ความเข้าใจในเรื่องการให้ทานมีเกณฑ์อย่างไร บางท่านสงสัยว่าหากบริจาคมาก ก็ได้บุญมาก หากบริจาคน้อย ก็ได้บุญน้อย อย่างนั้นหรือไม่ คำตอบที่ถูกต้องก็คือ การให้ทานจะมีผลมากหรือผลน้อย หากขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ ๓ ประการนี้ คือ
๑. เจตนา คือความตั้งใจ จงใจจะถวาย และต้องมีเจตนาที่ดี มีเจตนาที่เป็นกุศลในการถวายทาน ทั้งก่อนถวาย เมื่อถวาย และหลังจากถวายแล้ว เจตนารมณ์ยังเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง
๒. วัตถุทาน ได้แก่สิ่งของที่นำมาถวาย เป็นสิ่งของที่บริสุทธ์ ทั้งที่มาของสิ่งของ จะต้องได้มาโดยชอบธรรม และลักษณะของสิ่งของที่ถวายจะต้องเป็นสิ่งที่มีประโยชน์แก่ผู้รับ ไม่เป็นสิ่งของอันเป็นโทษ
๓. ผู้รับ หมายถึงผู้ที่รับสิ่งของที่เราถวายเจาะจงผู้นั้น ผู้รับอยู่ในฐานะที่เป็นผู้ควรแก่การถวายทาน คือมีศีล มีข้อปฏิบัติที่ถูกต้อง
เมื่อครบองค์ประกอบทั้ง ๓ นี้แล้ว ก็จะทำให้ทานนั้นมีผลมาก ถึงแม้วัตถุทานนั้นจะเป็นของน้อย มีราคาน้อยก็ตาม ในขณะเดียวกัน ถ้าหากว่าให้ทานที่ให้ ประกอบด้วยเจตนาที่แอบแผง เช่นให้ทานด้วยหวังจะได้ชื่อเสียง มีหน้ามีตา ให้ทานเพื่อหวังโชคลาภ อำนาจวาสนา แม้จะให้ทานมากก็จะได้ผลน้อย ส่วนคนที่ให้ทานด้วยเจตนาที่ดี เพื่อหวังประโยชน์แก่ผู้รับ และหวังผลอันเป็นความสุขใจ เพื่อการขจัดกิเลสคือความโลภในสิ่งของให้เบาบางลงได้ แม้จะให้ทานน้อย ก็จะมีผลมาก
สิ่งของที่เป็นวัตถุทานก็จะต้องเป็นสิ่งของที่บริสุทธิ์ หากโลภโกง คอรัปชั่น หรือลักขโมยของผู้อื่นมาถวาย ทานนั้นก็จะไม่มีผลเป็นบุญ หรือมีผลน้อยที่สุด
ในส่วนของผู้รับ ถ้าเป็นผู้ที่มีศีล มีจริยาวัตรที่งดงาม ก็จะให้ทานนั้นมีผลมาก ส่วนการให้ทานแก่ผู้ที่ไม่มีศีล หรือให้ทานแก่คนไม่ดี รวมทั้งให้แก่สัตว์เดรัจฉาน ก็ได้ผลเป็นบุญเช่นกัน แต่ได้ผลน้อยกว่าผู้ทีมีศีล พระพุทธองค์ตรัสว่า ทานที่พิจารณาดีแล้ว จึงให้ เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าสรรเสริญ
ดังนั้นการทำบุญ ควรคำให้ถูก ไม่ควรให้ทานด้วยความโลภ ความขัดเคือง หรือด้วยความหลง ควรให้ทานโดยใช้ปัญญาประกอบ เราจะได้ผลบุญที่แท้จริง และการทำบุญใช่ว่าจะให้เงินทองวัตถุอย่างเดียวเท่านั้น หากแต่ทำได้หลายประการไม่มีความเห็น