ตี๋ตระกูลซ่ง(๔)


พัฒนาจิตใจด้านคุณธรรมจริยธรรม

ตี๋ตระกูลซ่ง (๔)

                                               อัยการชาวเกาะ

 

            การดูละครทีวี ถ้าดูแล้วคิดหรือเอาประโยชน์จากละครมาเป็นบทเรียนชีวิตมันก็น่าดูเพราะมันจะได้สาระที่เขาแฝงไว้ในละครนั้น ละครทุกเรื่องมันมีดีของมันแม้แต่ละครที่นักวิจารณ์เรียกว่าน้ำเน่าก็ตาม แต่ละครน้ำเน่ามันจะมีเรื่องคุณธรรมจริยธรรมสอดแทรกอยู่เสมอ เรามองอะไรก็ขอให้มองแต่ส่วนดี อย่าไปมองส่วนที่ไม่ดี

            ละครเรื่องตี๋ตระกูลซ่ง ผมชอบดูตรงที่มีคติสอนใจ ส่วนใหญ่อากงจะเป็นคนพร่ำสอน อากงบอกว่า  อย่ากลัวที่จะก้าวไปช้าๆ แต่จงกลัวการอยู่นิ่งเฉย  อากงพูดให้กำลังใจลูกชายที่พะวงเรื่องรายได้ของครอบครัว และพูดว่าไม่รู้ว่าจะใช้เวลาอีกนานแค่ไหนบ้านเราถึงจะกลับไปมีกินมีใช้เหมือนเดิม

            คติธรรมข้อนี้ใช้ได้ดีในยุคปัจจุบัน ผมขอยกตัวอย่างง่ายๆ จะทำของขาย จะทำส้มตำ ฉันไม่ทำหรอกเพราะมีคนขายเยอะอยู่แล้ว(นิ่งเฉย) หรือจะหาบเร่ขาย เพราะถึงจะมีร้านเยอะแต่ฉันหาบขายไปถึงที่ ถึงมันจะรวยช้า(ก้าวไปช้าๆ) แต่มันก็มีรายได้   และหากเราคิดจะก้าวให้เร็วขึ้น อาจจะต้องคิดสูตรใหม่ เป็นต้น เราลองมาเทียบกับคอมพิวเตอร์ ถ้าผลิตชิปมาขาย แล้วไม่พัฒนา คนอื่นเขาพัฒนาก็เหมือนกับเรานิ่งเฉย รับรองตามเขาไม่ทัน  ถ้าพัฒนาไม่ทันคนอื่นเขาแต่ยังพัฒนาก็ยังดีกว่าไม่พัฒนาเลย จริงไหมครับเพราะเมื่อไรที่หยุดการพัฒนา คุณจะแพ้ทันที ชีวิตมนุษย์ก็เช่นเดียวกัน ถ้าพัฒนาจิตใจของเราเรื่อยๆ เราก็เป็นคนดี ถ้าเราไม่พัฒนาจิตใจเลยปล่อยให้ลุ่มหลงอยู่ในวังวนของกิเลส เราก็เดือดร้อน นะโยมนะ....

            ตอนที่เจินมาเลียบเคียงจะขออาไช้ไปเป็นลูกบุตรธรรมและจะพาไปอยู่ฮ่องกง กิมเน้ยก็ปรารภกับเจิน ถึงอาไช้ว่าเป็นเด็กฉลาดก็จริงแต่ในเมื่อฐานะครอบครัวไม่ดีก็ไม่รู้จะเอาเงินที่ไหนไปส่งเสียให้เรียนสูงๆ เจินจึงพูดกับกิมเน้ยว่า ทุกข์ของวันข้างหน้าก็เก็บเอาไว้ไปทุกข์วันข้างหน้าเถอะเจ๊

            คำพูดนี้ถูกต้องที่สุด คนเรามักคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ศาสนาพุทธสอนให้เรามองปัจจุบัน อย่าไปลุ่มหลงกับอดีต อย่าไปวาดฝันกับอนาคตให้ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด แต่เรามักจะหวังในสิ่งที่ไม่แน่นอน เช่น ถูกหวย ได้ลาภลอย หรือไม่ก็ฝังอยู่กับอดีต โดยเฉพาะผู้หญิงที่เป็นเมียมักจะมีความจำเป็นเลิศ เรื่องเก่าสมัยหนุ่มๆแอบไปมีกุ๊กมีกิ๊กที่ไหนจำได้หมด เคยทำอะไรไม่ดีไว้ไม่เคยลืม แฮ่ะๆๆ ผมไม่ได้ว่าใครนะ พูดให้ฟังเท่าน้านนนนน

            อาเหมยก็มีวิธีการสอนลูกที่ดี ผิดกับอาหงส์(เมียน้อยเจ้าสัวสรรชัย) มีอยู่ครั้งหนึ่งตอนที่เคี้ยงยังมีชีวิตและย้งบุตรชายเข้าสานต่อการเชิดสิงโต และต้องไปแข่งขันกับเถ้าแก่ซุยคู่ปรับเก่า อาหงส์บอกหมั่งหลีลูกสาวเหมยว่า เชื่อเถอะหมั่งหลี เถ้าแก่ซุยชนะอยู่แล้ว แต่อาเหมยสอนลูกว่า ความประมาทเป็นหนทางสู่ความพ่ายแพ้ เราไม่ควรนึกว่าตัวเองแน่แล้วดูถูกความสามารถคนอื่น คำสอนของเหมยที่ให้ลูกรู้จักคิดรู้จักเขารู้จักเราเป็นการสอนลูกที่ดี แต่พ่อแม่ยุคนี้มักจะสอนลูกให้เอาชนะคู่แข่งและประมาทคู่แข่งเพราะเขาด้อยกว่าในเรื่องฐานะ เขาด้อยกว่าเรื่องรูปร่างหน้าตา เขาด้อยกว่าในเรื่องโอกาส ฯลฯ เรื่องเหล่านี้ล้วนแต่ทำให้ลูกนิสัยเสียและเข้ากับสังคมได้ยาก หาเพื่อนแท้ยาก

            เมื่อย้งตกลงมาเสียชีวิตจากการเชิดสิงโต ทำให้เคี้ยงร้องไห้เสียใจอย่างมากที่ตนเป็นต้นเหตุทำให้ลูกตาย จนอากงต้องปลอบใจว่า อาเคี้ยงถ้าลื้อมัวจมปลักอยู่กับอดีตที่ขมขื่น อนาคตลื้อไม่มีวันสดใสงดงามได้อีกหรอก หักห้ามใจซะบ้างเถอะ เสียใจแต่พอดี ชีวิตเป็นอย่างอากงว่าจริงๆ คนเราถ้ามัวจมปลักอยู่กับความเลวร้ายในอดีตจะเอาพลังจากที่ไหนก้าวหน้าต่อไปล่ะ อากงยังสอนปรัชญาชีวิตต่อไปอีกว่า เสียเงินทองถือว่าเสียเพียงหนึ่ง เสียชื่อเสียงถือว่าเสียมากกว่าหนึ่ง แต่หากว่าสูญเสียกำลังใจถือว่าเสียทุกสิ่ง ผมก็มานั่งวิเคราะห์ความหมายซึ่งไม่รู้ถูกผิดแค่ไหน แต่การสูญเสียทรัพย์สินเราเสียอย่างเดียว  ทรัพย์เสียไปเราหาเอาใหม่ได้  แต่ในเรื่องชื่อเสียงเราเสียมากกว่าหนึ่งเพราะคนขาดความเชื่อถือ และพอเสียชื่อเสียงไปแล้วไม่ใช่เพียงแค่รายเดียวแต่มันกลายเป็นว่าคนที่เขารู้เรื่องนี้ขาดความเชื่อถือเราไปด้วยทั้งๆที่เรื่องนี้ไม่ได้เกิดกับเขา และในเรื่องชื่อเสียงเราแก้ไขยากกว่าเสียทรัพย์ แต่ถ้าคนเราสูญเสียกำลังใจ  มันไม่มีแรงลุกขึ้นมาต่อสู้อีกแล้ว ทุกอย่างจะเลวร้ายลงไปเรื่อยๆ ยิ่งถ้าไม่มีใครคอยให้กำลังใจ ช่วยให้เขาได้คิด ช่วยให้เขามีพลัง ชีวิตของเขาก็หมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างจริงๆ

            คราวนี้ทุกข์มาถึงกิมเน้ยเพราะเคี้ยงหมดกำลังใจวันๆเอาแต่กินเหล้าเมามายจนถูกรถชนตายไปอีกคน กิมเน้ยมาไหว้ศาลเจ้ากับอากงและพูดกับอากงว่า หวังว่าครอบครัวเราคงจะไม่เจอเรื่องเลวร้ายไปกว่านี้อีกแล้วนะเตี่ย อากงก็พูดให้ฟังเรื่องฟ้าลิขิต แต่ก็บอกว่า ยามเจริญรุ่งเรืองไม่ประมาทมัวเมา ยามอับเฉาเราต้องอดทน ครอบครัวใดที่เจริญรุ่งเรืองแล้วประมาท ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายไม่รู้จักเก็บหอมรอมริบ ลูกหลานก็จะช่วยกันผลาญ อนาคตก็จะมีปัญหา แต่พอชีวิตมีปัญหาเราไม่อดทนเราก็สู้หน้าอยู่ในสังคมไม่ได้ สิ่งที่อากงพูดก็คล้ายสุภาษิตจีนบทหนึ่งที่เขาบอกว่า ไม่มีครอบครัวใดร่ำรวยเกินสามชั่วอายุคน ไม่มีตระกูลใดจนเกินสามชั่วอายุคน จะเห็นว่ามนุษย์มีกิเลสและกิเลสตัวนี้แหละที่ทำให้มนุษย์มีปัญหา เรามองเห็นตัวอย่างในสังคมมากมายเริ่มจากความยากจน หัวหน้าครอบครัวจะเป็นคนเก็บหอมรอมริบ ขยันขันแข็งในการทำงาน ครอบครัวก็จะสบายขึ้น ร่ำรวยขึ้น มาถึงรุ่นที่สองก็พัฒนาต่อ เริ่มจากลูกที่เคยยากลำบากมาก่อนก็จะช่วยงานที่บ้าน ลูกคนไหนที่เกิดมาตอนครอบครัวเริ่มสบายก็จะถูกตามใจ เป็นคนเอาแก่ใจตัวเอง งานการไม่ทำ ชอบเที่ยวสนุกสนานไปวันๆ  พอมาถึงรุ่นที่สามลูกหลานแทบทุกคนซึ่งครอบครัวสบายก็จะถูกตามใจ คราวนี้ก็จะเป็นคนเอาแต่ใจตนเอง มองตัวเองว่าสูงกว่าชาวบ้าน ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ไม่รู้จักเก็บ ทำงานโดยอาศัยฝีมือลูกน้องพ่อหรือลูกน้องอากง  ถ้าลูกน้องขัดใจก็จะมีปัญหา งานก็จะเริ่มเสื่อมความสามัคคีของญาติพี่น้องก็จะจางลงเพราะทุกคนมุ่งที่ผลประโยชน์ในทางทรัพย์สินมากกว่าความสัมพันธ์ฉันท์น้องพี่ กลายเป็นเอาเงินมาพูดไม่ใช่เอาสายใยรักของครอบครัวมาพูด

          ในทางกลับกัน ครอบครัวที่ยากจน ต้องปากกัดตีนถีบ ทุกคนในครอบครัวต้องช่วยกันทำงาน ต้องช่วยกันเก็บออมประหยัดเพราะไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้จะมีกินหรือไม่ ก็จะทำงานด้วยความขยันขันแข็ง ครอบครัวก็จะมีฐานะดีขึ้น คนในครอบครัวมีพลังที่จะถีบตัวสูงขึ้น การเรียนก็จะเก่งเพราะมีเป้าหมายว่าจบแล้วจะได้ทำงานดีๆไม่เหนื่อยแต่มีรายได้ตอบแทนสูง แล้วครอบครัวจะร่ำรวยขึ้น พอร่ำรวยขึ้นลูกหลานก็จะเริ่มเอาแต่ใจตนเอง แล้วก็เข้าอีหรอบเดิม แต่ว่าครอบครัวที่ยากจนก็ไม่มีครอบครัวไหนที่จนไปตลอดชาติเพราะคนในครอบครัวจะพัฒนาตัวเองจนเกิดความร่ำรวย ท่านลองคิดดูและมองเพื่อนบ้านข้างเคียงดูนะเป็นอย่างที่ผมว่าหรือเปล่า

            ตอนที่อาเล้งวางแผนเอาชนะอาไช้ในการประกวดมิสเตอร์ไชน่าทาวน์ แต่กลับกลายเป็นทำให้อาไช้ชนะการประกวด เล้งมาบ่นด้วยความเจ็บใจ อาม่าก็สอนว่า ชัยชนะจากการทำลายคนอื่นไม่มีใครเขาสรรเสริญหรอกนะอาเล้ง  แต่อาเล้งก็ว่าคำสรรเสริญช่วยให้อาม่าหายป่วยได้ไหมล่ะ เรื่องนี้ทำให้กิมเน้ยโกรธที่ลูกไม่เชื่อฟังผู้ใหญ่ บอกให้กลับมาขอโทษอาม่าอากง เล้งก็เดินไปไม่สนใจ กิมเน้ยบ่นว่าไม่รู้ผ่าเหล่าผ่ากอความบ้าดีเดือดมาจากไหน แต่อากงก็ให้สติว่า แม่น้ำสายเดียวกันก็มีทั้งเรือมังกรและแพสวะ......พี่น้องท้องเดียวกันก็ใช่ว่าจะดีเลวเหมือนกันหมดนะอาเน้ยผมชอบคำเปรียบเทียบนี้ เพราะมันมองเห็นภาพเลยจะเลี้ยงลูกให้เหมือนกันทุกคนมันยาก เพราะแต่ละคนมีจิตใจไม่เหมือนกัน ลูกคนนี้อาจจะอยากได้ทรัพย์เยอะๆ ลูกอีกคนไม่อยากได้ไม่อยากมีเอาแต่พอกินพอใช้ ลูกอีกคนอยากทำโน่นทำนี่ให้พ่อแม่ไม่คิดถึงตัวเองคิดแต่คนอื่น ลูกอีกคนก็คอยดูแลพ่อแม่ทำงานของตัวอย่างมีความสุข  หากมีลูกหลายคนคนสุดท้องก็มีความคิดสร้างสรรค์มีอิสระทางความคิดอาจเป็นคนเก่งเฉพาะทาง แต่ลูกมีเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือความกตัญญู ถ้าพ่อแม่มีลูกแบบนี้ คงมีความสุขพิลึกเพราะพ่อแม่จะไม่มีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจ ลูกก็สร้างแต่สิ่งดีงามให้กับสังคมเปรียบเสมือนสายน้ำมีแต่เรือหงส์กับมังกรแล่นไปแล่นมา

            จบตอนนี้ด้วยเรื่องแบบนี้ ท่านจะได้มีอารมณ์ดี ตอนแรกตั้งใจจะเขียนสี่ตอนจบ แต่ปรัชญาที่ได้จากละครเรื่องนี้มีเยอะ ก็เลย..ขออีกตอนเถอะนะ...แฮ่....
หมายเลขบันทึก: 130593เขียนเมื่อ 22 กันยายน 2007 11:04 น. ()แก้ไขเมื่อ 5 มิถุนายน 2012 18:41 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท