ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเริ่มต้นจากวิธีคิด เมื่อต้นปี พ.ศ. 2540 เศรษฐกิจไทยกำลังบูม (โป่งพองเหมือนฟองสบู่) รัฐบาลไทยขณะนั้นบอกว่า ประเทศไทยกำลังจะเป็นนิคส์ จะเป็นเสือเศรษฐกิจ คำว่านิคส์ เป็นคำย่อภาษาอังกฤษ เขียนว่า NIC’s หมายถึงกลุ่มประเทศทางเอเซียตะวันออก เช่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน ฮ่องกง มาเลเซีย ที่เศรษฐกิจกำลังเฟื่องฟู คือขยายตัวปีละ 9, 10, 11 เปอร์เซ็นต์ จึงเรียกประเทศเหล่านี้ว่า Newly Industrialized Countries หรือ NIC’s ตัว s ข้างท้ายเป็นการแสดงพหูพจน์ คือ กลุ่มประเทศ (countries)ผู้รู้หลายคนเห็นอาการโป่งพอง (บูม) ของฟองสบู่ก็พูดเตือนด้วยความเป็นห่วงว่า NIC คือ Narok Is Coming หรือ NIC’s อาจเป็น Narok Is Coming Soon ! ตอนนั้นใครจะพูดเรื่องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเท่าไร ก็คงไม่มีใครสนใจ เพราะคนไทยกำลังหูอื้อ ตาลาย ด้วยกระแสพายุเงิน แล้ว Narok (นรก) ก็มาจริงๆ เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2540 !!!ผู้ที่ลืมไปแล้ว ขอแนะนำให้กลับไปอ่านหนังสือของ วอลเดน เบลโล และคณะ (ฉบับแปล) เรื่อง “โศกนาฏกรรมสยามฯ” (สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมล คีมทอง พ.ศ. 2542) โดยเฉพาะนักเศรษฐศาสตร์ไทย หนังสือเล่มนี้มี 12 บท เริ่มด้วยบทที่ 1 : สำรวจการล่มสลายของเศรษฐกิจไทย จบด้วยบทที่ 12 : บทสรุปสร้างอนาคตด้วยวิสัยทัศน์ใหม่ในบทที่ 1 ของหนังสือเล่มนี้เปรียบเทียบฐานะของประเทศไทยหลังการล่มสลายทางเศรษฐกิจว่า· มีฐานะเป็นเมืองขึ้นของ IMF เหมือนกับสมัยที่ไทยต้องยอมลงนามสนธิสัญญาบาวริ่งกับประเทศอังกฤษ โดยอังกฤษสามารถควบคุมการค้าระหว่างประเทศของไทยได้(สมัยรัชกาลที่ 4)· ภาวะเศรษฐกิจถดถอยเป็นเสมือนภาวะกลียุคเมื่อตอนที่พม่ากรีฑาทัพเข้ามาตีกรุงศรีอยุธยาในระหว่าง พ.ศ. 2308-2310 (เสียกรุงครั้งที่สอง)· ก่อนหน้าฟองสบู่แตก ประเทศไทยกำลังรุ่งเรือง “…. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อาจเป็นมหาวิทยาลัยที่มีรถเบนซ์ และรถบีเอ็มดับบลิวมากกว่ามหาวิทยาลัยใดๆ ในโลก หากเทียบจำนวนรถต่อพื้นที่ตารางกิโลเมตร”· เมื่อฟองสบู่แตก “…. มีคนไทยฆ่าตัวตายวันละ 12 คน ในเดือนมาราคม 2541 ….”ในตอนท้ายของบทที่ 1 กล่าวว่า“…. เป็นที่น่าประหลาดใจยิ่งว่าในหลวงของไทยต่างหากที่ทรงเล่นบทนำในการแก้ปัญหา ดูได้จากพระบรมราโชวาทอันน่าประทับใจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่พระราชทานให้กับปวงชนชาวไทย เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระองค์ทรงกระตุ้นเตือนให้พศกนิกรหันกลับมาสู่เศรษฐกิจการเกษตรแบบพึ่งตนเอง หนังสือพิมพ์ เดอะเนชั่น (6 ธค. 2541) ได้จับใจความสำคัญของพระบรมราโชวาทนี้ไว้ว่าการที่ประเทศไทยเป็นเสือเศรษฐกิจนั้นไม่สำคัญเลย