นางาซากิ คือจุดเด่นของวันนี้ ใครบ้างไม่เคยได้ยิน หรือเคยรู้จักชื่อนี้ มันโหดร้ายและทำให้เกิดความเศร้าในใจของใครหลายคน
วันนี้เป็นวันที่ สี่ ที่ได้เที่ยวอย่างจริงจังในญี่ปุ่น ต้องนั่งเรือเฟอร์รี่ โดยขับรถขึ้นไปบนเรือ ผู้โดยสารลงจากรถเพื่อเดินขึ้นไปชมวิว หรือดูทีวีบนเรือ มีอาหารเล็กๆ น้อยๆ ขาย เช่นเครื่องดื่ม และขนม ใช้เวลาในเรือไม่น่าเกิน 40 นาที สำหรับตัวเองเป็นคนขี้เมาเรือแบบนี้ มาแต่ไหนแต่ไร ตอนตื่นนอนเริ่มปวดศีรษะ พอมาขึ้นเรือยิ่งปวดมากขึ้น
ต้องขอขอบพระคุณ อ.พรรณี ศรีภรรยาของ อ.แพนด้า ที่ได้กรุณาช่วยบำบัดอาการปวดศีรษะให้ พอลงจากเรือ อาการก็ดีขึ้นเกือบเป็นปกติ อาหารกลางวันมื้อนี้แปลกกว่ามื้ออื่น เพราะเป็นอาหารจีน จัดเป็นแบบโต๊ะจีน แต่อาหารไม่มาก ที่พิเศษอร่อยกว่าอย่างอื่น คือ จัมปง เป็นเส้นบะหมี่ทอดเส้นเล็ก คล้ายเส้นมาม่าตอนยังไม่ผ่านการปรุง ล้อมรอบด้วยน้ำราดเหนียวๆ เหมือนราดหน้า
เสร็จจากอาหารกลางวัน ก็มุ่งหน้าไปยังพิพิธภัณฑ์ของเมืองนางาซากิ ที่แสดงสิ่งของ ภาพถ่าย และบันทึกเทปจำลองเหตุการณ์วันที่ระเบิดลง สัญลักษณ์ของที่นี่คือนกกางปีก
ออกจากพิพิธภัณฑ์ด้วยจิตใจที่หดหู่กับผลพวงของสงคราม ไปยังจุดที่ทิ้ง อะตอมิคบอม พี่ไกด์เห็นพวกเราชอบสวดมนต์ ก็เลยชี้จุดที่ให้ไปนั่งสวดใกล้ๆ กับจุดทิ้งระเบิดที่ไม่ร้อนมากนัก เพราะตอนนั้นบ่ายแก่ๆ แดดค่อนข้างร้อน อ.คนไร้กรอบนำพวกเราสวดมนต์ อุทิศผลบุญให้กับดวงวิญญาณทั้งหลาย และผู้สูญเสีย ทำให้พวกเราคลายเครียด สบายใจขึ้นมาบ้าง ในบริเวณใกล้กันมีสวนสันติภาพ สร้างขึ้นเพื่อเตือนใจให้นึกถึงสงครามที่ไม่ควรเกิด และเรียกร้องให้มีสันติภาพ ที่นี่มีจุดเด่นคือรูปปั้นผู้ชายขนาดใหญ่นั่งอยู่ทำท่ายกมือขวา นิ้วชี้ชูขึ้นฟ้า ส่วนมือซ้ายยกขึ้นมาเสมอไหล่แบมือคว่ำลง
วันนี้เป็นอีกวันที่เหน็ดเหนื่อยกับการทำเวลาในการช้อปปิ้งที่ เทนจินช้อปปิ้งมอลล์ ซึ่งเป็นแหล่งของการซื้อของ จุดที่ไปเดินกลับไปกลับมามากที่สุดคือแหล่งช้อปใต้ดิน เพราะที่นี่เป็นจุดขึ้นลงรถไฟฟ้าใต้ดิน ระยะทางใต้ดินที่คนเดินขวักไขว่ไปมา น่าจะยาวเกินกว่า 3 กิโลเมตร มีจุดเชื่อมต่อเข้าห้างได้ทุกห้างที่อยู่ในละแวกนั้น ที่เหนื่อยที่สุดคือตอนเข้าโรงแรมแล้ว จะไปหาซื้อกล้องถ่ายรูปกับนาฬิกา ที่ร้าน Yodabashi อยู่ใกล้กับโรงแรมที่พัก Fukuoka Hyatt Regency Hotel แต่ก็ต้องเร่งเดิน เพราะห้างนี้จะปิด 22.00 น. ในขณะที่ตอนไปถึงโรงแรมก็ใกล้ 21.30 น. เรียกว่าเดินกันจนขาขวิด เท้าระบม
คืนนี้นอนหลับสบายเพราะตื่นสายได้ ปัญหาส่วนใหญ่ของคณะเรา คือการ pack กระเป๋า และบริหารสัมภาระ ไม่ให้รกรุงรัง และน้ำหนักต้องไม่เกินคนละ 20 กิโลกรัม ไม่งั้นต้องจ่ายเงินเพิ่ม
วันรุ่งขึ้น รับประทานอาหารเช้าแล้ว เตรียมตัวขึ้นรถ พี่ไกด์เป็ด ก็ยื่นข้อเสนอให้พวกเราไปดูเขาจัดห้องในโรงแรมทำเหมือนโบสถ์คริสต์จัดงานแต่งงาน พวกเราได้ถ่ายรูปสวยๆ กันหลายรูป
ตอนไปถึงสนามบิน เรื่องของเหลว เจล ที่จะนำติดตัวขึ้นเครื่อง สนามบินที่นี่เคร่งครัดเช่นกัน แต่ร้ายกว่าคือไม่มีถุงแจกให้ ต้องไปซื้อเอง ที่สุวรรณภูมิ พี่ไทยใจดี มีวางให้หยิบกันตามใจชอบ กว่าจะฝ่าด่านตรวจที่สนามบินได้ แถวยาวเป็นกิโล รอนานเกือบชั่วโมง แต่สุดท้ายก็ผ่านไปได้ ถึงเมืองไทย 15.00 น.โดยสวัสดิภาพ