ตี๋ตระกูลซ่ง(๕)
อัยการชาวเกาะ
ผมตั้งใจจะเขียนสี่ตอนจบ แต่อดใจไม่ไหวกับคติธรรมดีๆในละครเรื่องนี้ ก็เลยอยากจะเอามาเล่าสู่กันฟังด้วยความประทับใจ
ตอนที่อาไช้หรือชานมาอยู่ที่บ้านเนื่องจากถูกตีจนสมองเสื่อมจำความไม่ได้ เล้งอิจฉาที่ใครๆต่างพากันเป็นห่วงและรักอาไช้ บ่นกระปอดกระแปดว่าทำไมอากงไม่รักษาให้อาไช้หายเร็วๆเขาจะได้ไปเสียทีอยู่เปลืองข้าวเปลืองน้ำ อากงก็บอกว่าเขาเดือดร้อนมาเราเป็นร่มไม้แม้จะไม่ใหญ่โตแต่ก็เป็นร่มไม้เดียวที่เขาพอจะอยู่ได้ เล้งถามอากงว่าช่วยเขาแล้วเราได้อะไร อากงบอกว่า “ทำดีอย่าหวังสิ่งตอบแทนนะอาเล้ง ลื้อจำเอาไว้นะ ยามให้ไม่ควรยึด ยามรับควรตอบแทน ถ้าลื้อคิดได้เมื่อไร ลื้อจะพบกับความสุขที่แท้จริงเมื่อนั้น”
คนเราถ้าคิดแบบนี้ได้จะไม่เจ็บใจ หมอดูหลายคนเจอหน้าผมก็จะทำนายทายทักว่าโหงวเฮ้งดี แต่คุณเป็นคนทำคุณกับใครไม่ขึ้น ผมก็ได้แต่หัวเราะแฮ่ะๆๆ แรกๆเป็นหนุ่มก็เคยคิดอย่างที่หมอดูบอกว่าเออ..เราทำคุณกับใครไม่ขึ้นจริง มีแต่คนหาเรื่องเดือดร้อนมาให้ คอยดูนะเอ็งอย่าพลาดมาก็แล้วกัน ข้าฯจะฟันให้หมอไม่รับเย็บ คอยดู แต่พอเราอายุมากขึ้น เราก็นึกว่าช่างมันเหอะ เพราะชีวิตมันไม่เคยเจอคำว่าความสุข มันจะอิจฉาริษยา มันจะรำคาญคนทำความดีแต่ไม่เข้าข้างมัน มันจะโกรธเพราะไม่พิจารณาให้ความดีความชอบเป็นพิเศษ ทั้งๆที่มันทำงานไม่ได้เรื่องแต่อยากได้สองขั้น ทั้งที่มันมีปัญหากับเพื่อนร่วมงานทั้งสำนักงาน แต่มันกลับรู้สึกตัวเองว่ามันถูกแกล้ง ถูกเพื่อนร่วมงานนินทาตลอดกาล ช่างมันเหอะ เรารู้ของเรา และเราทำคุณกับเขาเพื่อสร้างบารมีให้กับตัวเราเอง เพื่อใช้หนี้เวรกรรมที่เราเคยทำกับเขาไว้ในอดีต เวลาไหว้พระสวดมนต์ก็อโหสิให้
เมื่อไม่นานมานี้ก็มีร่างทรงคนหนึ่งเข้ามาที่สำนักงาน ก็ทักผมเรื่องทำคุณกับใครไม่ขึ้น พอผมบอกว่าผมไม่ถือโทษเขาหรอกเพราะผมอโหสิ เมื่อเราให้เขาเราก็เหนือกว่า คิดแบบนี้ก็สบายใจดี เดี๋ยวนี้ก็เลยไม่คิดอะไรว่าใครจะตอบแทนบุญคุณเราหรือไม่ ช่างมัน ร่างทรงคนนั้นก็บอกว่ายิ่งคุณอโหสิเขา เขาก็จะรับกรรมของเขาทันที เฮ้อ.......