การที่คนไทยสามารถมีชีวิตอยู่ได้เพราะมีอาหารกินอย่างพอเพียง และสามารถเลี้ยงตนเองได้ต่างหากที่เป็นสิ่งสำคัญพระองค์ตรัสว่า นักเศรษฐศาสตร์หัวก้าวหน้าควรที่จะพิจารณาความคิดของพระองค์ ที่จะส่งเสริมเศรษฐกิจแบบพึ่งตนเองที่ (อาจคิดว่า) ล้าสมัยไปแล้ว เนื่องจากประเทศไทยเข้าไปผูกพันอย่างมากกับเศรษฐกิจเชิงพาณิชย์”ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (ศกพ.) เริ่มต้นที่คนและชุมชน เริ่มต้นที่วิธีคิด การลดความโลภ ลดการใช้ทรัพยากรอย่างฟุ่มเฟือย มาเน้นการใช้อย่างประหยัด ดังนิทานอีสป ต่อไปนี้
เรื่องเศรษฐีสิงคโปร์คุณลี แกเป็นมหาเศรษฐีชาวสิงคโปร์พอประเทศไทยเกิดวิกฤตเศรษฐกิจล่มสลายในปี 2540 แกก็เข้ามาเที่ยวดูลาดเลา กะว่าจะ เทคโอเวอร์กิจการของ “คนเคยรวย” ประเภท ’ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย ‘ (หนี้)วันหนึ่ง คุณลีแกนั่งกินซีฟู้ดสุดแพงที่โรงแรมเก้าดาว สุดหรูของกรุงเทพฯคุณลีกินกุ้งแม่น้ำจนหมดเกลี้ยงเหลือแต่เปลือก แล้วแกก็เรียกบริกรมาถามว่า“เปลือกกุ้งที่เหลือนี้ เก็บไปทำอะไรได้บ้าง” บริกรเป็นงง ไม่นึกว่ามหาเศรษฐีจะคิดละเอียดละออขนาดนี้ จึงตอบว่า “ทิ้งครับ บ้านเรามีกุ้งเยอะ” มหาเศรษฐีจึงเล่าให้บริกรฟังว่า “ที่สิงคโปร์ เราไม่ทิ้งอะไรเลย สิงคโปร์จึงร่ำรวย และไม่มีวิกฤตเศรษฐกิจ” “เราเก็บเปลือกกุ้งไปทำ ข้าวเกรียบกุ้ง แล้วส่งมาขายเมืองไทย ได้เงินปีละหลายร้อยล้านบาท” คุณลีกินส้ม เหลือเปลือกเป็นกอง ก็เรียกบริกรมาถามอีกว่า ประเทศไทยใช้เปลือกส้มทำอะไรบริกรก็ตอบว่าทิ้งลูกเดียวคุณลีคุยให้บริกรฟังว่า “ที่ประเทศสิงคโปร์ มีคนร่ำรวยจากเปลือกส้ม เพราะเขาเอาเปลือกส้มไปทำแยมรสส้ม แล้วส่งมาขายเมืองไทย มีรายได้ปีละหลายร้อยล้านบาท ”คุณลีก็เรียกบริกรมาเช็คบิล และได้หมากฝรั่งเป็นของแถม แกเคี้ยวหมากฝรั่งจนเหลือแต่กาก แล้วถามบริกรเช่นเดิมว่า ประเทศไทยใช้กากหมากฝรั่งทำอะไรบริกรก็ตอบได้อยู่เพียงคำเดียว คือ ทิ้งคุณลีจึงสอนบริกรว่า “สักวันหนึ่งคุณจะร่ำรวยเป็นเศรษฐี ถ้าคุณรู้จักนำเศษของเหลือใช้มาทำประโยชน์”“อย่างเศษหมากฝรั่งนี่ เราเก็บส่งไปทำถุงยางอนามัย หรือ คอนดอม แล้วส่งมาขายเมืองไทย ได้เงินปีละหลายพันล้านบาท”บริกรทึ่งมาก ถึงขั้นอเมซิ่งทีเดียวครั้นถึงเวลา เศรษฐีเดินออกจากร้าน บริกรก็โค้งคำนับด้วยความนับถือ แล้วถามเศรษฐีว่า“ท่านครับ ที่สิงคโปร์ ถุงยางอนามัยที่ใช้แล้ว เขาใช้ทำอะไรครับ”เศรษฐีมองหน้าบริกร อย่างงงๆ แกมสังเวช“ที่สิงคโปร์เรามีมาตรฐานการครองชีพสูง ถุงยางอนามัยใช้แล้วทิ้งเลย”บริกรโค้งคำนับอีกที แล้วเล่าให้เศรษฐีฟังว่า“ที่เมืองไทยนะครับ เราเก็บถุงยางอนามัยใช้แล้วไปทำหมากฝรั่ง แล้วส่งไปขายสิงคโปร์ได้เงินปีละหลายร้อยล้านบาทเชียวครับ”??? !!!
จรัญ จันทลักขณา 22 ตุลาคม 2549
สะแกกรัง...
ไม่มีความเห็น