ประเด็นนำเสนอ
เสวนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากการปฏิบัติ :
การส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ในพื้นที่จังหวัดพิจิตร
(กลุ่มข้าวสะอาด)
ผู้ดำเนินรายการ
คุณทรงพล
เจตนาวณิชย์
ผู้อภิปราย
คุณผดุง เครือบุษผา และ คุณจรัล
ติ้งฉิ่น
(กลุ่มข้าวสะอาด มูลนิธิร่วมพัฒนาพิจิตร)
วัน/เวลา
วันที่ 1 ธันวาคม 2548 เวลา11.00-11.45 น.
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
ขอกราบสวัสดีลุงสุรินทร์ กิจนิตย์ชีว์
ท่านอาจารย์ ท่านผู้นำชุมชน
และผู้เข้าร่วมประชุมที่เคารพ ทุกท่าน
เนื่องจากเวลาค่อนข้างจำกัด 45 นาที
เมื่อคืนผมได้คุยกับพี่ผดุงกับ น้องจรัล
มีเรื่องที่น่าสนใจมากเลยและมีความรู้สึกว่านำเสนอ แค่ 30 นาที ถาม 15
นาที เป็นความยากลำบากของพี่ผดุงที่จะเล่าเรื่องสิ่งที่ตัวเองสำเร็จ
มีความก้าวหน้ามีความภาคภูมิใจในตลอดระยะเวลาที่ทำมาก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
แต่อย่างไรก็ตามเราก็จะพยายามเรียนรู้จากพี่ผดุงกับน้องจรัลให้มากที่สุด
เมื่อเช้าเราได้เห็นในวีซีดีของเครือข่ายเกษตรอินทรีย์ของพิจิตรซึ่งจริง
ๆ แล้ว
เกษตรอินทรีย์พิจิตรก็คงทำหลายเรื่องทีนี้เราลงลึกมาเฉพาะเรื่องข้าว
ให้พี่ผดุงเล่าเลยว่าได้เข้ามาสู่กระบวนการทำข้าวอินทรีย์อย่างไร
เล่าตั้งแต่เริ่มต้นเลยนะเชิญเลยครับ
คุณผดุง เครือบุษผา
:
สวัสดีครับพี่น้องผมนายผดุง
เครือบุษผา เป็นเกษตรกรอยู่บ้านวังไคร้ หมู่ที่ 6
ตำบลคลองกุม อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร
ปัจจุบันเท่าที่ผ่านมาตัวผมเองสนใจเรื่องเกษตร หลาย
ๆ เรื่องแต่เดิมเลยทำนาโดยมีสวนอยู่ประมาณ 2 ไร่
วิธีการทำนาเมื่อสมัยแรก ๆ ที่ผ่านมา มีนา 15 ไร่
ปกติทำนามาตลอดสมัยก่อนผมยอมรับว่าตัวผมเองใช้เคมีมาตลอด ใหม่ ๆ ดี
พอนานไปผมเองยอมรับว่าผลผลิตรายได้น้อยลงตกต่ำลงเพราะเราไม่รู้มาก่อนว่าเราใช้สารเคมีหรือปุ๋ยเคมีทำให้ดินเสื่อมหมดแร่ธาตุอาหารไปโดยสิ้นเชิง
เพราะตอนนี้มันเพิ่มต้นทุนไม่ได้ลดต้นทุนเลย
ดังนั้นผมมองว่าถ้าขืนเราทำไปหนี้สินเรายังไม่ยอมลดมันเพิ่ม
รายได้ตกต่ำลง
เพราะฉะนั้นตัวผมเองย้อนอดีตกลับมาว่าทำอย่างไรจึงลดต้นทุนได้
เผอิญว่ามูลนิธิร่วมพัฒนาจังหวัดพิจิตรมีคุณสินชัย
ทีมงานที่ร่วมกันที่ผ่านมา
คุณสินชัยเป็นชาวนาเหมือนกันแต่เคยมาร่วมงานกับทีมงานของมูลนิธิร่วมพัฒนาพิจิตรก็เลยเข้าโรงเรียน
วปอ. ภาคประชาชน
(วิทยากรการเปลี่ยนแปลงพึ่งพากันเองและพึ่งพาตนเองภาคประชาชน)
ตั้งแต่ผมเริ่มเรียนรู้จาก วปอ.
ยอมรับว่าผมเจอปราชญ์ของจังหวัดพิจิตรทั้งที่ตัวผมเองสมัยก่อนไม่รู้จักใคร
ตัวผมเองรู้จักในตำบลและในอำเภอบางส่วน
พอผมโดดเข้ามาใน วปอ.
ผมจะรู้จักพี่น้องมากมายหลายคนแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์ :
พี่ผดุงเริ่มไปเรียน วปอ.ปีอะไร
คุณผดุง เครือบุษผา
:
รู้สึกว่าเดือนมิถุนายน 2545
ในช่วงนั้นผมยอมรับเลยว่าครอบครัวผมมีวิกฤตมากหนี้สินมันเพิ่มลูกก็เรียน
ผมก็มีแนวคิดว่าทำอย่างไรผมต้องลดทุนให้ได้ พอดีได้เข้าอบรม วปอ.
