หน้าแรก
สมาชิก
Kru-Salid
สมุด
สลิด ชูชื่น
Logistics
Kru-Salid
นาย สลิด ชูชื่น
สมุด
บันทึก
อนุทิน
ความเห็น
ติดต่อ
Logistics
การพัฒนาประเทศไทย ด้วยระบบโลจิสติกส์
(Logistics)
เมื่อกล่าวถึงคำว่า โลจิสติกส์
(Logistics)
หลายท่านคงอาจเคยได้ยินกันมาบ้าง แต่สำหรับท่านที่ยังไม่เคยรู้จัดเลยว่า
โลจิสติกส์นี้คืออะไร
มีขั้นตอนกระบวนการทำงานเป็นอย่างไร มีประโยชน์อย่างไร และมีผลกระทบกับใครบ้างรวมทั้งเกี่ยวข้องกับหน่วยงานใดคงต้องมาติดตามอ่านคอลัมน์จับถูกจุดในฉบับนี้
คำว่า
โลจิสติกส์
(Logistics)
ถ้าแปลให้ตรงตัวตามพจนานุกรมแล้ว แปลว่าการส่งกำลังบำรุงในทางทหาร
ซึ่งก็คือ การขนส่งยุทโธปกรณ์จากแนวหลังไปสู่แนวหน้าให้ถูกสถานที่ทันเวลา เป็นการดำเนินการสุดท้ายของการขนส่ง จากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง เราจึงได้นำเอาวิธีการดังกล่าวมาประยุกต์ใช้กับระบบการขนส่ง คมนาคม
ทำให้โลจิสติกส์ถูกบัญญัติให้เป็นความหมายของระบบการขนส่งในอีกนัยหนึ่ง
หมายถึงการจัดการวางแผน
กำหนดสายงานและควบคุมกิจกรรมทั้งการเคลื่อนย้ายและไม่เคลื่อนย้ายในการลำเลียงสินค้าจากที่หนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่งที่มีการบริโภค โลจิสติกส์ คือวิธีการและกระบวนการที่ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายและต้นทุนโดยรวมในการกระจายสินค้าให้ต่ำที่สุด
เพื่อการอำนวยความสะดวกของกระบวนการไหลของสินค้าตั้งแต่จุดเริ่มจนถึงมือผู้บริโภค
ประกอบด้วยกิจกรรมต่าง ๆ
2
ลักษณะ
คือ
กิจกรรมหลักและกิจกรรมสนับสนุนกิจกรรมหลักในกระบวนการไหลของสินค้า
ตามแนวคิดของโลจิสติกส์
คือ
กิจกรรมที่มีความสำคัญ
และมีผลกระทบต่อต้นทุนและการให้บริการของสินค้ามากที่สุด
ประกอบด้วยกิจกรรมหลัก
3
กิจกรรมด้วยกัน
คือ
1.
การขนส่ง
2.
การสินค้าคงคลัง
3.กระบวนการสั่งซื้อ
กิจกรรมสนับสนุนในกระบวนการไหลของสินค้าตามแนวคิดของโลจิสติกส์
คือ
กิจกรรมที่มีส่วนในกระบวนการกระจายสินค้า
และเป็นกิจกรรมที่สนับสนุนให้งานของกิจกรรมหลักดำเนินไปได้สะดวก
ได้แก่
การจัดการด้านโกดัง
การยกขน
การบรรจุหีบห่อ
การจัดซื้อจัดหา
การจัดตารางผลิตภัณฑ์
การจัดการด้าน
ข้อมูลหลักการง่าย ๆ ของโลจิสติกส์ในระบบของการขนส่ง
คือไปให้ถึงที่หมายอย่างถูกต้อง รวดเร็ว ทันเวลา
ในปัจจุบันด้านการแข่งขันของการค้า
ราคาสินค้า
จะอยู่ในภาคของอุตสาหกรรมและภาคเกษตร
ซึ่งมีราคากำหนดอยู่ในระดับหนึ่ง
ซึ่งเป็นตัวที่ควบคุมได้ยากในเรื่องของการกำหนดเวลา
ในส่วนของต้นทุนทั้งภาคเกษตรและอุตสาหกรรม
ในขั้นหนึ่งของการค้าขาย
มีส่วนหนึ่งที่สำคัญก็คือ
ถ้าค่าขนส่งราคาถูกก็จะช่วยลดภาระต้นทุนของสินค้าได้
ยกตัวอย่างเช่น
สินค้าที่เข้ามาทางท่าเรือจะทำอย่างไรให้ไปสู่โรงงานได้เร็ว
เพราะหากขนส่งมาจากท่าเรือช้า
ภารถต่าง ๆ จะเพิ่มขึ้น
เพราะฉะนั้นทำอย่างไรจึงจะไปถึงได้เร็ว ซึ่งก็คือ
ต้องมีเส้นทางที่เหมาะสมและประหยัด
ระบบถนนถือว่าเป็นระบบที่ประหยัดที่สุด
โดยรวมแล้ว
95 %
ของการขนส่งทั่วโลก
เป็นการขนส่งทางน้ำ
เพราะขนส่งได้มาก
รองลงมา
ก็คือ
ระบบรางและระบบถนน
ก็มีการศึกษายกตัวอย่างง่าย ๆ
ก็คือ
ใช้น้ำมัน
1
ลิตร
ระยะทาง
1
กม
.
ถ้าขนส่งทางน้ำจะขนส่งสินค้าหรือของ ประมาณ
217
ตัน
แต่ถ้าขนส่งในระบบรางโดยใช้น้ำมัน
1
ลิตร
ระยะทาง
1
กม
.
จะขนได้
85
ตัน
แต่ ถ้าทางถนนเหลือ
25
ตัน
ทั้งนี้เป็นข้อเปรียบเทียบให้เห็นว่าในภาคขนส่ง
ระบบน้ำกับระบบรางก็จะถูกที่สุดค่าขนส่งเป็นส่วนหนึ่ง
ในเรื่องของระบบโลจิสติกส์
เรามีกรรมวิธีกระบวนการระหว่างต้นทางถึงปลายทางเรือที่ขนส่งสินค้าเข้ามาทางท่าเรือ
ซึ่งก็มีกรรมวิธีในเรื่องของภาษีของการตรวจสินค้า
และเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
เช่นก็ในเรื่องของสารเคมี
ถ้ากระบวนการในส่วนนี้ช้าภาระจะเกิดขึ้น
ของหรือสินค้าที่จะไปส่งปลายทางก็จะช้าลงนั่นคือภาระเรื่องของต้นทุนจะสูงขึ้น
ดังนั้นระบบทั้งหมดก็เป็นเรื่องของการให้บริการในภาคการขนส่ง
ทำอย่างไรให้ส่งของได้ทันและถูกต้องมีการประสานกันหลายหน่วยงาน
กระทรวงคมนาคมในฐานะเป็นผู้รับสนองนโยบายจากรัฐบาล
ก็ได้มีการวางแผนนำระบบโลจิสติกส์มาพัฒนาระบบขนส่ง
ใช้ท่าเรือเป็นหลักประสานกันมีการจัดตั้งโครงข่ายถนน
4
เลน
ทั่วประเทศและโครงข่ายถนนเชื่อมในระหว่างตำบลไปหมู่บ้าน
และสิ่งที่ต้องเร่งพัฒนาคือ
ด้านของระบบถนน
ระบบราง
และระบบน้ำ
จากภาคเหนือของประเทศก็จะมีแม่น้ำโขงที่เป็นแม่น้ำระหว่างประเทศจีน
พม่า
ลาว
และไทย
โดยมีข้อตกลง
4
ฝ่าย
ในสี่ประเทศนี้สำหรับการเดินเรือในแม่น้ำโขงมีการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ
ท่าเรือเชียงแสนเป็นจุดหนึ่งในการขนส่งสินค้าที่สำคัญจากจีน
หรือว่าส่งสินค้าที่จะไปประเทศจีนรวมถึงสินค้าอื่นจากต่างประเทศผ่านท่าเรือเชียงแสนไปจีนตอนใต้
โดยเฉพาะรถยนต์มือสองจากต่างประเทศรวมทั้งญี่ปุ่นจะขนส่งผ่านประเทศไทย
จากท่าเรือคลองเตยหรือท่าเรือแหลมฉบังไปท่าเรือเชียงแสน
แล้วก็บรรทุกเรือขนาดประมาณ
150
ตัน
ไปประเทศจีนเป็นลักษณะการขนส่งสินค้าประเภทหนึ่งของประเทศที่อยู่ติดชายแดนหรือมีสินค้าที่ชายแดนอยู่แต่ไม่ใช่สินค้าที่ใหญ่หรือมีการขนส่งจำนวนมากเหมือนกับท่าเรือกรุงเทพหรือท่าเรือแหลมฉบัง
อีกประการหนึ่งคือต้องมีการพัฒนาท่าเรือที่ท่าเรือคลองเตย
หรือท่าเรือแหลมฉบังให้จัดอยู่ในระดับโลก
ที่จะให้บริการแก่ท่าและที่สำคัญต้องมีการเชื่อมโยงไปสู่ประเทศทางภาคใต้
ในอดีตการใช้ระบบทางน้ำยังไม่มีการทำถนนที่ดีนัก
ตอนหลังถนนก็ดีขึ้น
ส่วนในเรื่องของทางน้ำต้องลดบทบาทลงไป
ขณะนี้การพัฒนาที่จะเพิ่มขึ้นมาในการขนส่งสินค้า
กลับมาใช้ถนนเชื่อมโยงไปสู่ฝั่งตะวันตก
จากภาคเหนือลงมาภาคกลาง
แต่ด้านฝั่งตะวันตกของประเทศไทย
ไม่มีท่าเรือน้ำลึก มีแต่ท่าเรือที่จังหวัดระนอง
ในปัจจุบันได้มีการพัฒนาปรับปรุงท่าเรือแห่งนี้ขึ้นมาใหม่
โดยสามารถรองรับเรือได้เท่ากับขนาดที่ท่าเรือคลองเตย
ประมาณ
12,000
ตัน
เนื่องจากว่ามีความต้องการในการขนส่งสินค้า
ที่จะออกไปสู่ทางด้านประเทศอินเดีย
ศรีลังกา
สิงคโปร์
มาเลเซีย
ทางด้านฝั่งตะวันตก
เนื่องจากมีผู้ประกอบการสินค้าหลายรายได้เสนอว่า
ถ้าหากสามารถขนส่งสินค้าที่ท่าเรือระนองได้ จะประหยัดเวลาการขนส่งได้
7
วัน
จากเดิมจะขนส่งจากจังหวัดระนอง
หรือจังหวัดชุมพรไปที่ประเทศ
สิงคโปร์
ต้องไปที่ท่าเรือแหลมฉบัง
แล้วเดินทางไปสิงคโปร์
14
วัน
แต่ถ้าสามารถออกจากท่าเรือระนองได้ใช้เวลาเพียงแค่
7
วัน
เวลาที่สินค้าจะถึงปลายทางได้รวดเร็วขึ้น
ในขณะนี้ท่าเรือระนองกำลังทำการปรับปรุงในปี
2549
จะแล้วเสร็จ
จะสามารถเชื่อมโยงเส้นทางได้จากภาคเหนือ
จากประเทศจีนลงมาถึงภาคกลางและภาคใต้ถึงฝั่งอันดามัน
กรมการขนส่งทางน้ำกำลังวางแผนทำการศึกษาสร้างท่าเรือที่จังหวัดชุมพรอยู่
เพราะภูมิศาสตร์อยู่ทางชายฝั่งอ่าวไทย
เมื่อสร้างท่าเรือ
2
ฝั่งได้แล้ว
เราก็จะต้องมีถนนเข้าไปเชี่อมโยงระหว่างท่าเรือทั้งสองแห่งกับอีกจุดหนึ่ง
ก็คือ
ท่าเรือที่สตูล
ขณะนี้นโยบายรัฐบาลได้สร้างท่าเรือน้ำลึกทางชายฝั่งอันดามันที่เป็นท่าเรือสำคัญเทียบเท่ากับเรือที่จะสามารถเข้าไปได้ก็คือ
เรือขนาดที่เข้าท่าเรือแหลมฉบังได้
50,000
ตัน
เมื่อสร้างเสร็จแล้วจะมีถนนระบบราง
เข้าไปในปี
2549
ด้านกระทรวงคมนาคมจะตั้งงบประมาณในการก่อสร้างช่วงแรก
5,500
ล้านบาท
ในเวลาการก่อสร้าง
3
ปี
จะมีทางรถไฟเชื่อมทางถนน
ทางราง
ทางน้ำ
ในการขนส่งสินค้าที่จะเข้าไปสู่ทางยุโรปและประเทศอินเดีย
โดยไม่ต้องผ่านประเทศสิงคโปร์
ถ้าเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน
เช่นประเทศมาเลเซีย
ก็จะมีท่าเรือทางฝั่งตะวันตกที่สำคัญ
3
ท่าเรือ ขณะนี้ช่องแคบมะละกา
มีปัญหาของเรื่องความคับแคบและความไม่ปลอดภัย
ภาคขนส่งที่สำคัญคือ ทางน้ำภายในประเทศ
ขณะนี้กำลังศึกษาข้อมูลที่จะพัฒนาท่าเรือใหม่ให้มีมาตรฐาน
แล้วก็จะมีการสร้างท่าเรือซึ่งมีคลังสินค้ารองรับ
โดยใช้สถานที่ของการรถไฟ
ซึ่งเป็นการขนส่งภายในประเทศ
ที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นภาพรวมในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อมโยงในระบบน้ำ
ระบบราง
ระบบถนน
รวมทั้งท่าเรือทั้งภายในประเทศระหว่างประเทศและชายฝั่ง
และการขนส่งก็จะมีระบบรองรับที่ตามมาก็คือ
ระบบราง
เพราะเป็นการขนส่งที่ประหยัด
รัฐบาลจะเข้ามาดูแลโครงสร้างพื้นฐานในเรื่องการแก้ไขกฎระเบียบต่างๆ
เพื่อการเสริมสร้างระบบโลจิสติกส์ของประเทศ
จะเป็นการเปิดเรื่องของเส้นทางจะเห็นว่า ในปัจจุบันและในอดีตที่ผ่านมา
ถ้าไม่มีโครงข่ายระบบการขนส่งก็จะไม่สะดวกเป็นสิ่งที่เป็นนโยบายของรัฐบาลที่จะพัฒนาให้ตรงจุดเป็นกรอบเวลาของแผน
4
ปี
ส่วนโครงการที่ตามมาคือถนนการปรับปรุงขยายถนน
เพื่อให้รองรับการขนส่งสินค้าโดยเฉพาะตู้คอนเทนเนอร์
จึงต้องมีการขยายถนนที่กว้างพอ
มีความลาดชันที่รองรับได้
และในเรื่องระบบราง
ทางรถไฟ
กำลังศึกษาอยู่ว่าจะทำการเชื่อมโยงอย่างไรให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่เป็นผู้นำในด้านโลจิสติกส์ในภูมิภาค
เพื่อเป็นการเสริมสร้างระบบเศรษฐกิจของประเทศให้มั่นคง
ในส่วนของพลังงาน
ถ้าคนไทยหันมาใช้บริการระบบรางกับทางน้ำมาขึ้น
ลดการใช้รถยนต์ลงการใช้พลังงานก็ลดลงตามไปด้วย
เพราะในต่างประเทศ
เช่น อังกฤษ
อเมริกา
ออสเตรเลีย
ระบบรางกับระบบน้ำมีความสำคัญมาก
ส่วนในประเทศไทย
โดยภาพรวมนั้นใช้ถนน
88
%
ระบบรางประมาณ
2 %
ระบบน้ำ
10 %
ถ้าอีก
4
ปี
ข้างหน้า
เราอาจจะเห็นภาพที่เปลี่ยนไปของระบบการขนส่ง
อาจใช้ระบบการขนส่งทางน้ำ
ระบบรางมากขึ้นสามารถลดต้นทุนในการผลิต
ผู้บริโภคจะได้ใช้สินค้าในราคมที่ถูกลง
ซึ่งถือเป็นนโยบายที่สำคัญของรัฐบาลไทย
การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทยมีหน่วยงานของรัฐบาลที่เกี่ยวข้องหลายองค์กรที่ร่วมกันประชุมหารือประสานงานระดมสมองแก้ปัญหา
เพื่อเปิดมิติใหม่ให้กับระบบการขนส่งสินค้า อาทิ กระทรวงคมนาคม และกระทรวงการคลัง
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(
สศช
.)
สำนักงบประมาณ
กรมศุลกากร
การท่าเรือแห่งประเทศไทย
(
กทท
.)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อร่วมกันทำให้ระบบโลจิสติกส์เป็นรูปธรรม
อย่างเช่น
บันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการขนส่ง
(Port - to - Door )
และ
Door - to - Port
ข้อตกลงเพิ่มประสิทธิภาพของขนส่งสินค้า และข้อตกลง
การนำส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ด่วนถึงมือผู้รับส่วนยุทธศาสตร์ทางอากาศนั้น
มี
3
ยุทธศาสตร์หลัก คือ
Global
Distination
Network
โดยขยายเครือข่ายเส้นทางบินครอบคลุมทั่งโลก
เป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของสินค้า ในกลุ่มประเทศจีเอ็มเอส และเอเซียใต้
พัฒนาท่าอากาศยานนานาชาติให้เป็นประตูระดับโลกโดยให้สนามบินสุวรรณภูมิเป็นประตูสู่ระดับโลก
โดยให้สนามบินเชียงใหม่และภูเก็ตเป็นประตูสู่ภูมิภาค
เป็นศูนย์กลางของโลจิสติกส์ของโลกด้านอาหาร ผัก ผลไม้สด ดอกไม้ แฟชั่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
อะไหล่รถยนต์
และเครื่องประดับ
การแข่งขันในตลาดโลกนับวันยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆความรวมเร็ว และต้นทุนทีทถูกลงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบ
เพราะประเทศไทยมีต้นทุนการขนส่งสินค้าสูงถึง
25-30 %
จึงต้องเร่งแก้ปัญหา
นอกเหนือจากการร่วมมือกับประทรวงการคลัง
เพื่อวางแผนในการกำหนดแผนพัฒนา
โลจิสติกส์
ระดับประเทศแล้ว
ส่วนของกระทรวงคมนาคมจะดูว่ามีศูนย์กระจายสินค้าคลังสินค้าที่รวบรวมสินค้าแล้วดูว่าจะส่งไปถึงปลายทางได้อย่างไร
แต่เดิมเคยคิดว่าจะให้มีคลังสินค้า
4
มุมเมือง
แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร
ขณะนี้กำลังดูรูปแบบที่เหมาะสมแล้วจะนำมาผสมผสานกับการขนส่งในหลายรูปแบบ
ทั้งทางรถยนต์
รถไฟ
เรือ
มาเชื่อมโยงกัน
เพื่อให้สินค้าขนส่งได้เร็วที่สุดในราคาถูกที่สุด
หากเป็นการขนส่งทางอากาศต้องเป็นสินค้าที่มีราคาแพง
บรรจุภัณฑ์ที่สวยงาม
ต้องการความรวดเร็วหรือเป็นสินค้าเทกอง
โดยเฉพาะสินค้าเกษตรต่างๆ ก็ต้องขนส่งทางเรือ
การบริหารจัดการเพื่อความรวดเร็วนั้นสำคัญ
แต่ว่าการขนส่งให้ต้นทุนถูกก็สำคัญเช่นกันแล้วแต่สินค้าแบบไหน
แต่ต้องมีการบริหารจัดการสินค้าคงคลัง
เพราะโลจิสติกส์
คือการควบคุมทุกอย่าง
ซึ่งเรามีข้อมูลแล้วว่าสินค้าแต่ประเภทจะขนส่งทางไหนบ้างจึงจะคุ้มค่าที่สุด
กระทรวงคมนาคมได้วางยุทธศาสตร์ในการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ไว้ทั้งทางภาคพื้น
และทางอากาศโดยในทางภาคพื้นนั้น
มี
4
ยุทธศาสตร์หลัก
คือ
พัฒนาท่าเรือไทยให้เป็นประตูไปสู่ภูมิภาคโดยการรถไฟแห่งประเทศไทย
(
ร
.
พ
.
ท
. )
จะต้องขยายขีดความสามารถของสถานะบรรจุและแยกสินค้ากล่อง
(
ไอซีดี
)
ให้มากขึ้น
ขณะที่องค์กรขนส่งสินค้า และพัสดุภัณฑ์
(
ร
.
ส
.
พ
.)
ต้องตั้งสถานีบรรจุและขนถ่ายตู้สินค้า
เพื่อการนำเข้าและส่งออกย่านพหลโยธิน
ส่วน
กทท
.
ก็ต้องปรับปรุงท่าเทียบเรือให้รองรับเรือ
Roll on-Roll
off
ระหว่างประเทศได้ควบคู่ไปกับพัฒนาท่าเทียบเรือภูมิภาคให้เข็มแข็งมากขึ้น
พัฒนาศูนย์รวบรวมและกระจายสินค้า
โดยตั้งฮับประจำภาค
เพื่อประสานระบบขนส่งให้สมบรูณ์
โดยมีโครงการที่จะพัฒนาย่านคอนเทนเนอร์ในภูมิภาคไปยังปลายทาง
พัฒนาวิธีการขนส่งไปสู่ระบบรางทางน้ำ และทางท่อ
เพื่อให้การขนส่งมีปริมาณมากขึ้น
แต่สามารถลดต้นทุนการขนส่ง
และประหยัดพลังงาน
ซึ่งสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร
(
สนข
.)
ได้เริ่มศึกษา เพื่อพัฒนาระบบรางน้ำ
และท่อให้เกิดความเชื่อมโยงกันแล้ว
ส่วน ร
.
ฟ
.
ท
.
นั้น
ก็ต้องเร่งก่อสร้างทางคู่ในช่วงชุมทางเส้นทางขนส่งสินค้ามายังท่าเรือแหลมฉบังให้มากขึ้นด้าน บทด
.
ต้องเร่งส่งเสริมใช้เรือ
Roll on-Roll
off
ให้มากขึ้นเช่นกัน
พัฒนาระบบเกี่ยวข้องกับการจัดการด้านโลจิสติกส์
สำหรับระบบการขนส่งทางภาคพื้น
เพื่อให้บริการแบบ
Door - to - Door
ซึ่งได้ตั้งคณะกรรมการโลจิสติกส์แห่งชาติขึ้นมาแล้ว
เพื่อให้เป็นเจ้าภาพในการดำเนินการทั้งหมด
พร้อมทั้งปรับปรุงกฎระเบียบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่มีขั้นตอนมากๆ ให้น้อยลงนำระบบไอทีเข้ามาใช้มากขึ้น
การสนับสนุนให้ประชาชนหันมาใช้ระบบขนส่งมวลชนให้มากขึ้น
สำหรับการขนส่งคนโดยเฉพาะระบบรางมีเพียง
42
ก
.
ม
.
เท่านั้น
โดยรัฐบาลมีโครงการที่จะก่อสร้างการขนส่งด้วยระบบรางให้ครบ
200
ก
.
ม
.
ภายใน
6
ปี
โดยมีวงเงินลงทุน
400,000
ล้านบาท
การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ในประเทศไทยจะก้าวหน้าไกลเทียบเท่ากับนานาอารยประเทศได้หรือไม่นั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับรัฐบาล
หรือกระทรวงคมนาคมเท่านั้น
แต่ขึ้นอยู่กับความร่วมมือของหน่วยงานและองค์กรที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน
และปัจจัยต่างๆที่เป็นตัวแปลของต้นทุนในการขนส่ง
ระบบการจัดเก็บ
และคลังสินค้าที่กลายเป็นอุปสรรค
แต่ถึงอย่างไรเพื่อประเทศไทยแล้ว
รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่าง
สนข
.
ไม่ได้นิ่งนอนใจ
ยังคงระดมสมองคิดหาวิธีวางแผนพัฒนา ระบบโลจิสติกส์ต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง
เพื่อให้ระบบการขนส่งและคมนาคมมีความสะดวกรวดเร็ว
ถูกที่ มีต้นทุนต่ำ
เขียนใน
GotoKnow
โดย
Kru-Salid
ใน
สลิด ชูชื่น
คำสำคัญ (Tags):
#การศึกษา
#การประกันคุณภาพการศึกษา
หมายเลขบันทึก: 133026
เขียนเมื่อ 29 กันยายน 2007 16:44 น. (
)
แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 20:41 น. (
)
สัญญาอนุญาต:
จำนวนที่อ่าน
จำนวนที่อ่าน:
ความเห็น (0)
ไม่มีความเห็น
ชื่อ
อีเมล
เนื้อหา
จัดเก็บข้อมูล
หน้าแรก
สมาชิก
Kru-Salid
สมุด
สลิด ชูชื่น
Logistics
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID
@gotoknow
สงวนลิขสิทธิ์ © 2005-2023 บจก. ปิยะวัฒนา
และผู้เขียนเนื้อหาทุกท่าน
นโยบายความเป็นส่วนตัว (Privacy Policy)
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท