ในมุมมองของการทำเกษตรอินทรีย์ ส่วนใหญ่เราจะโฟกัสไปที่กิจกรรมที่ทำเพื่อสนองตอบ/สนับสนุนกิจกรรมทางการเกษตรที่เป็นกิจกรรมหลักของเกษตรกรทั่วไป โดยกิจกรรมที่เราดำเนินการกันส่วนใหญ่ เช่น ทำปุ๋ยหมักชีวภาพ ทำน้ำหมักชีวภาพ (สูตรต่างๆ แล้วแต่ว่าจะได้วัตถุดิบจากอะไรมาเป็นส่วนผสม เช่น มะเฟือง มะกรูด ผลไม้ตามฤดูกาล>>>น่ากินนะ หรือแม้แต่น้ำหมักชีวภาพจากสัตว์)
ในแรกเริ่มเดิมที ที่เริ่มกระทำกิจกรรมต่างๆ ที่พูดถึงเนี่ย ยังไม่เจอปัญหามากนัก เนื่องจากวัตถุดิบมีมากมายเหลือเฟือ จะเอามาใช้เท่าไหร่ก็ไม่มีปัญหา ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบมาทำน้ำหมักชีวภาพ หรือปุ๋ยหมักยกตัวอย่างเช่น แกลบสด (แกลบดิบ) และแกลบเผา ซึ่งจังหวัดสุรินทร์เป็นจังหวัดต้นต้น ที่มีโรงสีไฟจำนวนมากที่สุดในประเทศไทย จึงมีปริมาณแกลบสด (ส่วนเหลือจากการสีข้าว) มากมายมหาศาล และเกษตรกรทั่วไปสามารถขอมาใช้ประโยชน์ได้ทันที (แถมมีรถบริการตักให้ฟรีอีกต่างหาก)
แต่...หลังจากนโยบายส่งเสริมการสร้างโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานธรรมชาติ (โรงไฟฟ้าพลังแกลบ) ได้เกิดขึ้น จ.สุรินทร์ก็ทันสมัยกะเขาเหมือนกัน มีโรงไฟฟ้าเป็นของตนเองแล้ว
ทีนี้...ปัญหาการทำปุ๋ยหมักชีวภาพเริ่มเกิดขึ้นแล้ว โดยเฉพาะปุ๋ยหมักชีวภาพที่ใช้วัตถุดิบจากแกลบสดแกลบดิบทั้งหลาย เนื่องจากโรงไฟฟ้าพลังแกลบ ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าใช้พลังงานจากแกลบ การแย่งชิงวัตถุดิบเริ่มเกิดขึ้นแล้ว ราคาแกลบเริ่มแพงขึ้นในเบื้องต้น จาก กก.ละ 20-60 ตังค์ เดี๋ยวนี้แกลบสดเริ่มหายากขึ้น แพงขึ้น>>>>และไม่ขายแล้วค่ะ
เส้นทางเดินของแกลบเปลี่ยนไปแล้ว จากเดิมแกลบจะเดินกลับคืนสู่ทุ่งนาได้ง่าย เดี๋ยวนี้แกลบสดหน้ามุ่งหน้าไปหาโรงไฟฟ้าที่เดียว (หนูแกลบลืมกลิ่นอายของท้องทุ่งนาเสียแล้ว กลิ่นโรงงานอุตสาหกรรมช่างหอมหวานนี่กระไร) ฮือฮือ...คิดถึงแกลบจัง
นี่เป็นเพียงอุปสรรคเบื้องต้นเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ยังมีอีกหลายอย่างที่ผู้ทำกิจกรรมเกษตรอินทรีย์ต้องปรับตัว...เพื่อการอยู่รอด และเราเริ่มปรับตัวแล้ว โดยการนำน้ำหมักชีวภาพไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ (มีอะไรบ้างนั้น...จะกลับมาเล่าในลำดับถัดไป)
อย่างไรก็ตาม การรักษาใจให้คงอยู่กับแนวทางการดำเนินชีวิตตามแนวเกษตรอินทรีย์ (หรือเกษตรทางเลือกอื่นๆ) ยังคงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด การลังเลสงสัยจะนำไปสู่ความไม่มั่นคงและการเปลี่ยนแปลง
สู้ต่อไปเหอะ......ไอ้มดแดง
ขอบคุณค่ะ