เจ้าหน้าที่ตึกเพชร
พี่เอี้ยงตึกเพ็ชร นางพยาบาล และ บุรุษพยาบาล

ไข้เลือดออก


เป็นแล้ว เป็นอีกได้
ไข้เลือดออก  เป็นการติดเชื้อไวรัส  มีเชื้ออยู่สองชนิดใหญ่ๆที่ทำให้เกิดไข้เลือดออก  คือ  เชื้อเดงกี่(dengue  )  และชิกุนกุนย่า(chigunkunya) มากกว่า  90%  เกิดจากเชื้อตัวแรก  เชื้อเดงกี่มี4พันธ์โดยทั่วไป  ในการรับเชื้อครั้งแรก  มักไม่ค่อยมีอาการรุนแรงมากนัก  ซึ่งสามารถเกิดในเด็กๆ  ตั้งแต่อายุ 6 เดือนขึ้นไป  การติดเชื้อครั้งต่อไปจะรุนแรงขึ้น  และภูมิคุ้มกันที่มีจะไม่ช่วยป้องกันไม่ให้เราเป็น  แต่กลับให้เกิดการติดเชื้อครั้งรุนแรงขึ้น  หมายความว่าเป็นแล้ว  เป็นอีกได้                อาการในการติดเชื้อครั้งแรก  มักจะมีอาการไข้สูงลอย  เหมือนไข้หวัดใหญ่  และจะไม่ค่อยมีอาการเลือดออกหรือช็อค  ต่อมาถ้าได้รับเชื้อซ้ำ  ซึ่งอาจเป็นพันธ์เดียวกัน  หรือคนละพันธ์  ก็จะมีการกระตุ้นเกิดปฏิกิริยา  จำไว้ว่า  คนเป็นไข้เลือดออก  แย่จากภูมิคุ้มกันของเขาเอง  ที่ทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง  ก่อให้เกิดอาการเลือดออก  การบวมจากสารน้ำไหลออกจากหลอดเลือดที่โดนทำลาย  อาจมีน้ำในปอด  ตับ  ลำไส้  กระเพาะ  และช็อคได้โดยทั่วไป  การติดเชื้อที่ทำให้เกิดอาการรุนแรง  มักตามหลังการติดเชื้อตั้งแรก  ไม่เกิน  5  ปี  นั่นคือ  เราพบว่า  เป็นโรคของเด็กเล็ก  อายุน้อยกว่า  10  ขวบ  แต่ปัจจุบัน  พบว่ามีการกลายพันธ์ของไข้เลือดออกทำให้เป็นรุนแรงในผู้ใหญ่ได้                พาหะยุงลาย  Aedes  aegypti  เป็นพาหะนำโรค  ยุงนี้จะกัดคนที่เป็นโรค  และไปกัดคนอื่นๆ  ในรัศมีไม่เกิน  400  เมตร  ยุงนี้ชอบแพร่พันธ์ในน้ำนิ่ง  หลุม  โอ่งน้ำขัง  และจะออกหากินในเวลากลางวัน                อาการของการติดเชื้อซ้ำ  แบ่งเป็น  3  ระยะ  คือ                ระยะไข้สูง  จะมีไข้สูงลอย  ไม่ยอมลง  หน้าแดง  ปวดเมื่อย  ดื่มน้ำบ่อย  มักมีอาเจียน  เบื่ออาหาร  มักไม่ค่อยมีอาการหวัด  คัดจมูก  ไอ  หรือเจ็บคอ  แต่บางคนก็มีก็  อาจมีท้องเสีย  หรือท้องผูกราวๆ 3 วันจะมีผื่นขึ้นตามตัว  จุดเลือดออกเล็กๆ  ตามหน้า  ซอกรักแร้  แขน  ขา  อาจมีปวดท้องในช่วงนี้  ถ้าทำการทดสอบที่เรียกว่า  ทูร์นิเคต์(Tourniquet)  โดยรัดแขนด้วยเชือกหรือเครื่องวัดความดันประมาณ  5  นาที  จะพบจุดเลือดออกมากกว่า  20  จุด  ในวงกลมที่วาดไว้ที่ท้องแขนที่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง  1  นิ้ว  ถ้าไม่เป็นหนัก  จะดีขึ้นใน  3-7  วันและเข้าสู่ระยะหาย                ระยะช็อคและเลือดออก  มักจะเกิดในวันที่  3-7  ในระยะนี้  เด็กไข้ลง  แต่แทนที่อาการจะดี  พบว่า  อาเจียนมาก  ปวดท้อง  ซึม  กระสับกระส่าย  ตัวเย็น  เหงื่อออก  ปัสสาวะเข้ม  ออกน้อย  ชีพจรเต้นเบาเร็ว  ความดันต่ำ  ถ้าไม่รีบรักษาจะ ช็อคและเสียชีวิตได้  ภายใน 1-2วัน  นอกจากนี้  ผู้ป่วยจะมีเลือดออกตามที่ต่างๆ  เช่น  จ้ำตามผิวหนัง  อาเจียน  ถ่าย  เลือดกำเดา  ประจำเดือนเป็นเลือดมาก  ระยะนี้จะกินเวลา  2-3  วันและจะเข้าสู่ระยะต่อไป                ระยะฟื้นตัว  อาการจะดีขึ้น  อาการแรกที่บ่งว่าหายคือ  จะเริ่มอยากกินอาหาร  มีผื่นของการหาย ที่เป็นแดงสลับขาวแผ่ตามแขนขาลำตัว

                การรักษา  ไม่มียาเฉพาะ  รักษาตามอาการ  พยายามให้เด็กดื่มน้ำมากๆ  หรือน้ำเกลือแร่  ถ้ามีความสงสัยว่าไข้ยังสูง  มีตัวแดง  เกิดในหน้าฝน  ต้องรีบนำไปเทสต์ทันที  ห้ามให้เด็กรับประทานยา  แอสไพริน  หรือยาแก้อักเสบอื่นๆ  เพราะอาจทำให้เลือดออกในกระเพาะได้  ถ้าไข้ไม่ลงให้เช็ดตัว  และให้พาราเซตามอล  ในกรณีที่ไข้ไม่ยอมลง  ให้หมั่นเช็ดตัว  อย่าให้พาราเซตามอล                           การป้องกัน  ทำลายแหล่งเพาะพันธ์ของยุงลาย  เช่น  ฝาโอ่ง  โอ่งน้ำ  ที่รองขาตู้  กระถาง  ยางรถยนต์  กระป๋อง แจกัน  วิธีที่สะดวกอีกแบบคือ  ใส่  ทรายอะเบต  (abate)  ชนิด  1%  ลงในตุ่มน้ำ  และภาชนะในอัตรา  10  กรัมต่อน้ำ  100  ลิตร  ควรเติมใหม่ทุก  2-3  เดือน  ให้เด็กนอนกลางมุ้งตอนกางวัน  ในชุมชนเมื่อเข้าหน้าฝน  หรือมีการระบาด  ควรแจ้งอนามัยเพื่อมาจัดการมาทำลายแหล่งเพาะพันธ์หรือฉีดยากำจัดยุง

โดย คุณ เพียงพิษ  ศรีษะนาราช

คำสำคัญ (Tags): #เชื้อไวรัส
หมายเลขบันทึก: 129619เขียนเมื่อ 19 กันยายน 2007 15:42 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 20:30 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท