จะหัวร่อก็มิได้ จะร่ำไห้ก็มิออก


จะหัวร่อก็มิได้ จะร่ำไห้ก็มิออก

จะหัวร่อก็มิได้ จะร่ำไห้ก็มิออก

“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เมื่อครั้งที่พระเจ้าสร้างโลก
พระองค์มีถุงหนังใบใหญ่เอาไว้ใส่ของวิเศษต่างๆ
พระองค์เริ่มต้นด้วยการสร้างมหาสมุทรทั้ง 7 โดยการวางของวิเศษของพระเจ้า
พระองค์จะต้องวางทั้งของดีและของไม่ดีคู่กันไป
เพื่อไม่ให้ประเทศหนึ่งประเทศใดสมบูรณ์ไปกว่าประเทศอื่นๆ
ทรงเอาเทือกเขาร็อกกี้ น้ำตกไนแองการ่า วางไว้ให้อเมริกา
แล้วก็เอาทะเลทรายอริโซนา กับพายุทอร์นาโด วางไว้ด้วย
เอาป่าอเมซอนวางไว้ให้บราซิล ทรงเอาไข้ป่าวางไว้ให้ด้วย
เอาขั้วแม่เหล็กโลกวางไว้ให้แคนาดา แต่ก็ทรงเอาความหนาวเย็นวางไว้ให้
เอาเทือกเขาหิมาลัยให้ทิเบตกับเนปาล เพื่อเป็นปราการกั้นข้าศึก
แต่ก็เอาความเบาบางของอากาศและความแห้งแล้งไว้ให้
ทุกประเทศจะได้ของคู่กันแบบนี้
ทั้งหมดจึงไม่มีประเทศไหนใดน้อยหน้ากว่ากัน
แต่พระองค์ทรงลืมประเทศรูปขวานเล็กๆทางแหลมอินโดจีน
ทรงสะพายถุงวิเศษแล้วก้าวข้ามภูเขาหิมาลัยไป
แต่ด้วยความที่เขาสูงมาก จึงเกี่ยวถุงของพระเจ้าขาด
ข้าวของดีๆที่เตรียมเอาไว้ให้ประเทศอื่นๆ
เช่น ชายหาดสวยๆ ผืนดินอุดมสมบูรณ์ ศิลปวัฒนธรรมดีๆ อาหารอร่อยที่สุดในโลก
ดอกไม้ ผลไม้ ชายทะเล ก็เทไปกองรวมกันที่ประเทศไทยหมด
ว้า แย่แล้ว พระเจ้าทรงคิด
ประเทศนี้ท่าทางต้องเจริญกว่าประเทศอื่นทั้งหมดแน่นอน
พระเจ้าทรงมองหาภัยธรรมชาติที่จะมาถ่วงดุล แต่สายเสียแล้ว
พระองค์ทรงเอาภูเขาไฟกับแผ่นดินไหวให้ญี่ปุ่นไปแล้ว
ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ ประเทศอื่นๆจะมาฟ้องร้องพระองค์ได้ว่าไม่ยุติธรรม
จะมีภัยธรรมชาติอันใดหนอ ที่จะทำให้ประเทศไทยไม่เจริญกว่าประเทศอื่นได้
เมื่อทรงคิดได้
เพื่อเป็นการป้องกันประเทศอันสมบูรณ์ที่สุดในโลกนี้ไม่ให้ล้ำไปกว่าที่อื่นๆ
พระองค์ก็เลยสร้าง “คนไทย” ขึ้นมา
ถ้ามีคนไทยอยู่ละก็ ต่อให้สมบูรณ์แค่ไหน ไทยก็ไม่มีวันเจริญ”

เป็นอย่างไรบ้างครับ อ่านแล้วรู้สึกว่านิทานเรื่องนี้ จบลงด้วยมุขที่จะหัวร่อก็มิได้ จะร่ำไห้ก็มิออก และยัง เป็นเหมือนอย่างที่บางทีเราเคยได้คุยกันในวงสนทนาว่าเมืองไทยของเรานั้นดี....ทู้กกอย่าง เสียอยู่อย่างเดียวคือมีคนไทยมาอาศัยอยู่ นิทานเรื่องนี้ผมได้ คัดลอกมาจากคอลัมน์ของ คุณลม เปลี่ยนทิศ ในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เพราะอ่านแล้วรู้สึกว่ามันช่างโดนใจเสียเหลือเกินยิ่งตอนจบของนิทานอ่านแล้วสะอึกไปเลย และถ้าลองเหลียวมองรอบกาย ด้วยใจเป็นธรรมจะเห็นว่า คนไทยมักจะเป็นคนที่ขาดระเบียบวินัย คุณธรรมและจริยธรรม คิดแต่จะเอาเปรียบกันแบบศรีธนญชัย (แล้วบอกว่าตัวเองเป็นคน Mega clever)

ครั้งหนึ่งผมเคยค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่อง 7 อุปนิสัยของผู้ที่มีประสิทธิภาพสูง (7 Habbits)พบว่าอุปนิสัยที่ 1 ที่สำคัญที่สุดตามที่ผู้เขียนคือ สตีเวน อาร์ โควี เน้นมากก็คือ อุปนิสัยที่เป็น Proactive แปลเป็นไทยให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ ใครจะไม่ทำก็ช่าง เพราะฉันจะลงมือทำเอง ซึ่งมันจะตรงกันข้ามกับนิสัยของคนไทย ที่คิดแบบ Reactive ก็คือ ใครอยากจะทำก็ทำ ยกเว้นฉันคนนึงก็แล้วกัน เลยลองวิเคราะห์ดูว่าทำไม คนไทยส่วนใหญ่ถึงเป็นคนแบบ Reactive ผลที่ได้ออกมามี 5 ข้อ ดังนี้ ครับ..

สาเหตุแห่งการเป็นคนแบบ Reactive ของคนไทย
1.ถูกเลี้ยงดูมาอย่างดีเกินไป เมื่อเป็นเด็กพ่อ แม่ เลี้ยงดูโดยติดตามดูแลคอยประคับประคองอยู่ตลอดเวลา และดูแลไปทุกๆเรื่อง จนทำให้เด็กไม่สามารถดูแลตัวเองได้ เพราะในปัจจุบันแม้สังคมจะเปลี่ยนไปแต่ลักษณะในการเลี้ยงลูกไม่เปลี่ยนตาม

2.สบายมากไปโดยไม่เคยได้รับความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส เช่น ภัยธรรมชาติ หรือภัยจากสงครามครั้งใหญ่ เป็นต้น ทำให้ปล่อยชีวิตไปตามสภาพแวดล้อมมากกว่าเอาชีวิตไปจัดการกับสภาพแวดล้อม

3.ความไม่มีวินัยในตนเอง เช่น มักที่จะทำตามใจตนเองมากกว่าที่จะทำตามระเบียบ สังเกตง่ายๆจากวินัยในการจราจรเพราะปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากผู้ขับขี่ทำผิดกฏจราจร

4.อิทธิพลจากระบบเจ้าขุนมูลนาย ทำให้ผู้ที่อยู่ใต้การบังคับบัญชาใช้ชีวิตแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก เพราะชีวิตถูกบริหารโดยเจ้านาย ในการดำเนินชีวิตจึงอยู่แบบเรียบง่ายไม่ทำผิดระเบียบเจ้านายก็เพียงพอ

5.มีความเข้าใจในเรื่องประชาธิปไตยแบบผิด โดยสร้างมุมมองเกี่ยวกับสิทธิของตนไม่ถูกต้องคิดว่าทำอะไรตามใจก็ได้เพราะเป็นสิทธิส่วนบุคคล ทำชีวิตให้อิสระเต็มที่ ซึ่งบางครั้งอาจเป็นการสร้างความเดือดร้อนให้บุคคลอื่นได้ เช่น การเปิดเครื่องขยายเสียงในเขตบ้านของตน แม้จะเป็นในเขตบ้านของตนเองก็ตาม แต่เสียงมันไปรบกวนบ้านอื่นๆในบริเวณนั้นได้เช่นกัน เห็นได้ว่าแม้พัฒนาการด้านระบบการปกครองของไทยก้าวหน้ามากขึ้น แต่พัฒนาการด้านความคิดของคนไม่ได้พัฒนาตามไปด้วย

หากนโยบายของรัฐต้องการจะให้ประเทศของเราเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ จุดอ่อนในเรื่องของอุปนิสัยที่เป็นคน Reactive ควรได้รับการแก้ไข เดี๋ยวฉบับหน้าเรามาทำความเข้าใจกันต่อในเรื่องอุปนิสัยแบบ Proactive นั้นเป็นอย่างไร และเราจะสามารถเป็นผู้มีอุปนิสัยที่มีประสิทธิที่ภาพสูงได้หรือไม่ โปรดติดตามต่อตอนหน้านะครับ...

ไม่แน่ ...หากเราทำสำเร็จเมื่อไหร่ เราอาจจะเป็นประเทศที่เจริญที่สุดในโลกเหมือนที่พระเจ้าทำหล่นให้มาก็เป็นได้



ที่มา.อินไซด์ มธจ.
คำสำคัญ (Tags): #มนัสเต
หมายเลขบันทึก: 131889เขียนเมื่อ 26 กันยายน 2007 13:34 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 20:38 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท