จากการทำงานร่วมกับชุมชนทั้งในและนอกเครือข่ายปราชญ์ ผมได้พบในภาพรวมว่า ดังที่ ครูบาสุทธินันท์ กล่าวไว้เสมอว่า
“เกษตรกรส่วนใหญ่มองไม่เห็นอนาคตของตนเอง และไม่รู้จะส่งไม้ต่อให้ลูกหลานได้อย่างไร”
เส้นทางหนึ่งของทางเลือกก็คือ เลียนแบบความสำเร็จของคนอื่นในหลายๆทางเลือกอื่นๆ เช่น
1. การศึกษาที่อาจทำให้ทำงานที่ดี มีรายได้ดี เอาตัวรอดได้ และสามารถกลับมาช่วยครอบครัวของตนเองได้
2. ถ้าลูกไปไม่รอดก็จะให้ไปหางานทำในเมือง รับจ้างสารพัดรูปแบบ ทั้งรายวัน รายเดือน ที่จะช่วยเหลือตัวเองได้ และอาจจะช่วยเหลือครอบครัวได้ แต่ผลก็มักไม่เป็นดังที่หวังมากนัก
3. การหาทางไปทำงานในต่างประเทศ ที่มีคนได้รายได้ดีๆ สำเร็จกลับมา แต่จำนวนหนึ่งถูกหลอก หรือล้มเหลวจากการกระทำของตนเอง ก็มีมาก
4. คนที่มีลูกสาวหน้าตาดีหน่อยก็อาจไปทำงานในวงการบริการและบันเทิงที่หวังว่าจะมีรายได้ดี หรือพบคนที่จะมาช่วยแก้ไขปัญหาของครอบครัว
5. สำหรับครอบครัวที่พอจะมีทรัพยากรที่ดินบ้าง ก็อาจนำไปจำนองหาเงินมาลงทุนในกิจกรรมนอกภาคเกษตรเช่น การเร่ขายของต่างๆ หรือ ซื้อรถไปวิ่งรับจ้างในกรุงเทพมหานคร
6. ฯลฯ
ในการค้นหาทางเลือกต่างๆนั้น ก็มีความจำเป็นต้องลงทุน มากน้อยแล้วแต่กิจกรรม
สิ่งที่พบมากที่สุดก็คือ การส่งลูกเรียน ที่ดูเหมือนจะเป็นความหวังของครอบครัวเกษตรกรส่วนใหญ่
แต่ ในระบบนี้ก็มีการลงทุนค่อนข้างมาก ทั้งตามความจำเป็นจริง และความจำเป็นปลอมๆ หรือก้ำๆกึ่งๆก็แล้วแต่ จนกลายเป็น “แฟชั่น” ของการลงทุนทางการศึกษา โดยเฉพาะ
· รถมอเตอร์ไซค์ หรืออย่างน้อยก็รถจักรยานเป็นเครื่องนำทาง ก่อนที่จะขยับไปเป็นมอเตอร์ไซค์
· มือถือ และค่าใช้บริการ ที่อ้างว่า เพื่อความสะดวกในการติดต่อ พูดคุยเวลามีปัญหา และ “คิดถึงบ้าน” ที่พ่อแม่ มักจะไม่กล้าขัด
· เครื่องมืออำนวยความสะดวกอื่นๆ ในการเรียน อุปกรณ์การเรียน และค่าใช้จ่ายอื่นๆที่จะตามมา เป็นรายวัน โดยอาจไม่วางแผนไว้ก่อน
แล้วพ่อแม่จะเอาเงินเหล่านี้มาจากไหน
1. ในเบื้องต้นก็อาจพอมีเงินสะสมอยู่บ้าง
2. ต่อมาก็อาจเริ่มหยิบยืมญาติพี่น้อง
3. บางครอบครัวที่วางแผนดีหน่อยก็อาจทำการเกษตรเพิ่มขึ้น หรือให้พี่น้องช่วยกันหามากขึ้น แต่ก็ยิ่งมีอัตราเสี่ยงมากขึ้น
4. บางครอบครัวที่มีการเลี้ยงสัตว์ก็อาจมีการขายสัตว์เลี้ยง ตั้งแต่ไก่ หมู หรือ แม้แต่วัวควาย เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
5. เมื่อหาทางยืมไม่ค่อยได้ก็จะเริ่มเข้าสู่ระบบการกู้ยืม โดยการจำนองที่ดินกับเอกชน (ที่ดอกเบี้ยสูง)แต่ไม่ต้องจดจำนองที่ดิน และระยะต่อมากับ ธกส. (ดอกต่ำลงมาหน่อย แต่ต้องจดจำนองที่ดิน)
การกู้ยืมนี้ เป็นส่วนที่นอกเหนือจากภาระหนี้สินอื่นๆ ที่มีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการซื้อเครื่องมือทางการเกษตร สร้างบ้าน แต่งงาน งานศพ บวชพระ ที่ทำกันแบบเกินความจำเป็น และมักนำไปสู่การเป็นหนี้ “ก้อนโต” อีกทางหนึ่ง ที่ทำให้เสียที่ทำกิน ในที่สุด
บางทีก็เกิดจากสารพัดหนี้มาสุมรวมกัน
การซื้อรถมอเตอร์ไซค์ ที่ต้องใช้เงินมากอาจเป็นจุดเริ่มการเป็นหนี้โดยวิธีนี้ แต่มักจะไม่มีปัญญาผ่อน แต่ต้องจ่ายคืนเป็นรายปี ที่ทำให้ต้องกู้เงินนอกระบบมาหมุนเวียนที่ทำให้ภาระหนี้เพิ่มมากจนหาทางหมุนไม่ได้ ก็จะเดินเข้าสู่กับดักที่สำคัญก็คือ
การขายที่ดิน
ที่เป็นที่ทำกินของตัวเอง โดยคาดหวังว่า เมื่อลูกสำเร็จก็มีทางเลือกอื่นในการดำรงชีวิตของครอบครัวได้
แค่ความฝันก็มักไม่เป็นจริงเสมอไป คนที่สำเร็จก็มี ที่ล้มเหลวก็มาก
บางครอบครัวก็ขายแล้วไปหาทำกินใหม่ในเขตป่า แต่ในปัจจุบันทำได้ยากแล้ว แม้จะมีการเดินขบวนเรียกร้อง ก็ไม่มีทางที่รัฐจะแก้ปัญหาของเกษตรกรได้อย่างทั่งถึง
ในสภาวะปัจจุบัน จึงพบว่าหนี้สินภาคประชาชน และโดยเฉพาะเกษตรกร มีอย่างมากมาย ทั่วไป และ จำนวนมากเกินกว่าระบบการเกษตรจะช่วยเหลือได้ ทั้งจากระบบการผลิต และระบบคิดในการทำการเกษตร
ในอดีตจะมีคนมีฐานะ และพ่อค้าเข้ามาซื้อที่ดินเพื่อหวังเก็งกำไร แต่หลังจากฟองสบู่แตกในปี ๒๕๔๐ การลงทุนแบบนี้จะมีน้อยลง จึงเป็นช่องทางให้นายทุนต่างชาติเข้ามาฉวยโอกาสซื้อที่
โดยให้เจ้าของที่ดินเขียนสลักหลังเอกสารว่าได้กู้เงินเขามาในจำนวนเท่ากับที่ขายที่ดิน (ก็ขายแบบไม่ต้องโอนนั่นแหละ) ดังนั้น การสูญเสียที่ดินแบบใหม่จึงเป็นขายประเทศไทย ที่น่ากลัวมาก
แล้วใครจะช่วยชาวบ้านได้ครับ แล้วใครจะช่วยประเทศไทยได้บ้างล่ะครับ
แค่คิดก็เหนื่อยแล้วครับ ช่วยกันหน่อยได้ไหมครับ
เราจะได้เจ็บน้อยลง
และแก้ปัญหาก่อนที่จะสายเกินแก้ ครับ