ผู้ดำเนินรายการ
คุณทรงพล
เจตนาวณิชย์
วัน/เวลา
วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2548 เวลา 15.00-15.30 น.
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
ผมให้ดูภาพรวมว่าพี่ผดุงกับคุณจรัลอยู่ในอำเภอเดียวกันแต่อยู่ต่างตำบล
ภาพที่มาเล่าให้ฟัง
แต่ภาพที่เราเห็นความเชื่อมโยงตรงนี้เราจะเห็นบทบาทของมูลนิธิร่วมพัฒนาพิจิตร
ซึ่งตัวแกนเลขาที่เราเห็นในวีซีดี คือคุณสุรเดช
เขาทำงานอยู่ที่สาธารณสุขจังหวัด
การที่เขาอยู่ในส่วนราชการเขาสามารถต่อกับหน่วยราชการหลาย ๆ
หน่วยรวมทั้งต่อกับทาง อบจ. ผู้ว่าซีอีโอ
เป็นเรื่องที่ดี
มูลนิธิร่วมพัฒนาพิจิตรใช้ทุนที่มีอยู่ในพิจิตรเอง
ปราชญ์ชาวบ้านหลังจากไปดูงานที่อีสานเห็นปราชญ์ชาวบ้านที่อีสาน
ชาวบ้านเริ่มเรียนรู้เป็นเครือข่ายนำเอา วปอ.
พัฒนาประยุกต์ใช้ที่พิจิตรเพราะที่พิจิตรก็มีปราชญ์ชาวบ้านอยู่
ให้ตัวชาวบ้านที่ใฝ่รู้เรียนรู้ที่ต้องการหลุดพ้นจากวิกฤตการตีบตันของชีวิต
โดยเฉพาะเรื่องหนี้สินได้มีโอกาสเรียนรู้วิธีกับทางปราชญ์ชาวบ้าน
เรียนรู้ทั้งเทคนิค
เรียนรู้วิธีคิดการเปลี่ยนแปลงชีวิตกับทางปราชญ์ชาวบ้าน
เรียนรู้มาแล้วสนับสนุนให้ทำจริงลงไปปฏิบัติเพราะรูปธรรมเป็นเรื่องที่สำคัญมากเพราะเรียนแล้วไม่ไปทำงานจะต่อยอดลำบาก
เพราะฉะนั้นเมื่อทำไปแล้วจะเห็นว่าทางพิจิตรพัฒนาไปเยอะ 3,000
กว่าครอบครัว ขับเคลื่อนด้วยการที่เอาสมาชิกเข้ามาที่ วปอ.
มีแกนนำระดับอำเภอ 12 อำเภอ
มีเครือข่ายการเรียนรู้ที่มาเจอกันทุกเดือนเป็นเรื่องที่สำคัญ
การเรียนที่มาทบทวนสิ่งที่ทำในพื้นที่ขณะเดียวกันเชิญวิทยากรจากภายนอกมาให้ความรู้ใหม่เป็นระยะๆ
แล้วแต่ทางพื้นที่จะต้องการอะไรโดยมีทางคุณสุรเดชหรือทางมูลนิธิร่วมพัฒนาพิจิตรเป็นตัวเชื่อมโยงจากภายนอก
เพราะจะเห็นว่าการที่ชาวบ้านจะลุกขึ้นมาเปลี่ยนได้ต่อเนื่องและยั่งยืน
โดยลำพังเฉพาะพื้นที่เองจะลำบาก อันนี้เป็นภาพกว้างๆ
รูปธรรมในพื้นที่มีเรื่อง ผัก เรื่องข้าว เรื่องผลไม้
มากมายนั้นเป็นเรื่องเมื่อเช้า
ในช่วงตอนบ่ายของณรงค์และลุงสนั่น
อยู่ภายใต้การดำเนินการมูลนิธิข้าวขวัญซึ่งเป็นมูลนิธิเช่นเดียวกัน
แต่ว่าทางมูลนิธิเองไม่มีเจ้าหน้าที่สังกัดหน่วยราชการเป็นเสมือนเอ็นจีโอล้วนๆ
แล้วมีพื้นที่ทำงานอยู่ใน 4 อำเภอ อำเภอบางปลาม้า อำเภอเมือง
อำเภออู่ทาง อำเภอดอนเจดีย์ ที่ยกมาเป็นตัวอย่าง
ลุงสนั่นอยู่ ตำบลวัดดาว อำเภอบางปลาม้า
กับณรงค์ในฐานะเป็นเจ้าหน้าที่ข้าวขวัญ
ณรงค์ทำหน้าที่คุณอำนวยไปจัดโรงเรียนชาวนาขึ้นมาในพื้นที่
มีการเรียนรู้ที่ต่อเนื่องเรียนรู้ทำจริงเห็นผล
มูลนิธิทำหน้าที่เชื่อมโยงกับทาง สคส. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์กำแพงแสน
โครงการต่างๆ มากมายรวมทั้งเครือข่ายเกษตรยั่งยืน ของประเทศ
มีการไปดูงานในที่ต่าง ๆ
เห็นกลไกที่หนุนเสริมที่เป็นความเชื่อมโยงตรงนี้อยู่ เท่าที่ฟังอันแรก
เราพบว่าเกษตรกรทั้งหลายวิกฤตตีบตันในชีวิตในเรื่องหนี้สินทำอาชีพแบบเดิมๆ
ต้นทุนสูง รายได้น้อย มีเรื่องหนี้สินขึ้นมาก็พาลไปเรื่องอื่น ๆ ด้วย
เรื่องปัญหาในครอบครัว เรื่องไม่มีเวลา เรื่องสุขภาพ
มีหลายคนเห็นความวิกฤตความตีบตัน
แต่เกษตรกรบางคนอาจไม่เห็นในชีวิตขณะที่พวกเขาเห็นอยู่นี้
จริงแล้วในฐานลึกๆ ของทุกคนมีความใฝ่รู้อยู่
ท่านอาจารย์หมอประเวศ วะสี
พูดเมื่อเช้าว่าเมล็ดพันธุ์แห่งความรู้อยู่ในตัวคนเกือบทุกคน
เพียงแต่ว่าใครจะไปเอื้ออำนวยทำให้สภาวะทำให้เมล็ดพันธุ์เหล่านั้นเจริญเติบโต
โอกาสเป็นเรื่องสำคัญมีคนให้โอกาส
มูลนิธิร่วมพัฒนาพิจิตรก็ตามหรือมูลนิธิข้าวขวัญเป็นผู้ที่สร้างโอกาสให้คนที่ใฝ่รู้เป็นคนต้องการจะหลุดพ้นจากวิกฤตได้ทดลองได้เข้ามาเรียนรู้โอกาส
เพื่อนและเครือข่ายเป็นเรื่องที่สำคัญ
การมีเพื่อนเครือข่ายการเรียนรู้ การมีกัลยาณมิตร
เมื่อเรียนรู้ไปแล้วเราลงมือทำอาจจะเริ่มจากเล็กๆ
อย่างที่ลุงสนั่นบอกว่าเมื่อลงมือทำแล้วสิ่งที่สำคัญคือความต่อเนื่อง
สิ่งที่ขบวนความต่อเนื่องคือเรื่องของเครือข่ายการเรียนรู้ด้วย
การต่อเนื่องเราพบว่าส่วนนี้เป็นส่วนที่ต่างจากส่วนราชการทำกัน
ส่วนราชการเข้ามาเป็นไฟไหม้ฟางมาแล้วก็หายไปความต่อเนื่องไม่ค่อยเกิดขึ้น
มูลนิธิข้าวขวัญและมูลนิธิร่วมพัฒนาพิจิตรสามารถสร้างความต่อเนื่องให้ได้
การสร้างขบวนความต่อเนื่องซึ่งผมคิดว่าสำคัญมากเมื่อมีความต่อเนื่องแล้วเมื่อลงไปทำแล้วการประเมินตนเองจะเห็นว่าเครือข่ายได้ประเมินตนเองหรือคนที่ทำงานมีการประเมินตนเองอยู่ตลอดเวลาและยิ่งมีเรื่องของเครื่องมือของการจัดการความรู้เข้ามา
เรื่องของการสร้างตัวชี้วัดว่าถ้าเราจะไปสู่เป้าหมายแล้วนั้น
ขุมความรู้ที่สำคัญแก่นความรู้ที่สำคัญ
ความสามารถหลักที่เราจะไปถึงเป้าหมาย คืออะไรต่าง ๆ
เริ่มชัดเจนขึ้นว่าเราต้องการความรู้อะไร
เราต้องการความสามารถอะไร
และเดี๋ยวนี้เรามีแค่ไหนและใครเก่งในเรื่องนี้เราจะเรียนรู้ได้จากใคร
เครื่องมือของจัดการความรู้เข้ามาช่วยได้มากในการประเมินตนเอง
ทำไปแล้วเกิดมรรคเกิดผลเห็นความสำเร็จถึงแม้ความสำเร็จจะเริ่มจากความสำเร็จเล็กๆ
แต่ความสำเร็จเล็กๆนั้นสร้างกำลังใจ สร้างความเชื่อมั่น
สร้างศรัทธาที่จะทำให้ตัวชาวบ้านมีความรู้สึกว่าเราได้มาถูกทางแล้วเพราะความสำเร็จเป็นตัวตอกย้ำ
เมื่อความสำเร็จเกิดขึ้นที่เป็นรูปธรรมเกิดความเชื่อมั่น
ความคิดเริ่มเปลี่ยนว่าเรามาถูกทางในสิ่งที่เราเคยคิดเคยเชื่อนั้นมันไม่ใช่เปลี่ยนความคิดเปลี่ยนมุมมองแต่ก่อนจะมองเอาเงินเป็นตัวตั้ง
แต่ก่อนต้องปลูกเยอะ ๆ ขายเยอะ ๆ
เดี๋ยวนี้เปลี่ยนมุมมองว่าไม่ใช่แล้วอาจมามองความพอเหมาะพอควร
ความสามารถที่ตัวเองจะจัดการได้ต่าง ๆ
หรือมีการมองมิติสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
มองในมิติของวัฒนธรรมประเพณี
มุมมองเริ่มเปลี่ยนเป็นมองความสมดุลของชีวิตมากขึ้นแทนที่จะมองเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
เมื่อเปลี่ยนความคิดเปลี่ยนมุมมองพฤติกรรมก็เปลี่ยน
เราจะเริ่มเห็นว่าวัฏจักรของความตีบตันยังมีอยู่เกษตรกรส่วนใหญ่เจอปัญหาและอยู่ในวังวนของความยากจน
แต่พอค่อยๆได้เรียนรู้เห็นความสำเร็จก็เริ่มออกจากวังวนของความยากจนออกจากวังวนของความตีบตันได้
และสิ่งที่เราค้นพบจากท่านที่มาพูดสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความสุขความมั่นใจความภาคภูมิใจ
สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่เราสามารถสัมผัสได้จากสิ่งที่ท่านเล่าและเมื่อเราลงพื้นจริงของท่านทั้งหลาย
เราจะยิ่งสัมผัสได้มากกว่านั้น
อันนี้เราจะเห็นค่อนข้างชัดเจนว่าเส้นทางที่จะออกไปจากวิกฤตและความตีบตัน
มันมีตัวอย่างมันมีของจริงว่ามีคนทำได้
แล้วก็เช่นกันถามว่าคนอื่นเกษตรกรอื่นๆ
ที่จะเปลี่ยนความคิดจะเปลี่ยนพฤติกรรมเหล่านี้จะเปลี่ยนได้อย่างไร
อย่างที่ท่านอาจารย์ถามถ้าจะเปลี่ยนได้มันมีองค์ประกอบที่ถอดมาจาก 2
พื้นที่จะเห็นว่ามันต้องการองค์ประกอบของคนที่จัดการความต่อเนื่อง
องค์ประกอบของคนที่จะจัดการความรู้ยกระดับความรู้
และคนที่จะเชื่อมความรู้จากภายนอกให้ไปเติมเต็มต่อยอดความรู้ภายใน
ขณะเดียวกันกระตุ้นให้มีการค้นหาความรู้จากภายในให้ใช้ได้มากที่สุด
และหลายๆท่านได้ตระหนักว่าจริง ๆ
สิ่งดีจากท้องถิ่นมีเยอะที่เรายังไม่หันไปมองด้วยสายตาใหม่ยังไม่ได้หันใคร่ครวญที่เพียงพอ
แม้แต่เรื่องของพืชผักที่แม่ทองดีบอกว่าเรื่องผักพื้นบ้านและเรื่องอะไรอีกมากเหล่านี้
ผมคิดว่าเราได้เรียนรู้จากทั้งพิจิตรและทางสุพรรณค่อนข้างมาก
เราเห็นว่าจริง ๆ
แล้วเกษตรกรยังมีความหวังเพียงแต่ว่าต้องเปลี่ยนวิธีคิดชีวิตถึงจะเปลี่ยนและจะมีความหวัง
คิดแบบเดิมทำแบบเดิมคงไม่ได้เกษตรกรยุคใหม่คงที่จะไม่ทำอย่างเกษตรกรเหมือนรุ่นพ่อแม่แล้ว
คงจะต้องเป็นเกษตรกรที่เชื่อมภูมิปัญญาเดิมกับภูมิปัญญาใหม่ได้อย่างแนบเนียนและเติบโตไปได้อยู่ตลอดเวลา
เพราะโลกเปลี่ยนแปลงโลกพัฒนาจะหยุดนิ่งไม่ได้
