ผมเข้าร่วมประชุมเรื่อง”บำนาญสำหรับผู้สูงอายุ”จัดโดยมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ โดยการสนับสนุนของสกว. เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2550
ที่ผมเข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ก็เพราะการบริหารจัดการกองทุนบำนาญแห่งชาติซึ่งนักวิชาการเสนอให้จัดตั้งขึ้นรองรับคนไทยอย่างถ้วนทั่วนั้นมีกรณีศึกษาเรื่องระบบสวัสดิการภาคประชาชนโดยขบวนสัจจะลดรายจ่ายวันละ1บาทของครูชบ ยอดแก้วที่สงขลาและเครือข่ายออมบุญวันละ1บาทจ.ลำปางจากงานวิจัยและข้อเสนอแนะของนักวิจัย 3 ท่านคือรศ.ดร.มัทนา พนานิรามัย รศ.ดร.ศุภวัฒนากร วงศ์ธนาวุส และผศ.ดร.วรเวศม์ สุวรรณระดา รวมทั้งการระดมความคิดเห็นจากผู้เข้าร่วมประชุม ผสมผสานกับข้อเสนอในรายงานการวิจัยของผม รวมทั้งงานเคลื่อนไหวที่ผมเกี่ยวข้องอยู่ด้วย ได้ก่อรูปความคิดที่เป็นข้อเสนอของผมต่อเรื่องนี้ ดังนี้
1) สวัสดิการบำนาญของผู้สูงอายุ1.1)สถานะภาพ-เบี้ยยังชีพคนชรา รัฐกลางกระจายอำนาจให้ท้องถิ่น
ปี 2536 จำนวน 20,000คน งบประมาณ12ล้านบาท ปี2550เพิ่มขึ้น87เท่าจำนวน1,755266คน งบประมาณ10,532ล้านบาท ครอบคลุมประชากร1ใน3ของผู้สูงวัย
-กองทุนบำนาญครูและครูใหญ่ร.ร.เอกชน
-กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ/ท้องถิ่น
-กองทุนประกันสังคม
*ประเทศไทยเข้าสู่สังคมวัยชรา มีผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น1.2)แนวคิดและการดำเนินงานขยายบำนาญเพื่อให้ครอบคลุมประชาชนทั้งประเทศ
-แนวคิดขยายเบี้ยยังชีพให้ครบทุกคน
-แนวคิดขยายกองทุนประกันสังคมให้ครอบคลุม
-กองทุนทวีสุขของธกส.
-กองทุนสวัสดิการภาคประชาชน
2) ข้อเสนอ2.1)ขยายกองทุนประกันสังคมให้ครอบคลุมกลุ่มอาชีพต่างๆ (จะเกี่ยวข้องกับสวัสดิการในเรื่องอื่นๆด้วย)
2.2)จัดตั้งกองทุนบำนาญแห่งชาติโดยความสมัครใจ/จูงใจผ่านกองทุนสวัสดิการภาคประชาชนทดแทนเบี้ยยังชีพ ซึ่งหากให้ครอบคลุมประชากรสูงวัยทั้งหมดต้องใช้งบประมาณ 31,596 ล้านบาทต่อปี (เดือนละ500บาทปีละ6,000บาทต่อคน คิดจากตัวเลขในปี2550)โดยมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นตามสัดส่วนประชากรสูงวัยที่เพิ่มขึ้น
หลักคิด-สวัสดิการบำนาญที่มีอยู่และที่จะขยายเพิ่มเติมเป็นสวัสดิการบนฐานอาชีพ /ลูกจ้าง-นายจ้าง ผู้ซื้อ-ผู้ขาย
-สวัสดิการบำนาญแห่งชาติโดยความสมัครใจ/จูงใจผ่านกองทุนสวัสดิการภาคประชาชนเป็นสวัสดิการบนฐานของความเป็นประชาชนชาวไทยที่มีภูมิลำเนาในท้องถิ่นและในอาณาเขตของรัฐไทยที่มาจากการพึ่งตนเองและพึ่งพากันของประชาชน ก่อรูปเป็นกลุ่มองค์กรชุมชนเพื่อเป็นเครื่องมือในการพัฒนาคน พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมเพื่อความยั่งยืนในระยะยาว ขบวนสัจจะลดรายจ่ายวันละ1บาททำสวัสดิการภาคประชาชนจังหวัดสงขลาเสนอให้รัฐจัดสวัสดิการให้กับประชาชนโดยการสมทบการจัดสวัสดิการของภาคประชาชนในอัตรา1ต่อ1ใน3ระดับ คือ
