ถ้าเราเรียนรู้ แต่ไม่ไปทดลองทำ เราก็จะได้แค่ความรู้..... แต่ถ้าเราเรียนรู้แล้ว เราไปทดลองทำเราก็จะได้ความเข้าใจ...ที่เป็นประสบการณ์เพื่อปรับแก้ในครั้งต่อไปได้... มิใช่แค่ "คิดว่า... หรือรู้สึกว่า... หรือเห็นว่า ..."
ดิฉันได้เริ่มทำความเข้าใจเกี่ยวกับ “วิธีการได้มาซึ่ง...แผนยุทธ์ศาสตร์ของหน่วยงาน” โดยเรียนรู้จากการฟังผู้อื่นเล่าและคุยกัน การอ่านเอกสารตำราต่าง ๆ และซักถามประเด็นที่ตนเองสงสัยกับผู้รู้
เมื่อปี 2549 ดิฉันได้รับมอบหมายจากผู้บริหารให้รับผิดชอบงานวิชาการเพื่อจัดทำยุทธศาสตร์ของส่วนพัฒนาเทคโนโลยีการเผยแพร่และฝึกอบรม ดังนั้น จึงได้ “จัดการการเรียนรู้ให้กับตนเอง” ในเรื่องดังกล่าว คือ
ครั้งที่ 1 ออกแบบการได้มาซึ่ง “ยุทธศาสตร์...ของ สพฝ.” แล้วรวมทีมกันจัดกระบวนการเรียนรู้ ให้กับเจ้าหน้าที่ ภายใต้ ประสบการณ์ที่ตนเองมีอยู่ เริ่มจากดูข้อมูล/ภารกิจ งานที่ทำ วิเคราะห์งานและอื่น ๆ โดยใช้ SWOT เป็นหลักและเสริมด้วย AIC ผลที่เกิดขึ้น คือ งานสามารถออกมาได้แบบคร่าว ๆ เหลือเพียงการทบทวนและปรับแก้
ชิ้นงานประมาณ 2 ครั้ง ก็สำเร็จได้ แต่มีอุปสรรคด้านการบริหารจัดการ จึงต้องหยุดชะงักไป
ครั้งที่ 2 ปี 2549 ไปร่วมเรียนรู้กับหน่วยงานอื่น ในขณะที่กำลังจัดกระบวนการของครั้งที่ 1 อยู่นั้น พี่ ๆ จากกองวิจัยและพัฒนางานส่งเสริมการเกษตร มีเป้าหมายว่า “กวพ. ต้องมียุทธศาสตร์ของหน่วยงานตนเอง...เพื่อของบประมาณจากกรมส่งเสริมการเกษตร ยสมัยนั้น มี ผอ. นายมนตรี วงศ์รักษ์พานิชย์ (อดีต ผอ.กวพ.) เป็นผู้บริหาร แล้วได้
เชิญวิทยากรมาจัดกระบวนการเรียนรู้เพื่อทำงานชิ้นดังกล่าวให้กับเจ้าหน้าที่ของ กวพ ทุกคน ซึ่งมีการให้หลักการทฤษฎี ควบคู่กับการปฏิบัติจริง จึงทำให้ดิฉันได้เรียนรู้เรื่องนี้อย่างเป็นเรื่องเป็นราวตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ ในครั้งนั้นวิทยากรมีวิธีการสื่อสารแบบง่าย ๆ ให้กับผู้เรียนโดยเวลาจำนวน 3 ครั้ง ๆ ละ 1 วัน ทุกครั้งจะมีการบ้านกลับไปทำแล้วนำกลับมาใช้ในการปฏิบัติงานเรียนรู้ในครั้งต่อ ๆ ไป ก็ทำให้งานชิ้นนี้สำเร็จได้ ซึ่งตรงจุดนี้ทำให้ดิฉันรู้สึกว่า “เป็นหนี้บุญคุณ” ที่ได้รับความมีน้ำใจจากพี่ ๆ ที่มาชวนให้ไปเรียนรู้และพัฒนาตนเอง และเป็การเรียนรู้อย่างเป็นทางการในเรื่องนี้ ซึ่งเป็นเรื่องราวที่เราเองกำลังสนใจและกำลังค้นหาองค์ความรู้ เพราะเป็นช่วงเวลาที่เราคิดว่า “เราต้องเรียนรู้วิชานี้แล้วนะ”
ครั้งที่ 3 นำไปออกแบบและทดลองทำ เมื่อเดือนมิถุนายน 2550 แต่ละหน่วยงานของสำนักพัฒนาการถ่ายทอดเทคโนโลยี ได้รับโจทย์จากผู้อำนวยการสำนักฯ (ผอ.มนตรี วงศ์รักษ์พานิช) ให้ไปเตรียมข้อมูลโดยลองวิเคราะห์ดูว่า “วิสัยทัศน์ของเราคืออะไร?, เราทำภารกิจ/งานอะไรบ้าง?” แล้วนำผลที่เกิดขึ้นดังกล่าวมานำเสนอในที่ประชุมสพท. เพื่อจะได้ร่วมกันจัดทำยุทธศาสตร์ของสำนัก (เพราะยังไม่มี) ขึ้นมาใช้งานและของบประมาณได้
ดังนั้น กลุ่มพัฒนาเทคโนโลยีโดย ผอ.เสาวนิตย์ ขุนฤทธิ์แก้ว จึงชวนทีมงานในกลุ่มมาประชุมและหารือกันถึงเรื่องนี้ ฉะนั้น ดิฉันจึงได้เข้าร่วมกระบวนการด้วยโดยเริ่มต้นจาก
คำถามที่ 1 ภารกิจของ กทฝ. มีอะไรบ้าง?
คำถามที่ 2 ตกลงแล้ว ถ้าตีภารกิจของเราออกมา...แล้ว “งานหลัก ๆ ของเรานั้นมีงานอะไรบ้าง?”
คำถามที่ 3 แล้วเรามีผลงานหรือชิ้นงานอะไรออกมาบ้าง? ที่สามารถจับต้องได้ หรือเป็นรูปธรรมให้เห็นในตอนนี้ หลังจากนั้น ก็จะนำเข้าสู่การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้ SWOT เป็นเครื่องมือ
คำถามที่ 4 ตอนนี้... กลุ่มเรามีข้อดีอะไรบ้าง? มีจุดอ่อนอะไรบ้าง? มีโอกาสอะไรบ้าง? และมีอุปสรรคตรงไหนบ้าง?
คำถามที่ 5 จากข้อมูลทั้งหมดลองดูซิว่า... ตอนนี้เราจะทำอะไรได้บ้าง? (วิเคราะห์)
คำถามที่ 6 ตกลงแล้ว “วิสัยทัศน์” ที่เป็นไปได้ของเราคืออะไร? ซึ่ง ผอ. กทฝ. “ปิ้งแว๊ป” ทำให้ได้วิสัยทัศน์ทันที (เพราะประมวลผลข้อมูลตลอดเวลา)
หลังจากนั้น ดิฉันก็ลองนำผลของข้อมูลในทุกประเด็นมาเขียนลงใน Mind Map จำนวน 1 แผ่น แล้วทุกคนก็ยึดเป็น “คัมภีร์” ของกลุ่มที่มองเป้าหมายให้เห็นเป็นภาพเดียวกันก่อน
ครั้งที่ 4 ต้องร่วมกันจัดทำยุทธศาสตร์ของ สพฝ. จากโจทย์ที่ปฏิบัติงานใน ครั้งที่ 3 แต่ละกลุ่มงานจะต้องนำข้อมูลมารวมกัน และวิเคราะห์ร่วมกันเพื่อจัดทำ... เป็นภาพรวมของส่วนพัฒนาเทคโนโลยีการเผยแพร่และฝึกอบรม ซึ่งมี ผอ.วันชัย โกมลภิส เป็น ผอ.สพฝ. เมื่อเจ้าหน้าที่มาประชุม ก็ได้เริ่มจากให้แต่ละกลุ่มบอกวิสัยทัศน์ของกลุ่มตนเอง แล้วมีคนมาเขียนตาม หลังจากนั้น ก็นำมารวมกันโดยจับเฉพาะ Key word แล้วก็ได้วิสัยทัศน์ของ สพฝ. ออกมา ส่วนการประมวลข้อมูลของ 3 หน่วยงานย่อยใน สพฝ. นั้นที่ประชุมตกลงกันว่า... จะใช้ “Mind Map” ในการประมวลข้อมูล แล้วให้ดิฉันเป็นคนดำเนินการ โดยที่ประชุมกำหนดให้มีกรอบเนื้อหา ได้แก่ ภารกิจ ผลงาน และวิเคราะห์
ดังนั้น การทำงานก็ต้องยึดกรอบรวมเป็นหลัก ดิฉันได้ใช้เทคนิคการถาม-ตอบ นำมาเขียน และให้ที่ประชุมสรุป ซึ่งในการปฏิบัติเป็น “Facilitator” นั้น ดิฉัน ได้นำเอกสารที่เป็นผลงาน ครั้งที่ 1 มาประกอบด้วย และทุกคนที่ประชุมก็มีเอกสารดังกล่าวอยู่ในมือเช่นกัน ฉะนั้น ดิฉันจึงเริ่มกระบวนการจาก
คำถามที่ 1 ตกลงแล้วภารกิจของเรา (สพฝ.) มีอะไรบ้าง? ที่ต้องทำ *โดยใช้วิธีการตีภารกิจของ สพฝ. ออกมาเป็นงานหลัก ๆ ที่เราจะต้องทำ ส่วนคำตอบที่ได้ คือ สพฝ.
มีงานที่จะต้องทำ 7 เรื่องหลัก ๆ
คำถามที่ 2 แล้วที่ผ่านมาเรามีผลงานอะไรบ้าง? ที่ออกมาเป็นชิ้นเป็นอันที่จับต้องได้
* ถ้าเรียกดูสามารถนำผลงานมาให้ดูได้ทันที ส่วนคำตอบที่ได้ คือ สพฝ. มีผลงานออกมาจำนวนมากไม่ต่ำกว่า 15 ชิ้นงาน
คำถามที่ 3 แล้วผลงานแต่ละชิ้นอยู่ในงานหลักเรื่องไหนบ้าง...?
* โดยไล่ไปที่ละผลงาน ๆ ส่วนคำตอบที่ได้ คือ เราสามารถจัดผลงานแต่ละชิ้นลงในงานหลักทั้ง 7 เรื่อง
ได้ทันที
คำถามที่ 4 ลองทบทวนดูซิว่า “สพฝ. ของเรามีจุดดีตรงไหนบ้าง? มีจุดอ่อนตรงไหนบ้าง? ตอนนี้เรามีโอกาสอะไรบ้าง? และเรามีอุปสรรคตรงไหนบ้าง? * โดยไล่ไปที่ละประเด็น ๆ คำถาม- คำตอบ
คำถามที่ 5 ถ้าเราเอาข้อมูลทั้ง 4 ด้านมาเทียบกันหรือจับคู่กันแล้ว หรือวิเคราะห์ข้อมูล ทั้งหมด “ตกลงแล้ว...เราสามารถทำอะไรได้บ้าง?”
ส่วนคำตอบที่ได้ คือ มีการเชื่อมข้อมูลที่สัมพันธ์กับได้ จำนวน 3 คู่ คือ คู่ที่ 1 ระหว่างจุดดีกับโอกาส, คู่ที่ 2 ระหว่างโอกาสกับจุดอ่อน และคู่ที่ 3 ระหว่างจุดดีกับอุปสรรค
หลังจากนั้นที่ประชุมก็ได้ทางออกคร่าว ๆ ที่น่าจะเป็นไปได้กับการทำงานของ สพฝ. ที่ควรจะเกิดขึ้น ขณะนั้นเป็นเวลา 17.00 น. ทุกคนจึงขอยกยอดการทำงานใน
ครั้งต่อไปเป็น วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน 2550 (ช่วงบ่าย) นอกจากนี้ แต่ละคนก็จะได้กลับไปทบทวนและเติมเต็มข้อมูลด้วย ซึ่งวันนี้เราใช้เวลา 1.30 ชั่วโมง ในการปฏิบัติงานร่วมกัน
ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ถ้าเจ้าหน้าที่แต่ละคนกลับไปถามตนเองและเขียนคำตอบของตนเองว่า…ตกลงแล้ว
1. งานหลักของตัวเราเองนั้นมีอะไรบ้าง? ที่เราจะต้องทำ
2. แล้วเรามีผลงานอะไรบ้าง? ที่ออกมาให้เห็นในตอนนี้?
ดิฉันว่า เราคงจะมีชิ้นงานที่มากมาย และเราก็จะเข้าใจงานที่ตนเองต้องทำ เราสามารถมองเป็นมุมมองเดียวกันได้ เพราะเรามีบทบาทหน้าที่เฉพาะตำแหน่งที่นั่งทับอยู่ในปัจจุบัน เพื่อรอการประเมินผลในปี 2551 และถ้าเราทดลองประเมินตนเองดูก่อน เราก็จะ “รุกและรับ” สถานการณ์ได้อย่างมีความพร้อมค่ะ.