ความรู้เดิมบางอย่างอาจใช้ไม่ได้ผลในปัจจุบันแล้วจำเป็นต้องผสมผสานสร้างความรู้ใหม่ขึ้นมา
นี่ก็คือสิ่งที่เราเรียนรู้กว้างๆ ในรายละเอียดเชิญแลกเปลี่ยนครับ
ผู้ร่วมแลกเปลี่ยนคนที่ 1 :
ขอบคุณครับ จริงๆ
ผมฟังจับเป็นความรู้ที่เราเคยได้รู้มาแล้วทำให้เรานึกว่าจริง ๆ
แล้วความรู้ต่าง ๆ ทฤษฎีการทำงานมันมีอยู่แล้ว
เพียงแต่สิ่งที่เราขาดมากๆ ในปัจจุบันที่ชอบพูดกันแต่ไม่ชอบทำของ สคส.
พูดว่าการจัดการความรู้ ถ้าไม่ทำก็จะไม่รู้จากตัวอย่าง 2
กรณีที่พูดมาก็เห็นความเปลี่ยนชัดเจนนอกเหนือจากรายได้คุณภาพชีวิต
ตัวอย่างของพิจิตรที่เจอวิกฤตชีวิตทั้งในเรื่องหนี้สิน สุขภาพ
มีหน่วยงานภายนอกที่ไม่ได้ตั้งอยู่ในชุมชนคือมูลนิธิร่วมพัฒนาพิจิตรที่ร่วมส่งเสริมการเรียนรู้ให้กับชุมชน
มีลักษณะแตกต่างระหว่างพิจิตรกับวัดดาวที่สุพรรณ
คือของพิจิตรไปส่งเสริมกับคุณกิจคือตัวเกษตรกรนักปฏิบัติโดยตรง
เกษตรกรเหล่านี้จาก 10 คน จนเหลือคนเดียวอย่างทีมของคุณจรัล
กลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่เป็นแกนคุณอำนวยจากระดับตำบลและระดับอำเภอ
การจัดการความรู้ในระดับเครือข่ายจังหวัดชัดเจน
ส่วนวัดดาววิธีการเริ่มจากหน่วยงานที่เป็นศูนย์กลางที่จัดการเรียนรู้
มูลนิธิข้าวขวัญคุณณรงค์ซึ่งก็เป็นคุณอำนวยเป็นคนรุ่นใหม่ลงไปพื้นที่ชาวนาชาวบ้านเรียนรู้
ผมพยายามได้จับวิธีการทำงานของพื้นที่ทั้ง 2
ประสบความสำเร็จได้มันขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลัก ๆ อยู่
มีศูนย์การเรียนรู้มีสถาบันจัดการการเรียนรู้จะเป็นมูลนิธิพัฒนาพิจิตร
มูลนิธิข้าวขวัญ
ในชุมชนที่คุณสนั่นพาชาวบ้านเรียนรู้ตรงนี้เองเป็นสถาบันการเรียนรู้ที่ต่อเนื่อง
มีคนจัดการการเรียน มีคนออกแบบการเรียนรู้
ที่วัดดาวจะเห็นค่อนข้างชัดได้ออกแบบการเรียนรู้อะไรใช้ประเพณีวัฒนธรรมดึงคนเข้ามาบ้างมีการร่วมกันวิเคราะห์ปัญหาชุมชนก่อนเป็นต้น
ตรงนี้เป็นการออกแบบการเรียนที่ชัดมีคนนำแบบการเรียนรู้
มีการขุดความรู้ของชาวบ้านขึ้น
มีการสร้างความรู้ชาวบ้านขึ้นมาตัวอย่างชัดๆ
เมื่อนำความรู้จากภายนอกที่เข้าไปแล้วชาวบ้านลงมือทำความรู้ที่เขาทำมีปัญหาเขาแก้ปัญหานั้นอย่างไร
ตรงนี้จุดสำคัญที่ชาวบ้านลงมือปฏิบัติจริงสร้างความรู้ขึ้นมา
อำนาจของความรู้แต่ก่อนจะอยู่ที่โรงเรียน อาจารย์
อยู่ที่นักวิชาการ อยู่ที่สำนัก
ตอนนี้อำนาจของความรู้มันกับคืนไปสู่สามัญชนกับสู่ชาวบ้านจริงๆ
มีการเชื่อมโยงความรู้จากภายนอกเข้ามาช่วงเวลาที่เหมาะเจาะ
ต้องย้ำในเวลาที่เหมาะเจาะด้วยว่าในเวลาในช่วงนี้ชาวบ้านเริ่มทำจุลินทรีย์
หมักจุลินทรีย์แล้ว
เริ่มหมักแต่ยังไม่เป็นขั้นไม่เป็นตอนอย่างเป็นระบบอันนี้ สคส.
ไหลเข้าเหมือนตัวอย่างวัดดาวมันเป็นการเชื่อมโยง ถูกเรื่อง ถูกคน
ถูกเวลาด้วยอันนี้มันเป็นเงื่อนไขของปัจจัยของความสำเร็จจากที่ฟัง ๆ
มามันมีเครือข่ายที่จะสร้างพลัง
ตัวอย่างของวัดดาวที่ชัดจะใช้การจัดการ 3 เรื่อง
ก็คือการจัดการเรื่องของความรู้ที่เข้ามาในช่วงไหน
จัดการเรื่องของความรู้สึก เสริมพลังซึ่งกันและกัน
มีการทำโปสการ์ดทำบันทึกให้กำลังใจตัวเองให้ซึ่งกันและกัน
มีการลงมือทำได้ความรู้จากการที่ลงมือทำจริง ๆ แล้วมีประโยคที่สำคัญๆ
ซึ่งน่าสนใจอยู่มากแต่เนื่องจากมีเวลาน้อยจะไม่ได้ลงรายละเอียดมาก
ตัวอย่างคำที่น่าสนใจอย่างเช่นที่พิจิตรเขาบอกว่าจริง ๆ
เราไปเรียนรู้มาและเอามาเก็บในคลังความรู้ไว้ถึงเวลามันได้ถูกนำไปใช้
ชาวบ้านเขาได้พัฒนาความรู้โดยทางที่เขาไปรู้มาและลงมือทำโดยอาศัยความสังเกตก็เป็นจัดมาเป็นความรู้ได้จากการปฏิบัติอย่างเช่นมีผู้ฟังถามระบบนิเวศน์
ชาวบ้านเรียนรู้จากระบบนิเวศน์ได้อย่างไร
ตรงไหนคือระบบนิเวศน์นี่ก็เป็นตัวอย่างชัด ๆ มีคำสำคัญดี ๆ อยู่มากมาย
หรืออย่างเช่นเราจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าเกษตรกรรุ่นใหม่เมื่อใช้การจัดการความรู้แล้วไปไม่รอด
เท่าที่ฟังจะมีความรู้อยู่ 2 ส่วน คือความรู้ทางเทคนิค
ซึ่งมีซ่อนอยู่ตัวคุณกิจที่มา 3-4 ท่านมากมาย
ถ้าจะขุดออกมามีมากอีกส่วนเรื่องกระบวนการจัดการเรียนรู้ หรือ
learn how to learn การออกแบบการเรียนของคุณอำนวย
คุณกิจเขาทำกันอย่างไรเป็นความรู้ 2
อย่างที่เราได้รับในวันนี้มีความน่าสนใจอยู่พอสมควรทีเดียว
ผู้ร่วมแลกเปลี่ยนคนที่ 2 :
สวัสดีครับผมชื่อชัยณรงค์ สังข์จ่าง เป็นคุณอำนวยอยู่ที่พิจิตร
มีส่วนเข้าไปสนับสนุนคุณกิจ
จังหวัดพิจิตรจะมีประเด็นที่แลกเปลี่ยนที่จะชี้ให้เห็นคือวิกฤตเกษตรกรไทยในภาพรวมเป็นการที่สินค้าเกษตรต่างๆ
ที่ชาวบ้านทำ
ถูกยกระดับให้แปรเป็นสินค้าเมื่อมันจะผลักชาวบ้านหรือผลักเกษตรกรอยู่ในความเสี่ยง
3-4 แบบ
อันแรกความเสี่ยงทางธรรมชาติและเป็นวิกฤตตลอดเวลาอย่างเช่น
คุณจรัล พูดถึงน้ำท่วม
น้ำแล้งที่ชาวบ้านควบคุมไม่ได้ทำให้ชาวบ้านหยุดอำนาจในการต่อรองด้านการเกษตรลง
อย่างที่สอง เรื่องระบบเศรษฐกิจ
รายได้และการตลาดซึ่งเป็นรายได้ที่ชาวบ้านควบคุมไม่ได้ทำให้ชาวบ้านหมดอำนาจในการต่อรอง
อันที่สามมลภาวะและสุขภาพที่ทำให้ชาวบ้านต้องเกิดเสี่ยงอยู่ขณะนี้
อันสุดท้ายเรื่องของภูมิคุ้มกัน
และเรื่องความขัดแย้งและความสัมพันธ์ในครอบครัวลดลงทั้ง 4
ประเด็นเป็นความเสี่ยงที่ชาวบ้านเผชิญอยู่ซึ่งเกิดจากการแปรสภาพของผลิตผลกลายเป็นสินค้า
เราจะพบร่องรอยของเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่เข้าไปสู่ชาวบ้านมาก เช่น
ชาวบ้านจะพูดว่ากระบวนการผลผลิต กระบวนการแปรรูป
ขณะเดียวกันชาวบ้านมองการตลาดเห็นวิถีการผลิตเป็นระบบสินค้ายังไม่สามารถเปลี่ยนทั้งหมดได้
กระแสหลักของเราเป็นกระแสเศรษฐกิจและการตลาดอยู่
ที่นี้ประเด็นการจัดการความรู้อย่าง เช่นว่า
จังหวัดพิจิตรและสุพรรณบุรีที่เราพบประเด็นที่คล้ายกัน เช่น
ทั้งสอง
ทำหน้าที่ค้นหาและสร้างองค์ความรู้มาใช้ถ่ายทอดให้กับชนรุ่นต่อๆ
มา ซึ่งเรียกว่าสถาบันการจัดการความรู้
ถ้าองค์กรไหนไม่สามารถพัฒนาตนเองเป็นสถาบันการจัดการความรู้ได้กระบวนการผลิตที่จะผ่านหลาย
generation
เรียกว่าผ่านคนรุ่นแล้วรุ่นเล่ามาแล้วนั้นคนรุ่นนี้จะทำไม่ได้
มีองค์กรตนเองไม่สามารถสร้าง ผลิตใช้เอง
ได้ถ่ายทอดให้กับกลุ่มชนตนเองได้ประเด็นในตัวความรู้จะพบว่าในตัวความรู้มีอยู่
3 แบบที่ใช้ในการถ่ายทอดระหว่างกลุ่ม
อันแรกที่เป็นภาษาเขียนกลุ่มเกษตรกรใช้ได้น้อยเพราะศักยภาพที่จะใช้ภาษาเขียนจะเป็นปัญหาสำหรับเกษตรกร
ซึ่งที่ชาวบ้านใช้มากคือภาษากายหรือความรู้ที่เกิดจากการทำงานจริงๆ
อีกอันหนึ่งกระบวนการที่เราไม่ค่อยได้เห็นความสำคัญมากนัก
คือการแลกเปลี่ยนทัศนคติการใช้ภาษาใจของปราชญ์ชาวบ้าน รุ่น 1 รุ่น 2
ของชาวบ้านจะต้องมีการใช้ภาษาใจค่านิยมหรือภาษากายที่ถูกถ่ายทอดกันมาเพราะว่าเทคนิคทางการเกษตรมันหมายถึงความเชื่อมั่นคุณค่าของข้าวที่ถูกถ่ายทอดกันมามันหมายถึงความพากเพียรของปราชญ์ชาวบ้านรุ่นก่อนๆ
ที่ผ่านมาเราควรนำมาปฏิบัติ
ซึ่งการจัดการความรู้ทั้งสามภาษานี้ให้ครบถ้วนทั้งภาษากาย ภาษาใจ
และภาษาเขียน
กระบวนการการจัดการความรู้มีความก้าวหน้าเพิ่มมากขึ้นคงจะมีประเด็นที่เสนอเพียงแคนี้
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
ขอบคุณคุณชัยณรงค์
คุณอำนวยตัวจริง
ไม่มีความเห็น