริงๆ เพราะมีประโยชน์อันเอนกอนันต์ ท่านจะได้ทราบว่า ทำไม พ.ร.บ. สุขภาพแห่งชาติ จึงเป็นทางรอดของประเทศไทย
..........
ยังมีต่อให้ติดตามได้นะคะ ที่นี่ ค่ะ
ขอบคุณมากนะคะที่ทุกๆคนรับฟังความคิดของเด็กอย่างหนู
ปลื้มใจจังเลยค่ะ
เพราะไม่คาดฝันว่า คนที่เราแอบปลื้ม และคิดว่าอยู่ไกลตัวมาก จะมาเยี่ยมถึงที่
ขอขอบคุณน้องจุฑามาศ มากนะคะ ที่มาประทับลายเซ็นไว้ ณ Blog แห่งนี้
: ) : ) : )
ดีใจค่ะ ที่ทุกๆคนนำเรื่องราวในงานวันนั้นมาเป็นประเด็นคิดต่อช่วยกันทำให้เกิดประโยชน์กับส่วนรวมพอดีมาพบเว็บนี้โดยบังเอิญค่ะก็ดีใจและขอบคุณอีกครั้งนะคะที่ให้เกียรติหนูมากขนาดนี้
โอกาสหน้าคงได้พบกันอีกแน่ค่ะ
ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกได้นะคะ _ถ้าช่วยได้ก็เต็มที่ค่ะถ้าช่วยไม่ได้ก็จะหาคำแนะนำที่ช่วยได้มาให้ค่ะ
ต้องขอขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูง ที่สนใจและให้ความสำคัญกับการประชุมเพื่อการขับเคลื่อนการทำธรรมนูญสุขภาพร่วมกับ คณะกรรมการจัดงาน และ สช. และอาจารย์สามารถถ่ายทอดเนื้อหาสาระ อารมณ์ความรู้สึกจากการประชุมได้ดีเยี่ยม ผู้ใดที่ไม่ได้เข้าร่วมประชุมก็สามารถรับรู้เรื่องราวรวมทั้งเนื้อหา บรรยากาศได้เลยล่ะ ต้องขอขอบคุณอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม คำมั่นสัญญาจากที่ประชุมในพิธีปิดนั้น คงต้องร่วมมือกันทำต่อไป คือการ"ร่วมสร้างสรรค์ ธรรมนูญ" ในปี 2551 นี้ต่อไปค่ะ ทางเรา สช.จะร่วมมือกับอาจารย์ /มน./คนพิษณุโลก และทุกจังหวัดทั่วประเทศ ในการดำเนินงานต่อไป ซึ่งจะขออนุญาตติดต่ออาจารย์ต่อไปนะคะ
ขอขอบพระคุณ
กรรณิการ์ บรรเทิงจิตร
081-4971410, www:nationalhealth.or.th
ขอบคุณมากค่ะ อาจารย์กรรณิการ์
ดิฉันยินดีและเต็มใจอย่างยิ่งค่ะ