สืบเนื่อง จากเรื่อง DeSchooling การยกเลิกโรงเรียนในระบบ แล้ว การเรียนรู้จะเกิดขึ้น
http://reactor-core.org/deschooling.html
จะแปลทั้งหมดคงไม่ไหวแน่ๆ ...... ผมขอคัดเอาเฉพาะ ที่กระแทกๆ ตัวผมก็แล้วกัน ..... แปลแบบสุกี้ ชาบู และ ใส่ไข่เองอีกต่างหาก นะครับ
ผมไม่ได้ว่าการศึกษาที่ประเทศไทยนะครับ เพราะ เป็นกันแทบทั่วโลก !!! ของประเทศไทย ผมขอ ไม่แตะต้อง ก็แล้วกัน !!! ยกไว้ในฐานที่ ไม่เข้าใจ
เริ่ม บทที่ 1 ก่อนนะ
1. WHY WE MUST DISESTABLISH SCHOOL ทำไมเราต้อง จัดตั้งโรงเรียนกันใหม่
.
จบบทที่ ๑ .... หมดแรง เอาแค่นี้ไปก่อน
"มหาวิทยาลัยตั้งที่ไหน สังคมที่นั่นพัง" เพราะมหาวิทยาลัย และสถานศึกษา ขาด "ครู" ที่เป็นเซียนในวิชาที่สอน มีแต่ความรู้ที่ไปจำเอาของคนอื่นมาสอน และ ไม่เน้นพัฒนากาย พัฒนาใจ ให้กับนักเรียน จึงทำให้สังคมต้องถอยหลังอย่างที่เห็นนี่แหละครับ
ขอขอบคุณอาจารย์คนไร้กรอบ...
ธรรมกถาในโอกาสพิเศษ ณ ชุมนุมศึกษาพุทธธรรม (ศิริราช)
ในอุปการะของคณะแพทย์ศาสตร์และศิริราชพยาบาล
มหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์ ๑๗ ธันวาคม ๒๕o๔
โดยท่าน พระราชชัยกวี (ภิกขุ พุทธทาส อินทปัญโญ)
" ที่ว่าหลักมูลฐานนั้น มิส่วนที่เป็นหลักอยู่ไม่มากมาย จนถึงกับพระพุทธเจ้าท่านเรียกของท่านว่า "มันกำมือเดียว" มันมีเรื่องเพียงกำมือเดียว ไม่มากมายเต็มไปทั้งบ้านทั้งเมืองหรือทั้งป่า ซึ่งในสูตรที่มีอยู่ในสังยุตนิกายเล่าเรื่องนี้ไว้ชัดว่า ; เมื่อกำลังเดินกันอยู่ในป่า พระพุทธเจ้าท่านกำใบไม้ที่เรี่ยราดอยู่ขึ้นมากำมือหนึ่ง แล้วถามภิกษุทั้งทลายในที่นั้นว่า ใบไม้ที่กำขึ้นมานี้กับใบไม้หมดทั้งป่ามันมากน้อยกว่ากันกี่มากน้อย ทุกคนก็เห็นได้ว่า มันมากกว่ากันมาก จนเปรียบกันไม่ไหว ถึงแม้พวกเราที่นี่ เดี๋ยวนี้ก็ลองทำมโนภาพถึงของจริงในเรื่องนี้ดูให้เห็นชัดว่ามัน มากมายยิ่งกว่ากันเสียทีหนึ่งก่อน พระพุทธเจ้าจึงบอกว่านี่มันอย่างนี้ คือว่าเรื่องที่ตรัสรู้และรู้นั้นมันมาก เท่ากับใบไม้ทั้งป่า แต่เรื่องจำเป็นที่ควรรู้ ควรนำมาสอนและนำมาปฏิบัตินั้นเท่ากับ ใบไม้กำมือเดียว "
ขอบคุณครับอาจารย์ครับ ผมอ่านและสรุปเพื่อความชัดเจนของผมเอง ดังนี้
ความคิดเห็นเพิ่มเติม คือ
· เห็นด้วยอย่างมาก เรื่องนี้ต้องมีผู้วิจัยมากๆ ถึงผลกระทบทุกๆด้าน เพราะประเทศไทย แตกต่างจากชนเชื้อชาติอื่น ทั้งลักษณะนิสัย พฤติกรรมแบบไทไท ขนบธรรมเนียม วัฒนธรรมการปกครอง
· ปัญหาจริงๆแล้ว ก็คือเราเดินตามตะวันตกมาตลอด เราไม่เป็นตัวเอง ไม่ศึกษาตนเอง เขาเฮไปซ้าย ก็เฮไปทางซ้าย ไปขวาก็เฮไปขวา
· มาคิดทำไมตะวันตกเขาอยากให้คุณตามละ อ้าวก้ระบบนายทุนไง ก็จะได้ทำธุรกิจการศึกษากับคุณยังไง เอาแค่การสอบเทียบภาษาอังกฤษ สอบกันมากมาย หลายครั้ง เป็นเงินมหาศาล (เสียดาย ถ้าเขานิยมภาษาไทย เราจะเก็บค่าสอบเทียบมาตรฐานเหมือนกัน คงต้องสอบกันหลายรอบนะ เพราะ Advanced Thai Words เนี่ยยากนะ คนไทยตกกันระนาว)
· เรื่องนี้มีการปฏิวัติการศึกษาไปรอบหนึ่งแล้ว เกิดมีการจัดการศึกษาเฉพาะขึ้น เช่น โรงเรียนวิถีพุทธ
ขอบคุณ ครับ .....คุณหมอชอบวิ่ง
กำมือเดียวจริงๆ ขอยืนยัน นั่งยัน นอนยัน
แยกแยะ รู้เท่าทัน ขันธ์ ๕ ด้วย กำลังสติ ซึ่งมาดีแล้ว นี่แหละ สุดยอดวิชาเลย
กำลังทำอย่างคุณหมอสอนไว้ ที่ มน เรื่อง ขี่จักรยาน คือ ขี่รอบแรกเบาๆ อัดจนเหนื่อย ผ่อนลงมาเบา ..... ขอบคุณครับ
ผมชอบที่ คุณพันคำ แนะนำเพิ่มเติม เรื่อง การค้าปนเป ลงมากับการศึกษา
ตอบสนอง เสพนิยม ทั้งนั้น
การจัดการศึกษา ของประเทศสารขัน .... ส่วนใหญ่ จะ Great Idea , worst execute ทุกที .... ครูระดับล่าง อ่วมทุกที จ้าวโปรเจคมาอีกแล้ว !!! ใครจะได้หน้า ใครจะได้ตำแหน่ง ใครจะจัดฉาก ???
น่าจะเป็นเพราะ ระดับใหญ่ๆของสารขัน ... ยัง วนอยู่แค่ หน้าต่างสอง กับ สาม ของ โนนากะ เท่านั้น (คือ คิดเอง เออเอง)
หน้าต่างสี่ และต่อไปหน้าต่างหนึ่ง .... ยังเห็นไม่ชัด
ลงมือทำน้อย คุยอยู่ในห้องประชุม ไปดูงานมีสมุนล้อมรอบ ..... คบคนวงการเดียวกัน..... อย่างมาก ก็เชิญ อย่างครูบาฯ และ คนในวงการธุรกิจ นิดๆหน่อย ( พอให้ได้ชื่อว่า พวกฉันเชิญ คนนอกมาแล้วนะ .... แจกโล่ห์ สักหน่อย ให้ไปเจ็บใจเล่นวันหลัง ว่า ระบบพัง ก็มีคุณ เข้าร่วมด้วยนะ) .....ฟังแล้ว จดๆ ไปงั้น แต่ไม่ทำ !!!
แต่ ไม่ทราบว่า เกิดการเปลี่ยนแปลงทางความคิดและพฤติกรรม ในตัวท่านๆ ทั้งหลายหรือเปล่านะ
หน้าต่าง ๑ ของโนนากะ สำคัญมากๆ ท่านๆ (ผู้ยิ่งใหญ่การศึกษา ของ สารขัน) ฝึกกันหรือยัง การสร้าง Ba การฟังเชิงลึก .... บางที การที่อายุมากขึ้น ไม่ได้แปลว่า หูจะปิดมากตามไปด้วยนะครับ .... ไม่ต้องอายครับ ที่ จะค้นพบ "ความเปราะบาง" ในตยเอง .....
เรื่องการศึกษาเป็นวิกฤต ของโลก ควรฟังกันมากๆ บ่อยๆ ทดลองทำด้วยตนเองบ่อยๆ
เปิดใจกว้าง ๆ แบ่งโซน ไปคิดเอง ทำเองบ้าง เลิก เอาความสำเร็จของ คนในวงการ มาโยงกับ การศึกษาได้แล้ว ... ทำเพื่อยศ ทำเพื่อเพื่อน หรือ ทำไม่เป็น ก็ได้
ท่านๆ ผู้ยิ่งใหญ่ ... อยู่ในกระดานหมากรุกมานาน .....อาจจะมึนๆ ลองถอนตัว ออกมาดูข้างนอกบ้างดีกว่านะ
ผมคิดว่านักการศึกษาในเมืองไทยเองก็รู้เรื่องนี้ จะเห็นได้จาก พรบ.การศึกษาแห่งชาติ ปี 42 ได้กำหนดให้ครอบครัวสามารถสอนการศึกษาให้กับบุตรหลานของตนเองได้ แต่ในทางปฏิบัติไม่มีใครจะเอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้ เพราะลำพังจะกินเข้าไปวัน ๆ ยังแย่เลย แล้วจะเอาเวลาที่ใหนมาสอนลูก ก็ต้องฝากอนาคตไว้กับโรงเรียน และเป็นโรงเรียนที่ตายแล้วด้วย
ที่กศน.มีการจัดการศึกษาประเภทหนึ่งน่าสนใจมาก เขาเอาประสบการณ์ของคนและความสำเร็จในการประกอบอาชีพมาประเมินเทียบระดับ ด้วยความเชื่อที่ว่าชีวิตคนเหมือนแก้วน้ำ ซึ่งมีปริมาณน้ำในแก้วไม่เท่ากัน ดังนั้นการจะทำให้น้ำเต็มแก้วก็เติมน้ำเท่าที่ยังขาดอยู่ มิใช่เทน้ำเก่าทิ้งแล้วใส่น้ำใหม่ทั้งแก้ว ผมคิดว่าวิธีการนี้เป็นวิธีการที่ถูก แต่ก็เป็นวิธีการสำหรับคนที่มีประสบการณ์ชีวิตเท่านั้น เสียดายที่เด็กค่อนข้างมีประสบการณ์น้อยมาก จึงใช้วิธีนี้ไม่ได้
ขอขอบคุณ คุณหมอวิจารณ์ ท่านน่ารักมาก
มีเมตตามายกมือสนับสนุน เรื่องนี้ด้วย
สัสดีครับท่านคนไร้กรอบ
อ่านจบบทที่หนึ่งแทบจะหมดแรง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะอ่านความคิดเห็นของแต่ละท่านโดยเฉพาะของคุณพันคำ
เหนื่อยเลยครับอ่านไปคิดไป จนลืมสิ่งที่เรียนมาว่าต้องสอบกี่ครั้งกว่าจะเรียนจบ (บางครั้งสอบตั้งหลายครั้งกว่าจะผ่าน ขนาดผ่านแล้วบางครั้งก็ยังสงสัย ว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้นซึ่งส่วนใหญ่ก็ไม่มีในตำรา) จนต้องมาหาความเข้าใจตอนทำงานเรียกว่ามาเรียนกันอีกครั้งจากประสบการณ์ทำให้ได้เข้าใจสามารถอธิบายคนอื่นได้อย่างมั่นใจครับ
หลายอย่างที่คาใจเกี่ยวกับการศึกษา "ทำอย่างไรถึงจะพัฒนาคนให้พัฒนาการศึกษาให้พัฒนาคนเพื่อพัฒนาด้านต่างๆได้อย่างเหมาะสมกับยุคสมัย"
คิดเท่าไหร่ก็ยังคิดไม่ออก
คงต้องคิดแบบไม่คิด ตามแนวทางท่านอาจารย์วิจารณ์ กระมังครับ
ตอนนี้เลยถามนักเรียนว่าเรียนอย่างไรถึงจะพอดีหรือพอเพียง
อย่าลืมมาช่วยครูเ อกชนด้วยนะค่ะ งาน แฟ้ม งานกระดาษ ขยะทั้งหลาย ค่ารูปถ่าย ตามผู้ตรวจการทั้งหลายที่เป็นเจ้าหน้าทีมาตรวจมาตรฐาน ที่จะดูเอกสารฯลฯ
แค่นี้ไม่รู้จะเอาคำว่าพอเพียงไปใช้ตรงไหน สงสารเด็กนะ และอย่าลืมครูนะคะ