ศ.นพ.ประเวศ วะสี กล่าวว่าทฤษฎีทางการแพทย์ปัจจุบันควรเป็น Health-oriented medicine
จากการถามลูกศิษย์ของพวกเราที่อยู่ตามรพ. ว่า
อะไรคือผลลัพธ์ของการรักษาพยาบาล
คำตอบคือ การรักษาพยาบาลที่ได้คุณภาพมาตรฐาน ผู้ป่วยหายจากโรค ภาวะแทรกซ้อนน้อยที่สุด re-admission ต่ำ, length of stay สั้น, อัตราความพึงพอใจให้ถึงมากจน 100% ซึ่งนี่ไม่ใช่ผลลัพธ์ แต่เป็นผลผลิต
ของการให้การรักษาพยาบาล ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่มนุษย์พึงได้รับ เมื่อเข้ามารับการรักษาที่รพ.
ส่วนผลลัพธ์ที่แท้จริงคือ
ผู้ป่วยสามารถเข้าใจในโรคที่ตนเป็นอยู่
มีความรู้ความสามารถในการดูแลตนเองเท่าที่สมควร อยู่ในสภาวะ
แวดล้อมรพ.ที่เอื้อต่อสุขภาพ
และเมื่อกลับไปบ้านสามารถจัดการกับตนเอง
และสิ่งแวดล้อมที่เป็นปัจจัยแห่งการเจ็บป่วยได้ นั่นและ
ผลพลอยได้
จึงเกิดเป็นการ มีอัตราป่วยซ้ำลดลง พึ่งพารพ.ลดลงหรือไม่ป่วย
ฉะนั้น ที่คือปัญหาที่ว่า จะทำอย่างไร ให้การเรียนการสอน
ในชั่วโมงเรียนและข้างเตียง
มุ่งไปที่ให้ลูกศิษย์ของเรามองถึงตรงนี้
ปัจจุบัน ลูกศิษย์เราจะมุ่งตัวชี้วัดเชิงปริมาณ เช่น
การพยายามลด admission
การลดเวลานอนในรพ.อย่างผิดๆ
ทำให้เกิดวิชามารต่าง ๆ เช่น ในผู้ป่วย COPD
มานอนนาน
นอนบ่อย ก็เลยแจกถัง oxygen
ให้กลับไปที่บ้าน
เพื่อให้ re-admission
ต่ำ
length of
stay สั้น
ลดภาระของรพ.
โดยไม่ตระหนักว่า
การให้ความรู้ความเข้าใจ เช่น การเปิดออกซิเจนปริมาณมากๆใช้ตามอำเภอใจ
หรือการป้องกันความเสี่ยงต่างๆไม่เพียงพอ เช่น ไม่ได้คำนึงว่า
นั่นคือการแจกระเบิดลูกใหญ่ให้ผู้ป่วยเอากลับไปไว้ที่บ้าน
แล้วให้ไปซื้อขายแลกเปลี่ยนกับบริษัทห้างร้านเอาเอง
ในส่วนของการส่งเสริมสุขภาพก็เช่นกัน
เมื่่อถามว่า
ผลลัพธ์ของการส่งเสริมสุขภาพคืออะไร คำตอบก็มักจะเป็นว่า
“เป็นกระบวนการที่ส่งเสริมอย่างมาตรฐาน
คุณภาพดี
เด็กได้รับการตรวจครบ แม่ตรวจหลังคลอดครบ 100%”
นี่ก็เป็นเพียงผลผลิต เป็นความครบถ้วนทางสิทธิขั้นพื้นฐานเช่นกัน
แต่ผลลัพธ์จริง ๆ ควรมุ่งไปถึงจุดที่ “ประชาชนได้รับบริการส่งเสริมสุขภาพ
มีความสามารถในการดูแลตนเองและครอบครัว อยู่ในสภาวะแวดล้อม
ที่เอื้อต่อสุขภาพ
ที่ตนเองสามารถจัดการได้อย่างเข้าใจ”
ตัวอย่างเช่น เวชกรรมสังคม หรือเวชปฏิบัติครอบครัว ไปฉีดวัคซีน
โดยเคาะตามบ้านครบ 100 หลังถือว่าครบ 100% แต่พอไม่ได้ออกไป
ชาวบ้านที่ลูกถึงกำหนดนัด รู้ถึงประโยชน์ของวัคซีน รู้เวลา
มีความตระหนัก
ด้านสุขภาพ ก็จะตรงมาที่รพ. บอกว่า มาขอฉีดวัคซืนเพราะ
วันนี้ลูกครบ
กำหนดฉีดวัคซีน เราหวังที่จะให้เป็นอย่างหลังมากกว่า
บางคนถึงกับบอกว่า แม่ส่วนใหญ่นั้นแม่ไม่รู้ว่าเราฉีดอะไรให้ลูกเขา
แม้ว่าจะรู้ชื่อ แต่ลึกๆแล้ว
มีไม่กี่คนที่รู้จริง ถามว่าแล้วทำไมเขายอมให้เราฉีด
เพราะว่าเขาเชื่อมั่นในเรา รักเรา และเชื่อว่าเราจะนำสิ่งดี ๆ
ไปให้ชีวิตลูกเขา ก็จะยิ่งพึ่งพิงพื่งพา
เราตลอด ถึงแม้เราจะถูกยอมรับ แต่นั่นก็หมายความว่า
เราจะต้องเหนื่อย
ไปตลอดกาล และจะหนักขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ความตระหนัก ความรู้
ความสามารถในการดูแลตนเอง ของประชาชน จะลดลงเรื่อยๆ
(ยังมีต่อครับ)
บทความอาจารย์อ่านแล้วได้ประโยชน์มหาศาลเห็นแนวทางและข้อควรระวังที่เราอาจละเลยไปได้ สร้างความรู้สึกอยากทำงานคุณภาพมากขึ้น อยากให้อาจารยเขียนต่ออีกคะ