4-5 วัน ทำให้ผมเกิด
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
วปอ.พาไปทำอะไรบ้าง
คุณผดุง เครือบุษผา
:
สมัยก่อนของผมรุ่นที่ 4 ก็จะมี 50 คน
รวมทั้งหมดเลยเรียนรู้ 4-5 วัน
ได้ไปเจอปราชญ์ที่เขาประสบผลสำเร็จแล้ว
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
อันนี้หมายถึงเป็นชาวบ้านเก่งๆที่เราเรียกว่าปราชญ์ชาวบ้านอยู่ที่พิจิตรนี่เองใช่ไหม
คุณผดุง เครือบุษผา
:
ครับ
อยู่ที่ในพิจิตรแต่ทำมาก่อนเราเขาประสบผลสำเร็จเลยพาไป อำเภอนั้นนะ
อาจารย์ณรงค์ เก่งมากเรื่องปุ๋ยอินทรียวัตถุ
หรือเรื่องเกษตรประณีตของลุงจวน
ที่เขาเคยทำมาเป็นหนี้สินเยอะแยะเขาก็ลดลง
ครอบครัวก็อยู่เย็นเป็นสุขสบายใจ
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
ลุงจวนที่เราเห็นในวีซีดีเมื่อเช้าใช่ไหมครับ
คุณผดุง เครือบุษผา
:
ครับ แต่ที่ผ่านมามันก็เรียนรู้มาเรื่อย ๆ
มาเจออาจารย์บำรุงเรื่องการทำบัญชีฟาร์ม เรื่องน้ำหมักชีวภาพ
อาจารย์ณรงค์เรื่องปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยอินทรียวัตถุ
หลังจากนั้นมาพอประสบผลสำเร็จแล้วเรียนแล้วรับใบประกาศนียบัตรแล้ว
ก็เริ่มพัฒนาตัวเองคิดว่าเราเรียนมาแล้ว 4 คืน 5 วัน
มันมีคุณค่ามากจำเป็นที่เราเรียนรู้แล้วเราจะต้องทำก่อน
คิดแล้วมันเกิดปัญญา พอเกิดปัญญามันปลื้มมากทำไมถึงทำได้
เราคนไทยเหมือนกันทำไมมันทำไม่ได้ มันอยู่ที่ตัวเรา
มันเริ่มจากตัวเราก่อนที่เราจะประสบผลสำเร็จ
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
พอเรียนเสร็จทำอะไรตอนนั้น
คุณผดุง เครือบุษผา
:
พอเรียนเสร็จกลับมาก็ต้องมาทำน้ำหมักหอย
เป็นฮอร์โมน
พอเสร็จแล้วก็ทำสมุนไพรต่อจนร่มต้นมะม่วงหลังบ้านผมเต็มไปหมด
ทำแล้วเอาไปใช้ก็ได้ผล
เรามาเปรียบเทียบว่าเราซื้อฮอร์โมนขวดหนึ่ง 260 บาท หรือ 360
บาท แต่เราลงทุนแค่ไม่ถึง 100 บาท เราก็ได้ฮอร์โมนเป็น สิบสิบ
ลิตร
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
ที่พี่ผดุงบอกว่าได้ผลมันเป็นอย่างไรครับ
คุณผดุง เครือบุษผา
:
ก็ฉีดผลไม้ครั้งแรกเริ่มจากผลไม้ก่อน สี่
ห้าวันเข้าสวนทีหนึ่ง สังเกตดูว่ามันเขียวขึ้น
พอเอาไปราดที่โคนไม้ผมสังเกตว่าไส้เดือนมาข้างบนก็มีมดแดงมา คือ
เราสังเกตง่าย ๆ
เราหยุดใช้สารเคมีระบบนิเวศน์มันเกิดครับอาจารย์เห็นได้ชัด
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
ทีนี้พอพี่ผดุงได้เรียน วปอ. เริ่มลงมือทำ
ได้ข่าวว่าพี่ผดุงได้มีโอกาสไปเรียนการคัดพันธุ์ข้าวที่มูลนิธิข้าวขวัญที่จังหวัดสุพรรณบุรีใช่ไหมครับ
คุณผดุง เครือบุษผา
:
ครับ พอดีผมก็ทำไปเรื่อย ๆ
ปกติคราวนี้มันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มีคุณชัยมาชวนทั้งหมด 5 คน
มีทีม งานมีการสนับสนุนของมูลนิธิร่วมพัฒนาพิจิตร
เราไปเรียนรู้มามันยังไม่พอจริงๆ เกษตรต้องเรียนรู้ไปเรื่อยๆ
จริงอย่างที่เขาพูดพวกเราสนใจการพัฒนาสายพันธุ์ข้าว
ตั้งแต่บรรพบุรุษหรือตั้งแต่ ปู่ ย่า ตา ยาย
ก็ทำข้าวบริโภคมาตลอดปัจจุบันก็ทำข้าว สนใจไปกัน 5 คน 1 คืน 2
วัน พอเรียนรู้จับประเด็นง่าย ๆ
โดยมูลนิธิข้าวขวัญของอาจารย์เดชา ศิริภัทร
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
รายละเอียดช่วงบ่ายจะมีมูลนิธิข้าวขวัญมาเล่าเรื่องต่อ
คุณผดุง เครือบุษผา
:
ตรงนี้พอประสบผลสำเร็จตรงนี้พอเรียนรู้คร่าว
ๆ ผมก็ทำอีกทำแล้วมันเกิดอะไรขึ้นครับ
ทำแล้วประสบผลสำเร็จนักวิชาการทั้งหลายบอกว่าผู้ชายข้าวเปลือกผู้หญิงข้าวสาร
แต่นี่ไม่ใช่ข้าวสารมันข้าวกล้อง
จมูกข้าวยังอยู่ทำไมจะเกิดไม่ได้ทำไมจะงอกไม่ได้มันสามารถให้การขยายพันธุ์ได้
ตอนนี้พอมาคัดแล้วแกะแล้วลงดินปรับปรุงบำรุงดินโดยไม่ให้ปุ๋ยเคมีให้แต่อินทรีย์ชีวภาพตลอดผลผลิตก็เกิด
พอผลผลิตเกิดมันปลื้มใจมันภูมิใจ
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์ :
มันดีกว่าเดิมอย่างไร
คุณผดุง เครือบุษผา
:
มันดีกว่าเดิม หนึ่งผมสังเกตมา
10 วัน ถึง 15 วัน ฉีดสมุนไพรไล่แมลงอยู่อย่างนี้ตลอด
ลำต้นแข็งแรงมากและรากเดินได้ไกลมากแล้วโรคแมลงต่าง ๆ ไม่มีเลย
ตรงนี้เราได้คุณภาพของข้าวแล้วพอผลผลิตออกมาวันที่เก็บเกี่ยวผลผลิต 1
เมล็ด 1 ต้น ได้ 136 ต้น แต่ได้รวงจริงๆ 110 รวง
นี่คือความสมบูรณ์ของที่นี่
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
ซึ่งก่อนนั้นถ้าเราไม่ได้คัดพันธุ์เราจะได้กี่ต้น
คุณผดุง เครือบุษผา
:
ก่อนนี้มาผมไม่ได้เรียนรู้จากอาจารย์
ผมจะไม่รู้อะไรเลยก็หว่านไปพันธุ์ไหนดีก็ไปซื้อมาจากพ่อค้า
ผมไม่ทราบหรอกพ่อค้าเป็นชาวนาหรือเปล่า
แล้วก็มีข้าวปลูกมาขายชาวนาไปซื้อมันถูกไหม
เรามีแง่คิดว่าเราเรียนรู้มาก่อนอย่าไปเสียเปรียบพ่อค้า
เพราะเราเป็นชาวนาอย่างไรเสียเปรียบทุกรูปแบบอยู่แล้ว
ถ้าเรียนรู้มาคิดเป็น
เพราะฉะนั้นผมตั้งหลักไว้อีกข้อหนึ่งที่ผมลดต้นทุนในครอบครัวได้ก็คือผมไม่ต้องซื้อพันธุ์ข้าวตั้งแต่ผมเรียนกับอาจารย์เดชา
ศิริภัทร
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
ก่อนหน้านั้นซื้อพันธุ์ข้าวมาตลอด
พันธุ์ข้าวที่เราเคยซื้อเป็นพันธุ์ข้าวที่เราคัดเองคุณภาพเป็นอย่างไร
มันต่างกันนอกจากแตกกอแล้วมีอย่างอื่นไหม
ผมได้ยินเกษตรกรหลายคนบอกว่าพันธุ์ข้าวมีปัญหาการปนเยอะใช่ไหมครับ
คุณผดุง เครือบุษผา
:
จริง ๆ แล้ว ใช่ครับ ผมคัดพันธุ์ข้าวได้
แต่เกษตรกรพี่น้องชาวนายอมรับเลยว่าไปซื้อข้าวพ่อค้า
ผมเคยพูดคุยในเวทีที่ทำเวทีตรงไหนก็แล้วแต่
ถามว่าพ่อค้าได้ทำข้าวไหมครับ
ได้ผลิตข้าวไหมครับเขาไม่ได้ผลิตข้าวแต่เขาเอามาจากไหน
ถ้าเขาไม่ได้เอามาจากชาวนา
เพราะฉะนั้นเราจะรู้ได้อย่างไรว่าพ่อค้ามันพัฒนาสายพันธุ์ข้าวไม่ได้
เพราะเป็นการรับซื้อจากชาวไร่ชาวนามา สิ่งเจือปนมีไหม ข้าวดีด
ข้าวเด้งมีไหม ประสบปัญหาตลอด
แต่ชาวนาจะแก้ปัญหาได้หรือเปล่าเพราะข้าวข้าวดีด ข้าวเด้งมันมาแล้ว
ผมยอมรับว่ามันกลายมาได้อย่างไร
เป็นข้าวที่ไม่มีคุณภาพพอตกลงดินชาวนาจุดฟางเลย 3 วัน
ปั่นหรือไถกลบเสร็จแล้วข้าวที่ร่วงไปขึ้นผสมผสานพันธุ์ขึ้นมาใหม่
เพราะฉะนั้นข้าวพวกนี้ถือว่าไม่มีคุณภาพ
แต่ที่มองเห็นได้ชัดเลยมันสู้พวกเราไม่ได้หรอกครับ
คือพัฒนาขึ้นมาใหม่มันง่าย
พัฒนาอย่างต่อเนื่องอย่าพยายามตั้งศูนย์ใหม่ต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ
แล้วเราจะได้ข้าวมีคุณภาพ
ถามว่าราคาเราตั้งเองได้พอใจว่าขาดต้นเลยไม่ต้องไปตากให้เขา
7,000 บาท ได้ไหม แล้วผลผลิตเป็นอย่างไร
แต่ผลผลิตเรื่องปัจจัยผมยอมรับว่าพี่น้องเคยใช้สารเคมีมาก่อน
ดินมันเคยกินปุ๋ยเคมีถ้าเราจะปรับปรุงปุ๋ยอินทรียวัตถุเราค่อย ๆ ลด ละ
เลิก ไป ใส่ไร่ละ 10 กิโลกรัม ก็ได้ลดลงมา ถ้าอยู่ ๆ
เราไปฟันธงใส่อินทรีย์วัตถุเลยพี่น้องครับอย่าเอาอย่างผมไร่หนึ่ง แค่
73 ถัง แค่นี้ชาวบ้านก็บ่นใช้เคมีสมัยก่อน 85 ถัง 90 ถัง
แต่เรายกเลิกฟันธงเลยใช้อินทรียวัตถุบวกชีวภาพ จะได้แค่ 73 ถัง 15 ไร่
ได้ 11 เกวียน ถือว่าร่วงแล้วชาวบ้านคงทำอย่างผมไม่ได้
อย่างน้อยเรามีจุดเลือกเราทำใจก่อนเดี๋ยวมันจะดีขึ้นมา
ทีหลัง
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
หลังจากเราไปเรียนรู้ลงมือทำเรื่องของปุ๋ยชีวภาพแล้วเรียนเรื่องแมลงด้วยไหม
เพราะแมลงนี่ก็สำคัญ
คุณผดุง เครือบุษผา
:
เรื่องแมลงเคยทำเวทีคือนักวิชาการของจังหวัดพิจิตร
ท่านสอนโรงเรียนเกษตรอินทรีย์ผมก็ไปร่วมสัมมนามา 2 วัน
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
ใครเป็นคนจัดเวที ครับ
คุณผดุง เครือบุษผา
:
ตอนนั้นเป็นเกษตรตำบล เขาจะมาทำเกษตรจริง ๆ
เขาก็เลยถามเรื่องการกำเนิดข้าวของเกษตร
ตอนนั้นเรียนรู้มาเรียนรู้ว่าแมลงมันมีกี่ชนิด
ไอ้ที่มันแพร่ขยาย ระบาดไว ๆ ขยายพันธุ์อย่างรวดเร็วมีอยู่ 4 ชนิด
อายุข้าว 15 วันมีแมลงข้าวมีแมลงมันต้องทำลาย
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
ถ้าฟังที่พี่ผดุงพูดก็เป็นคนที่ตั้งคำถามกับสิ่งรอบตัว
ถ้ามีการเรียนรู้ที่ไหนเราจะไปตลอด เรื่องปุ๋ย เรื่องยา เรื่องแมลง
แล้วก็ไปเรื่องการคัดพันธุ์ที่ข้าวมูลนิธิข้าวขวัญก็มาทำดูเหมือนว่าเดิมใช้เคมี
ได้ 85 ถึง 96 ถัง แต่ว่าปัจจุบันได้ซักเท่าไหร่
คุณผดุง เครือบุษผา
:
ที่ผมบอกว่าทำข้าว 35 หรือสุพรรณ 1 เมื่อปี
45 ต่อปี 46 ผมยอมรับว่าผมเดินทางมาสุพรรณบุรี
อีกครั้ง ผมมาเอาพันธุ์เหลืองทองซึ่งอาจารย์เดชา
ผสมนิ่งแล้วแกก็เลยเอาไปให้ทดลองทำดู
ครั้งแรกเอาไปน้อยสามสี่ถังเอง พอมาหนสองกลางปี 47
ใส่เข้าไปเลยไม่รู้ว่าเป็นโชคอะไรของผมได้ 105 ถัง
ขึ้นมาเลย ครั้งที่สาม ฟันธง ไม่ใช้เคมีเลยได้ 105 ถัง
แล้วผมเดินทางมาเมื่อปี 47 มาที่เมืองทองธานีประมาณวันที่ 7 วันที่ 8
เดือนกันยายน มีคนอยุธยาอยู่อำเภอภาชีเขาบอกว่า
จำได้คนที่ออกรายการอยากถามคุณจริง ๆ ว่าเป็นเกษตรกรจริงไหม
ตอนนี้มีข้าวไหม คุณจะเกี่ยวเมื่อไหร่ ผมเกี่ยววันที่ 11
เดือนกันยายน เขาไปจริง ๆ ครับ เกี่ยวใกล้หมดแล้วตอนนั้นได้ 102 ถัง
จากต้นเลย 7,000 บาท ครับ
โดยที่เราไม่ต้องขายให้พ่อค้ามีกลุ่มเครือข่ายของจังหวัดพิจิตรและต่างจังหวัดก็หมดครับไม่เหลือเราขายพันธุ์เขามองเห็นคุณภาพข้าวเป็นอย่างไรเขาจะเรียนรู้ไปเอง
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
ผมก็คงคล้าย ๆ กับคนภายนอกครับ
มีคำถามว่าหลังจากที่เราทำเหล่านี้แล้ว
ผลผลิตของเราครั้งแรกจะไม่ดีใช่ไหมครับ
คุณผดุง เครือบุษผา
:
ครั้งแรกจะไม่ดีแต่ค่อย ๆ พัฒนาขึ้น
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
แต่คราวนี้หันมามองต้นทุน
ตั้งแต่ตอนที่เราใช้สารเคมีจนมาถึงปัจจุบันเราเลิกใช้หรือใช้น้อยลง
คุณผดุง เครือบุษผา
:
ตั้งแต่ผมเริ่มฟันธงเลยผมรายได้ต่ำ
แต่เรามาดูต้นทุนต้นทุนนี่ต่ำครับ ปัจจุบันข้าวนาปรัง
ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำน่านเป็นรูปชลประทาน ข้าวนาปรังราคา ระหว่าง
5,800-6,000 บาท หรือ ราคาประกัน 6,000-7,000 บาท
พี่น้องเชื่อไหมครับเราอยู่ได้ถ้าเราลดต้นทุนได้ถ้าเรามองเป้าหมายง่าย
ๆ ครอบครัวเราก่อน
หนึ่งตัวเราเองไปเรียนรู้มาแล้วเกิดปัญญามาสร้างพัฒนาตนเองขึ้นมาในครอบครัว
ถามว่าต้นทุนลดแล้วหนี้สินลดไหมครับตรงนี้คือปัจจัยเป็นหนี้มานานอยากเป็นไทเสียที
หนี้สินลดครับตัวเองปลอดภัยเพราะไม่ใช้เลยสารเคมี
แม้กระทั่งผักในสวนผมไม่ว่าถั่วไม่ว่าแตง
ครอบครัวเริ่มเปลี่ยนมามีความสุขมีเงินทองมีใช้ไม่ขาด
คุณทรงพล
เจตนาวณิชย์ :
พี่ผดุงให้ข้อมูลได้ชัดไหมว่าต้นทุนขนาดนี้จากแต่ก่อนไร่ละกี่พันเดี๋ยวนี้ไร่ละกี่พัน
คุณผดุง เครือบุษผา
:
ก่อน ๆ นี้ที่ผมเคยคิด ประมาณ 2,000-2,300
บาท เก็บเกี่ยวแล้ว ถ้าพูดมา 280 บาท ผมก็ประมาณ 500 บาท มันก็ 2,000
กว่าบาท ซึ่งแตกต่างเมื่อปลายปีเข้ามา 1,000 กว่าบาท
เกี่ยวครั้งสุดท้าย ผมได้ 12 เกวียน ไร่ละ 3,084 บาท
แต่มาเปรียบเทียบเกษตรกร สมัยนี้ เกือบ 3,000 กว่าบาท
ถ้าเป็นนาข้าวยิ่งไปกันใหญ่
ถ้าพี่น้องชาวนาไม่เชื่อลองทำบัญชีฟาร์มดูว่าตั้งแต่เริ่มแรกเราซื้อมา
จ้างไถ ยาคุม ยาฉีด แล้วเราจะรู้ว่าลดต้นทุนได้ไหม
ต้นทุนสูงมากไหมลักษณะนี้เราจะรู้
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
ทีนี้หลังจากเราทำประสบผลสำเร็จมีความก้าวหน้า
พี่ผดุงเริ่มเป็นแกนขยายผล เดี๋ยวผมจะกลับมาที่พี่ผดุงอีกที
เชื่อมไปที่คุณจรัล เป็นคนรุ่นใหม่
คุณจรัลเข้ามาเกี่ยวข้องกับเครือข่ายได้อย่างไรครับ
คุณจรัล ติ้งฉิ่น
:
ครั้งแรกที่ผมเข้ามาเกี่ยวข้องกับเครือข่ายเหล่านี้เรื่องการคัดเมล็ดพันธุ์ข้าวคือ
พี่ผดุงแกไปสอน
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
เริ่มต้นอย่างไร
ในการเรียนรู้ในเรื่องการคัดเลือกพันธุ์ข้าวเฉพาะของกลุ่มนี้
คุณจรัล ติ้งฉิ่น :
ผมขอแนะนำตัว
ผมอยู่ตำบลวังหว้าคนละตำบลกับพี่ผดุงแต่อยู่อำเภอเดียวกัน
มีกำนันสะอาด
แกเป็นกำนันของตำบลวังหว้าแกเห็นว่าเรื่องพันธุ์ข้าวน่าจะดีกับชาวนา
แกเชิญพี่ผดุงกับพี่สินชัยเป็นวิทยากรสอนเรื่องพันธุ์ข้าว
ผมก็เลยได้เรียนที่ตำบล ตอนนั้นมีนักเรียน 20
กว่าคน เหลือผมคนเดียว 1 คน พอไปเรียนเสร็จข้อมูลได้ไม่เต็มร้อย
ผมก็เลยตามไปเรียนกับแกที่บ้าน
พอไปเรียนกับแกที่บ้านได้ข้อมูลครบผมก็มาฝึกทำเอง
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
แล้วเป็นไงได้ผลไหม
คุณจรัล ติ้งฉิ่น
:
ได้ผลเป็นที่พอใจเลยครับ
เพราะว่าตอนนั้นใช้ข้าวพันธุ์สุพรรณ 1
ของผมได้ไม่เท่าอาจารย์ผดุงของผมได้น้อยกว่าจากข้าว 1 เมล็ด ได้ 110
กลีบ จำนวนรวงจริงได้ 100 รวง ผมได้ไม่เท่าเขาแล้วอยู่ต่อมาเรื่อย ๆ
ก็ลุงกำนันแกชักชวนให้เรียนนักเรียน วปอ. ภาคประชาชน
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
ไปเข้า วปอ. ของพี่ผดุงรุ่นที่ 4
ของจรัลรุ่นเท่าไหร่ครับ
คุณจรัล ติ้งฉิ่น
:
ของผมรุ่นที่ 7 พอไปเรียนนักเรียน วปอ. เขาสอนทุกอย่าง หลายกระบวนการ
มีปุ๋ย น้ำหมักชีวภาพ สารฆ่าแมลง สารไล่แมลง และก็วิธีการตอน
การทาบกิ่งมีพืชสวนมีพืชไร่
คือแล้วแต่ว่ามันจะตรงกับครอบครัวของใครที่จะนำกลับไปใช้ได้
ผมก็ไปเรียน 4 คืน 5 วันเหมือนกันกลับมาก็มาทดลองใช้
ก่อนที่จะมาถึงจุดหักเหตรงนี้มันเกิดจาการใช้สารเคมีมาก ๆ
แล้วทีนี้เป็นหนี้เป็นสินหันหน้าไปพึ่งใครไม่ได้
มันเกิดน้ำท่วมปี 38 อยู่ต่อมาเพลี้ยกินข้าว
มาตายตอนแล้งสามสี่ปีซ้อนผมก็เลยกลายเป็นหนี้หนัก
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
บอกได้ไหมว่าหนี้เท่าไหร่
คุณจรัล ติ้งฉิ่น
:
หนี้ 180,000 บาท ครับ ผมทำนาประมาณ
50 กว่าไร่ ผมมาเรียน วปอ. เริ่มลดนาลงเหลือ 15 ไร่
ก็เลยหันกลับมาทำมาศึกษามาวิเคราะห์ทำด้วยตัวเองบ้าง
พอมีปัญหาติดขัดก็วิ่งไปหาอาจารย์ผดุงบ้าง
พออยู่มาจากพันธุ์ข้าวเกี่ยวแล้วขายเลยพอเรามาคัดพันธุ์เอง
ชาวบ้านหันมาเห็นข้าวเสมอดีนะเขามาสั่งซื้อโดยตรงจากชาวนาเหมือนกัน
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
ตอนนี้เราได้ได้ประโยชน์ที่จะคัดพันธุ์ขายพันธุ์ข้าวได้ด้วยใช่ไหม
คุณจรัล ติ้งฉิ่น
:
คือเรากำหนดราคาเองได้
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
ถ้าขายเป็นพันธุ์ข้าวตกเป็นกิโลเท่าไหร่
คุณจรัล ติ้งฉิ่น
:
เป็นพันธุ์ข้าวกิโลละ 7 บาท
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
ถ้าขายเป็นข้าวเปลือกธรรมดาราคาเทาไหร่
คุณจรัล ติ้งฉิ่น :
คือข้าวปลูกกับพันธุ์ ข้าวราคาไม่ต่างกัน
ต่างกันถ้าเป็นข้าวปลูกเราจะขายในราคาแพง
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
เราขายเป็นข้าวปลูกด้วยราคาเท่าไร
คุณจรัล ติ้งฉิ่น :
พันธุ์ข้าวกับข้าวปลูกอย่างเดียวกันถ้าข้าวสดขายถังละ 70 ถ้า
ข้าวแห้งถังละ 100 บาท ผมทำอย่าง 2 อย่าง ทำนาปีและนาปรัง
นาปรังผมรุ่นที่ผมทำเป็นเกษตรเคมี ผมได้ 90 ถัง ต่อไร่
ทำไปเรื่อยๆ สารเคมีเพิ่มขึ้นข้าวลดลงๆ แต่พอผมไปเรียน
วปอ.ไปศึกษาไปเรียนรู้
ผมหันกลับมาทำครั้งแรกเลยเป็นกึ่งเคมีกับชีวภาพ
เคมีกึ่งเกษตรอินทรีย์ ข้าวผมได้น้อยข้าวนาปรังผมได้ 60-70
ถังต่อหนึ่งไร่ ครั้งแรก ๆ ข้าวนาปีได้ 50 ถังถึงรอบปีจะทำหนึ่งครั้ง
เพื่อเอาข้าวรับประทานเอง พอถึงปัจจุบันข้าวนาปรังผมได้
105 ถัง ข้าวนาปีของผมเอง 83 ถังต่อหนึ่งไร่
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
มองเรื่องของต้นทุนลดไปได้อย่างไร
คุณจรัล ติ้งฉิ่น
:
ต้นทุนถ้าหากว่าเป็นสารเคมีตกที่ไร่ละสามพันกว่าบาทถ้าหากเกษตรอินทรีย์ลงทุนไร่ละ
2,080 บาท คิดทุกอย่างกระทั่งแรงงานของเราเองที่แพงคือค่าเช่า
ผมไม่มีนาเป็นของตัวเอง
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
ผมถามอย่างนี้เลยเมื่อเรามาจุดนี้แล้วเรามีความรู้สึกว่าชีวิตเราดีขึ้นไหม
เราดีขึ้นเรื่องอะไรบ้างผมถามตรง ๆ เลย
คุณจรัล ติ้งฉิ่น :
ตรงนี้ถามว่าชีวิตดีขึ้นไหม
ผมขอพูดเกี่ยวกับสุขภาพเมื่อเราใช้สารเคมี เราเข้าออกโรงพยาบาล
หมอเขารู้ว่า ชื่อ-สกุล อยู่ตรงไหนจนจะเป็นเพื่อนกับหมอก็ว่าได้
พอปัจจุบันห่างเหินครับเพราะว่าเราลดจากสารเคมีใช้ชีวภาพสุขภาพร่างกายเราแข็งแรงขึ้น
เกี่ยวกับเรื่องครอบครัวเมื่อก่อนเรื่องครอบครัวเมื่อเป็นหนี้เป็นสิน
ครอบครัวก็ไม่มีความสุขทะเลาะกันบ้างเป็นเรื่องธรรมดา
เงินทองไม่เข้าใครออกใครเป็นสิ่งล่อตา บาดใจ
พอมาทำตรงนี้เราพอมีเงินเหลือใช้ครอบครัวมีสุขขึ้น
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
แสดงว่าหนี้ลดแล้ว
คุณจรัล ติ้งฉิ่น :
ครับ หนี้ลดแล้วถ้าหากว่า 3
ปีที่ผมเริ่มหันหน้ามาตรงนี้ จากที่ผมเริ่มเป็นหนี้อยู่ 180,000
บาทผมยังเป็นหนี้อยู่เท่าเดิม แต่ผมได้เขาเรียกว่าปัจจัย 5
ปัจจัย 6 เพิ่มขึ้นมาคือผมได้ที่ดินเพิ่มขึ้น ห้าหกไร่
ผมเอาเงินที่มีกำไรบ้างไปซื้อที่
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
มีอะไรเพิ่มขึ้นอีกไหม
คุณจรัล ติ้งฉิ่น :
ได้รถไถอีกหนึ่งคันราคา 130,000 บาท
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
คือเราแปลงมันเป็นทรัพย์สินแต่หนี้เท่าเดิม
มีอะไรบอกที่ประชุมหลังจากที่เราทำ ถามพี่ผดุงด้วยเรายืนอยู่จุดนี้
รู้สึกว่าชีวิตเราดีขึ้นอย่างไรแง่มุมอะไรบ้าง
คุณจรัล ติ้งฉิ่น :
ตรงนี้ละครับ
ถ้าเรามัวหลงงมงายคือสิ่งล่อตาล่อใจหลงโฆษณาอยู่ไปไม่รอดหรอกครับ
ทุกอย่างที่โฆษณามันเงินล้วนๆ ครับ
ถ้าหากเราหันมาตรงนี้เราทำด้วยกำลังแรงงานของเราเองมันประหยัดมันลดต้นทุนเราไปได้มากเลย
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
พี่ผดุงจะบอกทางผู้เข้าร่วมประชุมอย่างไรบ้าง
เมื่อมาถึงจุดนี้แล้วพี่ผดุงมีข้อคิดข้อเรียนรู้อะไรบ้างจากการที่เราเปลี่ยนความคิดเปลี่ยนวิธีการทำไร่ทำนาของเรา
คุณผดุง เครือบุษผา
:
ผมอยากจะฝากพี่น้องชาวนาว่า
ถ้าราไม่ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตนเอง
ผมเชื่อแน่ว่าหนี้สินไม่ลดตัวเองไม่ปลอดภัยถ้าเราฝืนใช้ระบบสารเคมีเรื่อย
ๆ หนี้สินยากมากที่จะลด
ถ้าเราเกิดปรับทางปัญญาหาสิ่งเรียนรู้ใหม่มาแก้ปัญหาตรงนี้
หนึ่งข้าวเราไม่ซื้อ สองสมุนไพรไล่แมลงทดแทนสารเคมีได้
ฮอร์โมนทดแทนฮอร์โมนจากท้องตลาดที่สื่อโฆษณาอยู่
ถ้าพวกเราไปหลงเชื่อตรงนี้ผมขอฝากไปเลยว่ามันยากจะปลดหนี้ได้
อย่างถ้าใครทำอย่างระบบเครือข่ายของจังหวัดพิจิตรที่ขยายไปเรื่อย ๆ
เรียนรู้กันไปเรี่อยๆ จัดเวทีอำเภอโน้นบ้างอำเภอนี้บ้าง
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
ตรงนี้พี่ผดุงขยายนิดหนึ่งว่าที่เรามีเวทีเรียนรู้อย่างต่อเนื่องเป็นเครือข่ายกี่อำเภอ
คุณผดุง เครือบุษผา
:
ทั้งหมดมี 12 อำเภอ
เดือนหนึ่งแกนนำมาพบกันครั้งหนึ่ง
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
อย่างพี่ผดุงถือว่าเป็นอะไรครับ
คุณผดุง เครือบุษผา
:
แกนนำระดับอำเภอครับ
แกนนำก็จะสอดแทรกเข้าไปในตำบล ต่าง ๆ
ว่าหมู่บ้านนี้มีใครบ้างที่สนใจเรื่องอินทรีย์ชีวภาพ
อยากลดต้นทุนไหมถ้าอยากลดมาเรียนรู้กับเราคุณก็หากลุ่มตั้งกลุ่มเข้าอยากรู้เรื่องอะไรบ้าง
ดิน แมลง น้ำหมักชีวภาพ ก็ถามเขา
ก็จะติดต่อมาว่าอยากเรียนรู้
เครือข่ายคนนั้นรู้เรื่องอะไรเอาไปพูดคุยแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน
เขาจะค่อย ๆ เข้าใจเข้าจะตั้งกลุ่มขึ้นมากลุ่มคืออะไรคือพลัง
แล้วเครือข่ายเรามี ทุกจุดทุกอำเภอทุกตำบล
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
สมาชิกของเครือข่ายของเรามีทั้งหมดเท่าไหร่ครับ
คุณผดุง เครือบุษผา
:
ทั้งจังหวัดพิจิตร 3,000 ครัวเรือน
จะพยายามหาต่อไปขับเคลื่อนต่อไป กลุ่มไหนจะขับเคลื่อนเรื่องอะไร
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
แกนนำก็ไปหาสมาชิกว่าในพื้นที่มีเกษตรกรท่านใดสนใจ
มีตัวแทนเข้าไปสนับสนุนการเรียนรู้
แกนนำเองก็มีเวทีในระดับจังหวัดด้วยเป็นเครือข่ายด้วย
คุณผดุง เครือบุษผา
:
อย่างของโรงเรียนวัดวังไคร้
ผมเข้าไปแนะนำอาจารย์ว่าอาจารย์สนใจเรื่องเกษตรไหม เดี๋ยวนี้ว่าเรา
มีทายาทเกษตร พ่อแม่บางคนอาจใช้สารเคมีเยอะแยะ
หนี้สินล้นพ้นเรามาลองทำเวทีเล็กๆ ดูไหม
เอาคนนั้นมาสอนเรื่องสมุนไพร ไล่แมลงก่อน เป็นนักเรียนมัธยม
พออาจารย์ตกลงเอาคุณสินชัยมา ซื้อถังมาให้กากน้ำตาลมาให้
เพราะมันมีงบสนับสนุนตอนนั้นก็เอามาจัดเวทีที่โรงเรียนมีอาจารย์
เด็กนักเรียนประมาณ 30 คน เขาสนใจเรื่องทำผักโดยว่าไม่มีสารเคมีเลย
ผมก็เลยลองถามคุยกับเขาดูสรุปว่าเขาเอา ผมก็เลยสอนทำ
น้ำหมักชีวภาพ แล้วก็ฮอร์โมนชีวภาพหมักหอยพอเสร็จแล้วให้เด็กทำ
ทำอะไรรู้ไหมครับ ทำผักก่อนทีแรก กลุ่มละ 6 คน
แปลงเดียวแต่มันก็หลายแปลงมาแล้วเสร็จแล้ว แต่เรายังไม่มีตลาด
ไม่ต้องมีตลาดหรอก
ผักนี้สะอาดปลอดภัยจากสารเคมีทั้งนั้นเลย
หนูลองบอกให้พ่อแม่ทำกับข้าวที่บ้านกินก่อนโดยไม่ต้องมุ่งเรื่องขายเรายังไม่เน้นตรงนี้
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
ทีนี้ตอนนี้คุณพี่ผดุงอายุ
56 ของคุณจรัล 34 ปี อันนี้ก็เป็นตัวแทนของเกษตรกรรุ่นใหม่
ตอนนี้ผมมีคำถามว่าพอมาถึงจุดนี้มีหลายคนเขาคิดว่าการทำอาชีพเกษตรไม่มีอนาคตนะ
ไม่อยากให้ลูกหลานทำอาชีพเกษตรต่อไปแล้ว
ในฐานะที่เราคลุกคลีมาถึงจุดนี้
เราคิดว่าอาชีพเกษตรยังเป็นทางออกของคนรุ่นใหม่ไหม
และถ้าเราจะทำให้เป็นทางออกเราจะต้องทำอย่างไร
ถามทั้งสองท่านเลย
คุณผดุง เครือบุษผา
:
จริง ๆ
แล้วถ้าพวกเราชาวเกษตรมีทางออกทุกแง่ทุกมุมเพียงแต่เราพยายามเรียนรู้ให้ได้ว่า
เรียนรู้แล้วต้องทดลองทำ เรียนรู้จะลดได้ไหมต้นทุน
ตรงนี้สมควรจะลดได้ไหม สมมติผมยกประเด็นง่ายๆ
ว่าบางคนบอกว่านารกจังทำไมไม่ซื้อยาฆ่าหญ้ามาฉีด
ผมบอกไม่ได้ผมจ้างคนดีกว่าเดือนหนึ่ง ผมว่าง10 กว่าวัน
นอกนั้นจะตระเวนไปเรื่อย ๆ
ไม่มีเวลาจริงอยู่แต่ผมจ้างเขาหวดดีกว่าแม้เสียเวลาหน่อยดินข้างคันนาไม่เสีย
แล้วพวกท่านหละ
พอฉีดยาฆ่าหญ้าตกถึงดินปุ๊บปัญหาเกิดแต่เขาแก้ไม่เป็น
เวลาข้าวออกมารวงจู๋หดๆ
เพราะสารฆ่าหญ้ามันตกลงไปในดินผสมแล้วพืชโตไม่ได้
แต่ถ้าเราหวดผมยอมรับว่าระบบนิเวศน์มันเกิด
เพราะอะไรครับมันเกิดเพราะแมลงที่หญ้ามันอยู่มันจะได้ไม่กวนพืชเราไม่ได้กวนข้าวเรา
มันพูดไปได้เยอะครับพูดแล้วมันยาวพูดถึงวัฒนธรรม ประเพณี
ก่อนจะหว่านข้าวมันมีอะไรบ้าง
ตรงนี้มันสื่อจากเบื้องบนต้องทำนะพวกอื่น ๆ
หนูกินเป็นแปลงแต่ผมไม่กินใช้สื่อวัฒนธรรมเก่า ๆ ที่เราเคยทำมาก่อน
จะหว่านมีแรกนาเฉพาะปีนี้ผมว่าวันเสาร์ปีนี้ดี จะหว่านข้าว
จนถึงวันที่ 15
เมษาเปลี่ยนแปลงใหม่และคือเดือนไทยมีดีวันเดียววันเสาร์ขอให้หว่านข้างขึ้น
แล้วบ่นปากบ่นคอไปว่าอย่ามีแมลงมารบกวนผมทำอย่างนี้มาตลอด
หนูในนามันมีเยอะแยะแต่ไม่กัดข้าวผมแต่มันเป็นไปได้ครับอาจารย์
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
ฟังเหมือนพี่ผดุงก็ยังเชื่อมโยงกับความรู้เดิมและหยิบเอาสิ่งเหล่านั้นมาด้วย
แล้วเมื่อกี้ที่ผมบอกว่าเรื่องเกษตรยังเป็นอนาคตของคนรุ่นใหม่ได้ไหมครับ
พี่ผดุงจะตอบยังไง
มีต่อตอนที่ ๖
ครับ