1.ท้องถิ่นระดับตำบล/เทศบาล
2.ท้องถิ่นระดับจังหวัด และ
3.ระดับชาติ
ประชาชน50คนเลือกผู้จัดการ1คนรวมตัวให้ได้อย่างน้อย100คนจัดตั้งกลุ่มระดับตำบลขึ้นตั้งสัจจะลดรายจ่ายวันละ1บาท สิ้นเดือนนำเงินมารวมกัน ครบ6เดือนจัดสวัสดิการ9เรื่องครอบคลุมการเกิดแก่เจ็บตายของสมาชิก
การดำเนินงานสวัสดิการภาคประชาชนด้วยรูปแบบสัจจะลดรายจ่ายวันละ1บาทเป็นนวัตกรรมที่ต่างจากกลุ่มออมทรัพย์เพื่อสวัสดิการทั่วๆไปคือ
-ไม่มีการปล่อยกู้ให้กับสมาชิก
-จัดสวัสดิการบำนาญให้สมาชิก
ครบ15ปีขึ้นไปอายุ60ปีได้บำนาญตั้งแต่เดือนละ300บาทถึง1,200บาทเมื่อเป็นสมาชิกครบ60ปี
3)รัฐบาลทำได้เลย ด้วยนโยบายให้การสนับสนุนผ่านกองทุนส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมภายใต้พรบ.ส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมพ.ศ.2546 เป็นรายปีตามจำนวนประชากรในแต่ละจังหวัด
3.1)อุดหนุนผ่านอบต.กึ่งหนึ่ง อีกกึ่งหนึ่งเป็นงบเบี้ยยังชีพ (ทยอยยุบเลิกเบี้ยยังชีพโดยเชื่อมโยงเข้าหากัน)
3.2)อุดหนุนผ่านอบจ.กึ่งหนึ่ง อีกกึ่งหนึ่งเป็นงบของอบจ.เอง
3.3)สำหรับการสมทบระดับชาติให้กองทุนสวัสดิการสังคมสมทบตามจำนวนของสมาชิกในแต่ละปี
ตัวอย่าง
จังหวัดนครศรีธรรมราชมีประชากรประมาณ1.6ล้านคนจะได้รับเงินกองทุนเพื่อการนี้ปีละจำนวน 584 ล้านบาท เงินจำนวนนี้จะจ่ายสมทบให้กับกลุ่มที่ได้จัดตั้งขึ้นอย่างน้อย 6 เดือน
คณะอนุกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมจะเป็นผู้กำหนดแนวทางในการสนับสนุน เช่น การสนับสนุนให้กลุ่มเกิดการรวมตัวเป็นสมาคมระดับจังหวัดเพื่อเป็นกลไกในการจัดการกันเอง ดังตัวอย่างของจังหวัดสงขลาผลที่เกิดขึ้น1)ระดมเงินสัจจะจากการลดรายจ่ายของประชาชนวันละ65ล้านบาทเดือนละ1,950ล้านบาทปีละ22,400ล้านบาท สามารถจัดตั้งเป็นธนาคารพัฒนาชุมชนของแต่ละจังหวัด2)ร่วมจัดสวัสดิการให้กับประชาชน 9 เรื่องด้วยงบประมาณ เพียงปีละ67,200 ล้านบาทโดยอาศัยกลไกของชุมชนซึ่งมีต้นทุนต่ำสุด
3)ก่อให้เกิดกระบวนการทางสังคมเพื่อการช่วยเหลือพึ่งพากันเสริมสร้างความเป็นชุมชนอย่างขนานใหญ่ซึ่งจะเชื่อมโยงไปสู่เรื่องอื่นๆต่อไป
4)เงินสมทบมาจากภาษีของรัฐ เป็นการเฉลี่ยจากคนมีมาช่วยคนจน โดยที่เงินบำนาญสำหรับคนมีอาจจะน้อยนิดซึ่งสามารถบริจาคเข้ากองทุนเพื่อช่วยคนยากจน ตามแนวคิดกองบุญเมตตาธรรม ทำบุญวันละ1บาทของพระอาจารย์สุบิน ปณีโต
กองทุนครูและครูใหญ่ ร.ร.เอกชน |
กองทุนบำเหน็จบำนาญ ขรก./ท้องถิ่น |
ขยายกองทุนประกันสังคม
|
กองทุน สำรองเลี้ยงชีพ |
กองทุนประกันสังคม
|
กองทุนสวัสดิการภาคประชาชน (บนฐานสมาชิก ตำบล/จังหวัด/ประเทศ) |
กองทุนบำนาญแห่งชาติ |
เบี้ยยังชีพ (บนฐานสิทธิ ตำบล/จังหวัด/ประเทศ) ทยอยลดจำนวนลง |
สวัสดีครับ อ.ภีม
สวัสดีครับอ.เอก
ผมสบายดีครับ
ทราบว่าอาจารย์สนใจงานสวัสดิการชุมชนอยู่เช่นกัน แต่ไม่แน่ใจว่าจะมีเวลาหรือไม่ จึงไม่ได้ชวนมาร่วมวง