ใครรับกรรมที่ก่อไว้กับผม ช่วยไม่ได้จริงๆง่ะ ขนาดอโหสิแล้วยังต้องรับกรรมอีก ก็ไม่รู้จะช่วยมันยังไง แฮ่ะๆๆ แต่ใครที่มีบุญคุณกับเรานี่ไม่ได้เลย เราต้องตอบแทนทุกโอกาส และผมไม่ได้คิดว่าผู้มีบุญคุณมีเพียงมนุษย์หรือคน แม้แต่สถานที่ที่เราเคยได้ใช้ก็ถือว่าสถานที่แห่งนั้นเคยมีบุญคุณกับเราเหมือนกัน ทุกวันนี้ก็เลยต้องตอบแทนสถานที่เรียน เข้าไปช่วยงานโรงเรียน ช่วยงานของกระทรวงศึกษาธิการ จนรู้สึกเหนื่อยเหมือนกันแฮะ ชักจะนอกเรื่องไปใหญ่แล้วขอกลับเข้ามาที่ละครต่อดีกว่า
ตอนที่ชานหรืออาไช้หนีออกจากบ้านเพราะรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนสร้างความวุ่นวายในบ้านเป็นเหตุให้เล้งต้องออกจากบ้าน ทุกคนในบ้านก็ต้องวุ่นวายตามหาชานและตามหาเล้ง จนกิมเน้ยถึงกับเอ่ยปากว่า “ทำไมบ้านเราถึงเจอแต่เรื่องร้ายๆไม่จบสิ้นซะทีนะกง” อากงก็สอนว่า “ยามสบายควรคิดถึงยามลำบากเอาไว้เพื่อเตือนสติ แต่ยามลำบากลื้อไม่ควรคิดถึงยามสบายให้มาเปรียบเทียบ” เห็นไหมว่าอากงมีปรัชญาดีๆ ให้ได้คิด อากงบอกว่าเวลามีความสุขก็อย่าได้หลงเพลินจนลืมอดีตว่าเราเคยยากลำบากมาก่อนและกว่าจะสบายได้ เราสู้เราทำอย่างไรจนมาถึงวันที่เรามีความสุข แต่พอยามเราลำบากก็อย่าเอาตอนที่เรามีความสุขมาเปรียบเทียบเพราะจะยิ่งทำให้เราท้อ เคยเห็นมาหลายรายแล้วครับตอนมีฐานะดีลูกอยากได้อะไรก็ซื้อให้ ลูกก็เอาทรัพย์สินที่พ่อแม่ซื้อให้ไปอวดคนอื่น แถมดูถูกดูแคลนเพื่อนที่ไม่มี แต่พอถึงคราวที่พ่อแม่มีปัญหาทางการเงิน แทนที่จะบอกให้ลูกรับรู้จะได้รับสถานการณ์ได้ ก็ปกปิดไว้กลัวลูกจะรับไม่ได้ ลูกก็ไม่รู้ยังใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายเหมือนเดิม จนในที่สุดธนาคารยึดบ้านขายทอดตลาด ลูกรับไม่ได้คิดฆ่าตัวตาย อ้อ...ไอ้ที่ว่าเห็นมาหลายรายขอแก้ไขเป็นเห็นมาหลายเรื่อง ฮิฮิ เพิ่งนึกออกว่าดูจากละครทีวี แฮ่ะๆๆๆ ขอว่าต่อ คือ อากงบอกว่าตอนที่ยากลำบากไม่ควรคิดถึงตอนสบาย เราจะต้องอดทนกับความยากลำบากให้ได้ เพราะ “ความอดทนหลีกเลี่ยงทุกข์ภัยที่ใหญ่หลวงได้”
ตอนที่อาเล้งถูกป่องหลอกใช้ให้เอาปืนเถื่อนไปส่งลูกค้า เล้งแอบเปิดถุงใส่ซองมาดู รู้ว่าเป็นอาวุธปืนก็เลยเอาไปคืนป่อง และบอกป่องว่าเขาทำงานนี้ไม่ได้เพราะอากงสอนว่า “ของมีพิษห้ามกิน ของผิดกฎหมายห้ามทำ” ไม่ต้องแปลไม่ต้องอธิบาย ก็ลองกินของมีพิษดูซิ ดีไม่ดีถึงกับตาย ของผิดกฎหมายลองทำดูซิดีไม่ดีก็ถูกจับติดคุก
อากงสอนลูกหลานทุกคน อาฟู่เองก็จำได้ว่าอากงสอนว่า “เดินด้วยขาตัวเอง ดีกว่ารอคนมาพยุง” เหมือนกับอากงบอกว่าการทำอะไรด้วยตัวเองดีที่สุดเพราะไม่ติดค้างบุญคุณใคร และเรายังมีความรู้สึกภาคภูมิใจในสิ่งที่ตัวเราทำ แต่ถ้าเราลุกขึ้นยืนได้แต่เกิดจากการที่มีคนคอยช่วยพยุง อย่างน้อยแม้จะเกิดความภาคภูมิใจแต่มันก็ไม่เต็มที่เหมือนกับเราลุกขึ้นด้วยตัวเราเอง ถ้าคิดจะมองภาพนี้ก็ลองนึกถึงลูกหลานของเราตอนที่กำลังหัดยืนหรือหัดเดินดูซิครับ เขาจะสนุกกับการลุกขึ้นยืนด้วยตัวเอง และค่อยๆก้าวด้วยขาตัวเองอย่างรู้สึกภาคภูมิใจ ใครไปจับก็จะปัดทันที ยังไงยังงั้น
ดูละครแล้ว ควรดูให้มีประโยชน์อย่าดูเพียงเพื่อความบันเทิงอย่างเดียวเท่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกใบนี้มีประโยชน์ทั้งนั้น แต่ต้องเข้าใจสัจจะธรรมของโลกใบนี้ว่าไม่มีอะไรดีพร้อม ไม่มีอะไรไม่ดีทั้งหมด มันต่างมีดีมีเสียในตัวของมัน เราก็เลือกเอาแต่เรื่องดีๆมาเป็นตัวอย่าง เอาเรื่องดีๆในละครมาเป็นบทเรียนสอนลูกหลานอย่าให้เขาดูแต่ทีวีสนุกไปวันๆ ขอให้รู้จักใช้บทละครมาเป็นเรื่องชวนลูกหลานพูดคุยเสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรม และยังทำให้ครอบครัวใกล้ชิดกันมากขึ้น
ละครจบลงแล้วพร้อมข้อคิดดีดีที่ผมนำมาเล่าสู่กันฟัง ไว้คราวหน้าช่องสามมีอะไรดีดีจะเขียนให้อ่านกันต่อนะครับ วันนี้ขอฝากคำสอนของพ่อค้าชาวจีนที่สอนลูกหลาน “กำไรมากกำไรน้อย กำไรน้อยกำไรมาก” ใครคิดออก ร่ำรวยครับ คิดไม่ออก ก็ปล่อยให้งง.....ฮ่าๆๆจบไปอีกหนึ่งเรื่อง หนังจีนมักมีภาษิตสอนใจดีๆ จริงๆ ค่ะ อิอิ
โอ้โฮ..อ.อ้อย อ่านมันมากเลยหรือครับ อิอิ
เพราะคนเขียน เขียนให้อ่านแล้วสนุกค่ะ แต่จริงๆ ต้องยอมรับว่า อ่านอะไรจากคอมพิวเตอร์มากๆ เพลียสายตามากค่ะ บางครั้งอยากอ่านรวดเดียวแต่แสบตามาก ไม่งั้น ไปถึงเรื่องสุดท้ายแย้ววววว อิอิ