ต้องสู้


ต้องสู้..ถึงจะชนะ

ต้องสู้                 เมื่อหลายปีที่แล้ว มีนักร้องของไทยคนหนึ่ง บ้านเกิดอยู่นครราชสีมา มีชื่อเป็นภาษาจีนว่า เจินเจิน   นามสกุลเป็นภาษาถิ่นว่า บุญสูงเนิน ได้ร้องเพลงๆ หนึ่งที่เนื้อร้องมีสาระ ทำนองก็ดี โด่งดังไปทั่วประเทศ จำชื่อเพลงไม่ได้แล้ว แต่จำเนื้อร้องของเพลงท่อนสั้นๆ ได้ว่า สามสิบลิขิตฟ้า เจ็ดสิบต้องฝ่าฟัน ต้องสู้ ต้องสู้ถึงจะชนะ                 เพลงนี้สะท้อนความจริง หากใครจะเชื่อว่าชีวิตนี้ฟ้าลิขิต ก็มีสิทธิเชื่อได้ แต่อย่าเชื่ออย่างสุดจิตสุดใจ เชื่อสักสามสิบเปอร์เซ็นต์ก็พอ เพื่อเป็นเครื่องปลอบใจ สำหรับผู้ที่พึ่งตนเองไม่ได้ แต่จะต้องเชื่อมั่นในการกระทำของตนเอง และขยันหมั่นเพียร ลงมือกระทำอย่างจริงจังอีกเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์                แม้มีความจริงปรากฏตามกฎอนิจจังว่า มีขึ้น มีลง มีแพ้ มีชนะ มีมืดมีสว่างสลับสับเปลี่ยนกันไป ณ ที่ใดมีการต่อสู้ ก็ต้องมีทั้งแพ้ทั้งชนะ แต่การต่อสู้กับอุปสรรคที่ผ่านมาในชีวิตด้วยความทุ่มเท ตั้งใจจริงจัง ขยัน อดทน ศึกษาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงยุทธวิธีไปเรื่อยๆ โอกาสชนะย่อมมีมากกว่าความพ่ายแพ้                ดังมีนิทานจะเล่าให้ฟังต่อไปนี้ว่า กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ท้องทุ้งกว้าง  ที่มีธารน้ำใสเย็นไหลผ่านชั่วนาตาปี ทำให้ท้องทุ่งมีความชุ่มชื้น ประเภทดินดำ น้ำชุ่ม ต้นไม้ใบหญ้ารอบๆบริเวณ ที่เขียวชอุ่ม ใกล้ๆ ท้องทุ่งนั้นก็เป็นภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยแมกไม้นานาพันธ์ เป็นที่พักเพิงของเหล่าสัตว์น้อยใหญ่ ที่ต้องการความร่มเย็นจากต้นไม้ที่ปกคลุมอยู่อย่างหนาแน่น                วัวฝูงหนึ่งจำนวนหนึ่งร้อยตัว อาศัยอยู่บริเวณท้องทุ่ง มันจะเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ  แต่ไม่ไกลไปจากท้องทุ่งที่อุดมสมบูรณ์แห่นี้ ต่อมาไม่นาน เสือหนุ่มตัวหนึ่งก็เดินทางมาถึงแผ่นดินอันเขียวขจีนี้ และยึดเอาภูเขาเป็นที่อาศัย เพราะได้ทั้งสถานที่แฝงเร้นกายอย่างมิดชิด และมีสัตว์ต่างๆ ที่สามารถจับกินเป็นอาหารได้อยู่มากมาย          อยู่มาวันหนึ่งเสือเห็นวัวฝูงใหญ่นั้น พากันเดินทอดน่องแทะเล็มหญ้าอบยู่กลางทุ่ง อย่างสุขสำราญ ก็แอบกระหยิ่มใจว่า นอกจากจะได้ถิ่นที่อยู่ที่แสนจะร่มเย็นมั่นคงแล้ว ก็ยังได้พบอาหารอันโอชะเดินขวักไขว่อยู่เต็มท้องทุ่งอีกด้วย                เมื่อเสือรู้สึกหิวขึ้นมาก็ลงจากภูเขา ไล่ตะปบขบกัดวัวตัวใดตัวหนึ่งแล้วลากพำไปไว้ที่เชิงเขา ค่อยๆ กินจนเนื้อหมดเหลือแต่โครงกระดูกแล้วก็ลงมาตะปบขบกัดวัวตัวอื่นๆ ต่อๆ กันไปเอาตามชอบใจ ไม่ค่อยมีวัวตัวใดคิดต่อสู้เลย ฝูงวัวจะมีปฏิกิริยาโต้ตอบเสือบ้างก็เพียงแต่วิ่งหนีให้พ้นจากกรงเล็บของเสือเท่านั้น                วัวฝูงนั้นจึงอยู่ในสภาพระวังภัย วัวตัวไหนกำลังดี ฝีเท่าดีก็จะวิ่งหนีเอาตัวรอดจากกรงเล็บเสือไปได้ วัวตัวไหนเล็กเกินไปหรือแก่เกินไปไม่มีกำลังพอที่จะวิ่งได้เร็วก็ถูกเสือตะปบขบกัดอย่างทรมานแล้วก็ตายกลายเป็นอาหารเสือไป                วัวได้เรียนรู้และเชื่อต่อๆ กันมาว่า ถ้าเห็นเสือมาก็ต้องวิ่งหนีเอาตัวรอด ใครหนีเร็วก็รอด ใครหนีช้าก็ตาย เพราะมีความเชื่อฝังหัววัวมานานว่า เสือต้องเก่งกว่าวัวเพราะล้มวัวได้                กาลเวลาผ่านไปเนินนาน ประธานวัวจึงหันมาสำรวจจำนวนวัวทั้งฝูงเหลือเพียงเจ็ดสิบตัว ถูกเสือกินไปสามสิบตัว หัวหน้าวัวจึงเรียกประชุมวัวทั้งหมดเพื่อแจ้งข่าววิกฤตการณ์ดังกล่าวให้ทราบโดยทั่วกัน จากนั้นได้อภิปรายถึงสาเหตุของการหายไปของเพื่อนในฝูงอย่างกว้างขวาง และสรุปลงที่สาเหตุสำคัญว่า เพราะเสือลงมาขบกัดกินเป็นอาหารนั้นเอง                จากนั้นก็อภิปรายกันต่อว่า จะหนีเสือกันไปอยู่ที่ไหนกันดี วัวแต่ละตัวก็เล่าประสบการณ์ว่า ไปหากินมาหลายท้องทุ้งแล้ว แต่ไม่มีที่ไหนจะมีหญ้าและน้ำอุดมสมบูรณ์เช่นที่นี่เลย ควรจะอยู่ที่นี้ต่อไป ประธานวัวได้ถามต่อไปอีกว่า  เราจะปล่อยให้พี่น้องในฝูงตายต่อไปหรือจะทำอย่างไรให้พ้นภัยจากเสือ                วัวตัวหนึ่งเป็นวัวหนุ่มรูปร่างปราดเปรียว ฝีเท้าเร็ว ก้าวออก มาต่อหน้าที่ประชุมแล้วตะโกดังๆ ว่า ต้องสู้ ต้องสู้ วัวอื่นๆ ที่ได้ฟังก็ตกใจว่าทำไมวัวหนุ่มอายุน้อยแต่บังอาจไปพูดคำว่า สู้  กับเสืออย่างนั้น ท่านประธานวัวก็เลยถามวัวหนุ่มตัวนั้นว่า จะสู้อย่างไร                วัวหนุ่มเสนอแผนยุทธศาสตร์ว่า ท่านทั้งหลายเห็นคุณค่าของตัวเองหรือยัง พวกเราชาววัวได้เปรียบเสือมากเพราะพวกเรามีเขาตัวละสองเขา เจ็ดสิบตัวก็ร้อยสี่สิบเขา ถ้าร้อยสี่สิบเขากระแทกเข้าไปตรงตัวเสือพร้อมๆ กันอะไรจะเกิดขึ้น                วัวที่ฟังในที่ประชุมตอบด้วยความมั่นใจว่า เสือเละ เสือเละ เสือเละ สิ้นเสียงตอบของวัวในฝูง วัวหนุ่มก็กล่าวต่อไปว่า ถ้าอย่างนั้น ขอให้พวกเราจับกลุ่มกันให้แน่น เวลาเคลื่อนที่ไปกินหญ้ากินน้ำที่ไหนให้ไปพร้อมๆ กันนอนรวมในที่เดียวกัน อย่าแตกฝูง แตกหมู่ จะได้มีกำลังต่อสู้กับเสือได้                วัวหนุ่มกำหนดยุทธวิธีต่อไปว่า เมื่อเราอยู่กันเป็นกลุ่มเป็นก้อนใหญ่ก็จะสามารถป้องกันความสูญเสียได้ เวลาที่เราเห็นเสือลงมาจากภูเขาต้องรีบลุกขึ้นทันที วัวที่มีกำลังดีที่สุดสิบตัวยืนแถวหน้า วัวที่มีกลังปานกลางอยู่แถวถัดมาตามลำดับ ส่วนวัวแก่และลูกวัวอ่อนให้อยู่หลังสุด เมื่อเสือเดินมาระยะใกล้ จงวิ่งเข้าชนเสือพร้อมๆ กันทั้งสิบตัว อย่าให้เสือทันตั้งหลัก ถ้าสิบตัวแรกไม่สามารถปะทะกับเสือได้ขอให้สิบตัวต่อไปพุ่งเข้าเสริมกำลังวันต่อมาเสือมองเห็นวัวแทะเล็มหญ้าอยู่กลางทุ่งอย่างพร้อมเพรียงก็คิดว่า อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันอย่างนี้ดีแล้วจะได้เลือกกินได้ตามชอบใจ คิดดังนั้นแล้วก็เดินมายังฝูงวัวโดยไม่ได้ระมัดระวังตัวแต่อย่างใด มัวแต่มองว่าจะเลือกตัวไหนดีที่เนื้อนิ่มและหวาน                พอเสือเข้ามาใกล้นัก ฝูงวัวชุดแรกก็ออกวิ่งพุ่งใส่เสือโดยที่เสือยังไม่ทันตั้งตัว ยี่สิบเขาเสียบร่างเสือพร้อมกัน เสือดิ้นรนด้วยความตกใจ แต่สายเกินไปเสียแล้วเสือหมดหนทางป้องกัน แม้แต่จะวิ่งหนีเอาตัวรอดก็ยังทำไม่ได้                วัวหนุ่มเจ้าของรัฐศาสตร์วิ่งปราดมายืนใกล้ๆ ผู้กล้าหาญทั้งสิบ ที่เขายังเสียบเสืออยู่ กล่าวว่า พี่น้องทั้งหลายบัดนี้เจ้าวายร้ายที่คร่าชีวิตพื่น้องของเราไปมากมาย ก็จบชีวิตลงแล้ว ต่อแต่นี้ไปทุ่งหญ้าเขียวและธารน้ำใสก็จะเป็นสมบัติของเราสืบไป พวกเราจะเดินแทะเล็มหญ้าโดยตั้งใจโดยมิได้หวาดกลัวสิ่งใดๆ อีกต่อไป                 พี่น้องเห็นแล้วหรือยังว่า ความจริงของดีที่ป้องกันอันตรายก็มีอยู่บนหัวของเราเท่าๆ กัน แต่ตราบใดที่เรายังไม่เห็นคุณค่าของตนเอง เราก็ไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้เลย สิ่งสำคัญที่พวกเราควรตระหนักไว้คือ ตราบใดที่พวกเราต่างคนต่างอยู่ตัวใครตัวมัน สุดท้ายอันตรายจะมาถึงตัว แต่เมือเรารวมพลังขึ้นสู้ ศัตรูที่หน้ากลัวก็จะพ่ายแพ้ยับไปอย่างง่ายดาย แล้ววัวทุกตัวตะโกนขึ้นพร้อมกันว่า    ต้องสู้....ต้องสู้....ถึงจะชนะ

                  พระธรรมนำชีวิต

   ที่มา:ดร.พระมหาจรรยา สุทธิญาโณ
คำสำคัญ (Tags): #no tag
หมายเลขบันทึก: 131963เขียนเมื่อ 26 กันยายน 2007 16:32 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 20:38 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท