สำหรับส่วนประกอบด้านเนื้อหาถือเป็นส่วนสำคัญที่นิสิต
นักศึกษา ต้องศึกษาวิธีการเขียนการเรียบเรียงให้ดีและถูกต้อง
เพราะส่วนนี้คือหัวใจสำคัญของเค้าโครงวิทยานิพนธ์
ในงานวิจัยเชิงปริมาณส่วนใหญ่แล้วจะประกอบด้วย 3 บทด้วยกัน
ส่วนงานวิจัยเชิงคุณภาพอาจจะมี 3-5 บท
ก็ได้ทั้งนี้ขึ้นอยู่ประเภทของงานวิจัยด้วย
3.1
การเขียนบทที่ 1 บทนำ
ถือว่าเป็นส่วนแรกที่สำคัญ เปรียบเสมือนประตูบานแรกที่บ่งบอกเหตุผล
หลักการว่าวิทยานิพนธ์ที่นิสิต นักศึกษาทำมีความสำคัญ
มีปัญหาอย่าไร ถึงจะทำเรื่องนี้ เป็นการบ่งชี้ความสำคัญ
ชี้ปัญหาที่ชัดเจนในการทำ บทนำประกอบด้วยหัวข้อต่าง ๆ
ดังนี้ ภูมิหลัง
ความมุ่งหมายของการวิจัย หรือความสำคัญของการวิจัย
กรอบแนวคิดของการวิจัย* ขอบเขตของการวิจัย สมมุติฐานของการวิจัย *
ข้อตกลงเบื้องต้น* และนิยามศัพท์เฉพาะ*
และแต่ละหัวข้อย่อยมีหลักในการเขียนดังนี้
3.1.1 การเขียนภูมิหลัง
โดยภูมิหลังจะทำหน้าที่แนะนำให้ผู้อ่านงานวิทยานิพนธ์ของนิสิต
นักศึกษาให้รู้ความเป็นมา หลักการ เหตุผล
ความสำคัญและปัญหาของวิทยานิพนธ์หรือเป็นการตอบคำถามว่า ทำไมนิสิต
นักศึกษาจึงทำวิทยานิพนธ์เรื่องนี้
การเขียนภูมิหลังอาจเรียกได้ว่าเป็นงานยากสุดในกระบวนการเรียบเรียงวิทยานิพนธ์
จึงไม่เป็นแปลกที่ นิสิต
นักศึกษาส่วนใหญ่จะกังวลเมื่อเริ่มลงมือเขียนภูมิหลัง
บางคนไม่มีประสบการณ์ในการเขียนงานวิชาการมาก่อน
จึงจับต้นชนปลายไม่ถูกและไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นอย่างไร
บางทีอาจเสียเวลามาก จนถึงเกินความเบื่อหน่ายได้
ดังนั้นภูมิหลังมีหลักในการเขียนดังนี้
1)
ภูมิหลังโดยทั่วไปมีประมาณ 3-5 หน้า
และมีย่อหน้าไม่เกิน 7 ย่อหน้า
เพราะการเขียนภูมิหลังเป็นการเขียนความเรียงแบบต่อเนื่องเรื่องเดียวกัน
ยิ่งมีย่อหน้ามากเท่าไรจะเป็นภูมิหลังตัดปะ กล่าวคือ
การนำบทความของงานเขียนของนักวิชาการมาเขียนต่อกัน
ทำให้อ่านแล้วไม่ได้ใจความสำคัญว่ากล่าวถึงเรื่องใด
2)
ความสอดคล้องกับชื่อเรื่อง
การเขียนภูมิหลังต้องมีความสอดคล้องกับชื่อเรื่องที่ทำ
ข้อบกพร่องที่พบส่วนใหญ่ นิสิต
นักศึกษามักจะยกเอาเรื่องที่ล้าสมัยมาเขียนและไม่สอดคล้องกับสภาพปัจจุบันมาอ้าง
ดังนั้นการเขียนต้องมีความสอดคล้องกับชื่อเรื่องโดยเริ่มตั้งแต่ย่อหน้าแรกถึงย่อหน้าสุดท้าย
เช่น ศึกษาเรื่อง
แนวทางการพัฒนาการเรียนการสอนทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Learning)
สำหรับสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย
เนื้อเรื่องหรือคำกล่าวที่เขียนในภูมิหลังต้องเกี่ยวข้องกับการเรียนการสอนทางอิเล็กทรอนิกส์(e-Learning)
หัวข้อจะนำเขียนภูมิหลังคือ หลักการ
ความสำคัญหรือเหตุผลและปัญหาของการเรียนการสอนทางอิเล็กทรอนิกส์(e-Learning)
ในสถาบันอุดมศึกษา รวมถึงสภาพปัจจุบันว่าเป็นอย่างไร
ดังนั้นการนำเอาคำกล่าวของคนอื่นมาเขียนควรเป็นปัจจุบันมากที่สุด
ไม่กล่าวหรือเรียบเรียงห่างจากชื่อเรื่องมากเกินไป ควรสั้น กะทัดรัด
ตรงตามชื่อเรื่องมากที่สุด
โดยเมื่ออ่านภูมิหลังจบต้องรู้ทันทีว่ากำลังจะศึกษาเรื่องดังกล่าวมาข้างตน
และย่อหน้าสุดท้ายผู้ทำวิทยานิพนธ์จะสรุปว่าจากหลักการและเหตุผลดังกล่าว
ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะศึกษาเรื่องดังกล่าว
และกล่าวถึงประโยชน์ที่ได้รับหลังจากการทำวิทยานิพนธ์เสร็จสิ้นแล้วประมาณ
2-3 บรรทัด
3) ชี้ปัญหา
ความสำคัญชัดเจนและชี้ถึงแนวโน้มในอนาคต
ข้อบกพร่องที่พบในภูมิหลัง พบว่า นิสิต
นักศึกษาเขียนปัญหาไม่ชัดเจนในการวิจัยคืออะไร
เหตุใดผู้วิจัยจึงสนใจศึกษาเรื่องนั้น
ดังนั้นการเขียนภูมิหลังต้องชี้ปัญหาและความสำคัญชัดเจน เช่น
ศึกษาเรื่อง
การเปรียบเทียบผลการเรียนรู้จากบทเรียนบนระบบเครือข่ายรายวิชาการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
ของนิสิตระดับบัณฑิตศึกษา
มหาวิทยาลัยมหาสารคามที่มีรูปแบบการเรียน(Learning Style)
ต่างกัน
การเขียนภูมิหลังต้องกล่าวถึงความสำคัญหรือปัญหาในปัจจุบันว่าเป็นอย่างไร
มีความสำคัญอย่างไรถึงศึกษาเรื่องนี้มีจุดเด่นหรือดีกว่าการเรียนแบบปกติอย่างไร
แบบเรียนแบบต่าง ๆ ส่งเสริมการเรียนรู้อย่างไร
ซึ่งปัญหาและความสำคัญมาจาก การเปลี่ยนแปลงทางสังคม
ทฤษฏีและบทความวิชาการ ความเคลื่อนไหวทางการวิจัยที่ตนศึกษา
แต่อย่างไรก็ตามการยกข้อความหรือคำกล่าวของคนอื่น
มาเขียนควรมีการวิเคราะห์หรือเลือกให้เหมาะสมกับชื่อเรื่องของเรา
เพราะบางครั้งคำกล่าวที่ยกมาอาจจะตรงกับปัญหาหรือความสำคัญเฉพาะบางส่วนเท่านั้น
ส่วนที่เหลือไม่เกี่ยวข้องเลย และอีกประการหนึ่งการเขียนภูมิหลัง
ไม่ควรนำเอาความคิดเห็นส่วนตัวที่พบหรือเหตุการณ์ที่จะมีผลต่อการทำวิจัย
4)
ใช้กรอบแนวคิดของผู้วิจัย สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่ง
ภูมิหลังที่เขียนต้องอยู่ในกรอบของการวิจัย
เฉพาะจงเจาะเรื่องที่ศึกษาหรือวิจัยอย่างชัดเจน
เพราะกรอบแนวคิดในการวิจัยจะประกอบด้วยตัวแปรและความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร
ซึ่งนิสิต
นักศึกษาจะได้แนวทางในการเขียนภูมิหลังที่ง่ายขึ้นและทิศทาง
มีความสัมพันธ์ของเรื่องที่เขียนสอดคล้องกันตามลำดับ
และมีความเป็นเหตุเป็นผลในการเขียนภูมิหลังด้วย
5) ใช้ภาษา ถูกต้อง
ต่อเนื่อง ประการสุดท้ายที่มีสำคัญเช่นเดียวกัน
เนื่องจากวิทยานิพนธ์เป็นผลงานวิชาการ
การเขียนต้องใช้ภาษาเขียนที่มีถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ไม่ควรใช้ภาษาพูดในการเขียนภูมิหลังวิทยานิพนธ์
ส่วนใหญ่แล้วมักจะพบการใช้ภาษาที่ผิด เช่น
ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อไป ประโยคที่เขียนถูกต้อง คือ
ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อไป
ดังนั้นการใช้ภาษาที่ถูกต้องจึงมีความสำคัญและภูมิหลังนั้นการเขียนควรมีความต่อเนื่องทั้งการเชื่อมคำไม่ควรใช้คำว่าและ
หรือ ก็ ซึ่ง
ในการเชื่อมประโยคมากเกินไปและที่สำคัญระหว่างย่อหน้าและย่อหน้าถัดไปต้องมีความต่อเนื่องเป็นเรื่องเดียวกัน
กล่าวถึงเรื่องที่ศึกษาอย่างชัดเจนตั้งแต่ย่อหน้าแรกถึงย่อหน้าสุดท้าย
ที่มาของเนื้อหาภูมิหลัง
ปัญหาที่มักนิสิต นักศึกษา คิดไม่ออกประการหนึ่ง
แล้วจะเอาเนื้อหา สาระ อะไรนำมาเขียนในภูมิหลัง
เพื่อให้ภูมิหลังมีความชัดเจน ตรงประเด็นที่ศึกษามากที่สุด
แหล่งของเนื้อหาที่จะมาสนับสนุนการเขียนภูมิหลัง ได้แก่
1. สภาพปัญหา อดีต ปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต นิสิต
นักศึกษา
พยายามหาข้อมูล หลักฐานมาเสนอให้ผู้อ่านเห็นว่า
หัวข้อเรื่องวิทยานิพนธ์ที่จะศึกษา วิจัย ในปัจจุบันเป็นปัญหา อุปสรรค
อย่างไร ต้องหาทางแก้ไขหรือขจัดปัญหาดังกล่าว
2. แนวคิด ทฤษฏีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง นิสิต
นักศึกษาต้องพยายามหาแนวคิด
ทฤษฏีที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อเรื่องวิทยานิพนธ์ ว่าเป็นอย่างไร
คิดเลือก สังเคราะห์แนวคิด ทฤษฏีที่น่าเชื่อถือ เป็นปัจจุบัน
และสอดคล้องกับหัวข้อเรื่องมาเสนอ
3. ผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง นิสิต
นักศึกษาจะต้องเสนอผลงานวิจัยคนอื่นที่
เกี่ยวข้องกับหัวข้อเรื่องวิทยานิพนธ์ที่ศึกษา วิจัย สรุป
ชี้ประเด็นให้เห็นว่า ที่ผ่านมีใครวิจัยไว้บ้างแล้ว
ทำในลักษณะใด ศึกษากับใครและได้ผลอย่างไร
จากข้อมูลทั้งหมด นิสิต
นักศึกษาสรุปต่อท้าย สัก 2-3 บรรทัด ชี้ให้เห็นว่า
หัวข้อเรื่องวิทยานิพนธ์ที่ทำยังไม่มีคำตอบและสามารถจะหาคำตอบได้
และคำตอบที่ได้จะเป็นประโยชน์อย่างไร
การเขียนภูมิหลังไม่มีหลักเกณฑ์ตายตัว
ที่สำคัญภูมิหลังต้องมีความชัดเจน
สั้นกะทัดรัดได้ใจความสำคัญ ชี้ถึงปัญหาและความสำคัญอย่างชัดเจน
อยู่ในกรอบแนวคิดของการวิจัย ใช้ภาษาถูกต้อง ต่อเนื่อง
และที่สำคัญสอดคล้องกับชื่อเรื่องที่ นิสิต นักศึกษาทำ
ซึ่งการเขียนภูมิหลังให้ดี ต้องเกิดจาการการศึกษาค้นคว้า
การอ่าน
การศึกษาที่เป็นปัจจุบันและเข้าใจปัญหาเรื่องที่ศึกษาอย่างอย่างชัดแจ้ง
3.1.2
การเขียนวัตถุประสงค์หรือความมุ่งหมายของการวิจัย
ในเค้าโครงวิทยานิพนธ์นิสิต
นักศึกษามักจะเขียนจุดมุ่งหมายไม่ครอบคลุมและไม่ชัดเจน
รวมถึงตั้งจุดมุ่งหมายของการวิจัยไม่ได้
ทั้งนี้เนื่องจากขาดความแตกฉานในเรื่องที่ศึกษา
ไม่เข้าใจกรอบแนวคิดในการวิจัยอย่างชัดแจ้ง
ดังนั้นการเขียนจุดมุ่งหมายของวิจัยมีหลักในการเขียนดังนี้
1)
การตั้งจุดมุ่งหมายของการวิจัย
จะตั้งเป็นข้อหรือไม่เป็นข้อก็ได้
ทั้งขึ้นอยู่กับสิ่งที่ต้องการศึกษาหรือประเภทของงานวิจัย
ถ้าเป็นงานวิจัยเชิงปริมาณ จะตั้งเป็นข้อ ๆ
และงานวิจัยเชิงคุณภาพส่วนใหญ่จะไม่แยกข้อ
2) จุดมุ่งหมายของการวิจัย
มาจากชื่อเรื่องและตัวแปรของการวิจัย
เอามาตั้งเป็นจุดมุ่งหมายของการวิจัย ตัวอย่างเช่น
2.1) ศึกษาเรื่อง
แนวโน้มการดำเนินงานห้องสมุดประชาชนอำเภอในทศวรรษหน้าโดยใช้เทคนิคเดลฟาย(อุบล
โคตา : 2545) ความมุ่งหมายของการวิจัย คือ
เพื่อศึกษาแนวโน้มการดำเนินงานห้องสมุดประชาชนอำเภอในทศวรรษหน้าโดยใช้เทคนิคเดลฟาย
2.2) ศึกษาเรื่อง
เจตคติและความเครียดของข้าราชการครูที่มีต่อการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอุดรธานี (พนารัตน์ ขุราษี :
2547)ความมุ่งหมายของการวิจัย คือ
-
เพื่อศึกษาเจตคติของข้าราชการครูที่มีต่อการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
(มาจากชื่อเรื่อง)
-
เพื่อศึกษาระดับความเครียดของข้าราชการครูที่มีต่อการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน(มาจากชื่อเรื่อง)
-
เพื่อเปรียบเทียบเจตคติของข้าราชการครูต่อการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่มีประสบการณ์ในการสอน
ประสบการณ์ในการอบรมการจัดทำหลักสูตร
ขนาดของโรงเรียนและระดับช่วงชั้นที่จัดทำหลักสูตรสถานศึกษา
(ตัวแปร)
2.3)
การตั้งจุดมุ่งหมายของการวิจัย ส่วนใหญ่จะขึ้นต้นด้วยคำว่า
เพื่อ เพื่อศึกษา เพื่อหา เพื่อเปรียบเทียบ เป็นต้น
แล้วตามด้วยชื่อเรื่องวิจัยและตัวแปรการวิจัย ตัวอย่างเช่น
เพื่อศึกษาเจตคติของข้าราชการครูที่มีต่อการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน(ชื่อเรื่อง)
2.4 ) การตั้งจุดมุ่งหมายของการวิจัย
ต้องมีความชัดเจนเข้าใจง่าย
ไม่ซ้ำซ้อนและครอบคลุมประเด็นที่ศึกษา หากนิสิต
นักศึกษาเข้าใจหรือวิเคราะห์หัวเรื่องได้ดี
จะสามารถแยกแยะว่าต้องการจะศึกษาเรื่องอะไรบ้างหรือมีเรื่องอะไรบ้างที่ต้องศึกษาและยังอาจแบ่งเป็นประเด็นย่อย
ทำให้มีความละเอียดเพิ่มขึ้น
การตั้งจุดมุ่งหมายก็จะมีความชัดเจนยิ่งขึ้น
ซึ่งกระบวนการแยกแยะและตั้งจุดมุ่งหมายจะช่วยทำให้นิสิต
นักศึกษาเข้าใจและทราบต่อไปว่า
ตนเองจะเก็บรวบรวมข้อมูลอะไรบ้างและข้อมูลที่จัดเก็บใช้เครื่องมืออะไร
จะต้องมีความละเอียดมากน้อยเพียงใด
จะได้เห็นว่าการตั้งจุดมุ่งหมายของการวิจัยเปรียบเสมือนเครื่องชี้ทาง
ซึ่งช่วยนิสิต
นักศึกษาให้เก็บข้อมูลได้ถูกต้องตามจุดมุ่งหมายของการวิจัย
ตัวอย่างเช่น
-
เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยบทเรียนบนเครือข่าย
เรื่อง ภาษาไทยเพื่อการสื่อสารและสืบค้น แสดงว่า นิสิต
นักศึกษาต้องเก็บข้อมูล 2 ครั้ง
คือก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยบทเรียนบนเครือข่าย
เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล
เป็นแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
2.5)
การตั้งจุดมุ่งหมายของการวิจัยต้องเป็นประโยคบอกเล่า
2.6)
จุดมุ่งหมายที่ตั้งขึ้น
สามารถตั้งสมมติฐานตรวจสอบหรือทดสอบได้
กล่าวคือ ในงานวิจัยเชิงปริมาณส่วนใหญ่จะมีสมมติฐาน
เมื่อนิสิต
นักศึกษาตั้งจุดมุ่งหมายของการวิจัยขึ้นแล้วต้องทดสอบได้
ตัวอย่างเช่น
ความมุ่งหมายของการวิจัย
เพื่อเปรียบเทียบเจตคติของข้าราชการครูต่อการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่มีประสบการณ์ในการสอน
ประสบการณ์ในการอบรมการจัดทำหลักสูตร
ขนาดของโรงเรียนและระดับช่วงชั้นที่จัดทำหลักสูตรสถานศึกษา
สมมติฐานของการวิจัย
ข้าราชการที่มีประสบการณ์ในการสอน
ประสบการณ์ในการอบรมการจัดทำหลักสูตร
ขนาดของโรงเรียนและระดับช่วงชั้นที่จัดทำหลักสูตรต่างกันมีเจตคติต่อการทำหลักสูตรสถานศึกษาขั้นพื้นฐานแตกต่างกัน
การทดสอบในที่นี้คือการทดสอบด้วยวิธีการทางสถิติ
เช่น
-
ประสบการณ์ในการสอน แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ ประสบการณ์น้อยกว่า 5
ปีและประสบการณ์มากกว่า 5 ปีขึ้นไป สถิติที่ใช้ในการทดสอบคือ t-test
(Independent sample t-test)
-
ขนาดโรงเรียน แบ่งออกเป็น 3 ขนาด คือ ขนาดเล็ก ขนาดกลางและขนาดใหญ่
สถิติที่ใช้ในการทดสอบ คือ One- way ANOVA (analysis of variance)
2.7)
มีความสัมพันธ์ระหว่างประเด็นหรือหัวข้อจุดมุ่งหมายของการวิจัย
นอกจากจุดมุ่งหมายที่ตั้งขึ้นจะมีความชัดเจนเข้าใจง่าย
ไม่ซ้ำซ้อนแล้ว นิสิต
นักศึกษาต้องจัดอันดับให้เห็นความสัมพันธ์กันหรือให้เห็นความลดหลั่นถึงความสำคัญของจุดมุ่งหมายของการวิจัย
3.1.3
การเขียนความสำคัญของการวิจัย
ความสำคัญของการวิจัยเป็นการบ่งชี้ว่าหลังจากทำวิทยานิพนธ์เสร็จแล้ว
จะได้อะไรบ้างในแง่ของประโยชน์ที่คาดจะได้รับ
ความรู้ที่ได้จากการทำวิทยานิพนธ์และ
สามารถนำผลการวิจัยไปประยุกต์ได้ในด้านใดบ้าง
ซึ่งความสำคัญของการวิจัยมีหลักการเขียนดังนี้
1)
ไม่ขึ้นต้นด้วยคำว่า เพื่อ
ความสำคัญของการวิจัยเป็นผลที่คาดจะได้รับ
ดังนั้นการเขียนควรระบุลงไปเลยว่างานวิทยานิพนธ์เรื่องนี้
หลังจากเสร็จแล้วจะได้อะไรบ้าง มีประโยชน์ในแง่ใด
นำผลไปพัฒนาได้อย่างไร
2)
อยู่ในขอบเขตของการวิจัย นิสิต
นักศึกษาต้องเขียนความสำคัญของการวิจัยให้อยู่ขอบเขตของการวิจัย
ไม่ควรอ้างความสำคัญของการวิจัยเกินขอบเขตของการวิจัยในเรื่องที่ศึกษา
เช่น
ผลจากการวิจัยหน่วยงานหรือองค์กรจะนำผลการวิจัยไปใช้ในการพัฒนาหน่วยงาน
แต่หลังจากอ่านผลการวิจัยทั้งหมดแล้ว
ไม่มีส่วนใดหรือผลการวิจัยที่หน่วยงานนำไปใช้พัฒนาหน่วยงานได้เลย
ดังนั้นการเขียนความสำคัญต้องระบุความสำคัญที่เป็นไปได้ในการนำไปใช้ประโยชน์อย่างแท้จริง
3)
เขียนความสำคัญให้ชัดเจน
ชัดเจนในด้านประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ด้านความรู้
ด้านการประยุกต์ใช้
และที่สำคัญเขียนให้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของการวิจัย
ความสอดคล้องถือว่ามีความสำคัญ
ความสำคัญของการวิจัยกับจุดมุ่งหมายของการวิจัยมีความสัมพันธ์กัน
ดังนั้นความชัดเจน
คือสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้และในแง่ผลการวิจัยที่จะนำไปใช้ได้จริง
ตัวอย่างเช่น ศึกษาเรื่อง
แนวโน้มการดำเนินงานห้องสมุดประชาชนอำเภอในทศวรรษหน้าโดยใช้เทคนิคเดลฟาย
ความสำคัญของการวิจัย คือ
ผลการวิจัยจะเป็นข้อเสนเทศสำหรับกรมการศึกษานอกโรงเรียนและผู้ที่เกี่ยวข้อง
นำไปใช้เป็นแนวทางในการตัดสินใจ วางแผน
ปรับปรุงการดำเนินห้องสมุดประชาชนอำเภอ
ทั้งในปัจจุบันและอนาคตให้เกิดประโยชน์ต่อการศึกษาของประชาชนยิ่งขึ้น
3.1.4 กรอบแนวคิดในการวิจัย
(ถ้ามี)
กรอบแนวคิดในการวิจัย (Conceptual
framework)ถือว่ามีความสำคัญเช่นเดียวกัน
ในงานวิทยานิพนธ์อาจจะมีหรือไม่มีก็ได้ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชื่อเรื่องที่ศึกษาและประเภทของงานวิจัย
ซึ่งกรอบแนวคิดในการวิจัย หมายถึง
กรอบของการวิจัยในด้านเนื้อหาสาระ
ซึ่งประกอบด้วยตัวแปรและการระบุความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร(สุชาติ
ประสิทธิ์รัฐสินธุ์, 2544 : 72)
และตัวแปรแต่ละตัวที่เลือกมาศึกษาจะต้องมีพื้นฐานทางทฤษฏีความมีเหตุมีผลว่ามีความสัมพันธ์หรือเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ต้องการศึกษา
มิใช่แต่เป็นการสุ่มเลือกตามใจของผู้วิจัยเอง
การที่ตัวแปรมีทฤษฏีอ้างอิงจะช่วยเพิ่มพูนความรู้ที่มีอยู่แล้วให้ถูกต้องและสมบูรณ์มากขึ้น
เพราะจะได้ทดสอบทฤษฏีที่ได้ระบุตัวแปรนั้น ๆว่าถูกต้องหรือไม่
นอกจากนี้ยังช่วยตีความหมายผลการวิจัยที่ได้
การวิจัยมิใช่มุ่งแต่การตัวเลขมายืนยันเท่านั้น
ดังนั้นกรอบแนวคิดต้องระบุว่ามีตัวแปรอะไรบ้างและตัวแปรเหล่านี้มีความสัมพันธ์กันอย่างไร
เป็นการช่วยให้นิสิต
นักศึกษาและผู้อื่นได้ทราบว่ามีแนวคิดอย่างไรเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องการศึกษาและคิดว่าอะไรสัมพันธ์กับอะไรในรูปแบบใด
ทิศทางใด ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในขั้นการเก็บรวบรวมข้อมูล
การออกแบบการวิจัยและการวิเคราะห์ข้อมูล ของการวิจัยด้วย
ที่มาของกรอบแนวคิดในการวิจัย
ปัญหาอย่างหนึ่งที่นิสิต นักศึกษา
คิดไม่ตกคือการได้มาของกรอบแนวคิดการวิจัยได้มาอย่างไร
กรอบแนวคิดมีที่มาอยู่ 2 แหล่ง คือ
1)
ผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง กล่าวคือ
งานวิจัยที่คนอื่นทำมาแล้วที่มีประเด็นตรงกับที่ศึกษา
หรือมีเนื้อหาสาระใกล้เคียงกัน
มีตัวแปรบางตัวที่ต้องการศึกษารวมอยู่ด้วย
2)
ทฤษฏีที่เกี่ยวข้อง นิสิต
นักศึกษาควรอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาทฤษฏีต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อเรื่องที่ศึกษา
เพื่อทราบความรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร
การศึกษาทฤษฏีที่เกี่ยวข้องนอกจากจะชี้ให้เห็นว่าตัวแปรใดสำคัญและมีความสัมพันธ์กันอย่างไรแล้ว
ยังได้กรอบแนวคิดในการวิจัยที่ชัดเจนและมีเหตุมีผล
3.1.5 ขอบเขตของการวิจัย
ขอบเขตของการวิจัย
เป็นการเขียนอธิบายลักษณะหรือกรอบที่นิสิต
นักศึกษากำหนดว่าหัวข้อเรื่องนั้นจะศึกษากับใคร ที่ไหน อย่างไร
จำนวนเท่าไหร่ มีตัวแปรอะไรบ้าง
และมีเนื้อหา(ถ้ามี)หรือใช้เวลาในการวิจัยเท่าใด นิสิต
นักศึกษาต้องเขียนขอบเขตของการวิจัยให้ชัดเจนและครอบคลุมหัวข้อเรื่องด้วย
โดยทั่วไปแล้วขอบเขตของการวิจัยจะมีส่วนประกอบย่อยดังนี้
1) ประชากร
เป็นการเขียนอธิบายคุณสมบัติของประชากรที่ใช้ในการวิจัยว่าคือใคร
ที่ไหน ปีไหน จำนวนเท่าใด
ตัวอย่างเช่น ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ได้แก่
ข้าราชการครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอุดรธานี
ปีการศึกษา 2549 จำนวน 13,104 คน
2) กลุ่มตัวอย่าง
คือ ส่วนหนึ่งของประชากร
เป็นการเขียนอธิบายลักษณะกลุ่มตัวอย่างว่า
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือใคร ที่ไหน ปีไหน
จำนวนเท่าใด แต่ไม่ต้องเขียนอธิบายวิธีเลือกกลุ่มตัวอย่าง
ตัวอย่างเช่น
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ได้แก่
ข้าราชการครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอุดรธานี
ปีการศึกษา 2549 จำนวน 500 คน
3)
เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย(ถ้ามี)
ส่วนมากพบในการวิจัยเชิงทดลอง
เป็นเขียนอธิบายหรือกำหนดขอบเขตของเนื้อหาที่ใช้ในการวิจัยว่า
เนื้อหาวิชาอะไร เรื่องอะไร มีจำนวนกี่หน่วยหรือบท
บางทีอาจจะบอกจำนวนคาบที่ใช้ในการสอน ตัวอย่างเช่น
เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ รายวิชา 1601 505
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
หลักสูตรการศึกษามหาบัณฑิต แบ่งเป็น 2
หน่วยการเรียน คือ
หน่วยการเรียนที่
1 เทคโนโลยีสารสนเทศ
หน่วยการเรียนที่
2 ICT
4) ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย
(ถ้ามี)
เป็นการเขียนอธิบายลักษณะของตัวแปรที่ใช้ในการวิจัยว่าประกอบด้วยตัวแปรอะไรบ้าง
โดยปกติแล้ว จะแบ่งออกเป็น 2 ตัวแปร คือ
ตัวแปรอิสระและตัวแปรตาม
ซึ่งการวิจัยจะมีคุณค่ามากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับตัวแปรที่ใช้ในการวิจัยด้วย
ตัวอย่างเช่น
ตัวแปรอิสระ
ได้แก่
1. เพศ
จำแนกเป็น เพศชาย เพศหญิง
2. อายุ
จำแนกเป็น
2.1
อายุต่ำกว่า 20 ปี
2.2
อายุระหว่าง 21-25 ปี
2.3
อายุ 26 ปีขึ้นไป
ตัวแปรตาม ได้แก่
เจตคติต่อวิทยาศาสตร์
5)
ระยะที่ใช้ในการวิจัยหรือการทดลอง(ถ้ามี)
เป็นการเขียนอธิบายบอกขอบเขตของการวิจัยตั้งแต่เริ่มจนจบกระบวนการวิจัยหรือ
บ่งบอกระยะเวลาที่ใช้ในการทดลองว่า เริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ ปีไหน
สิ้นสุดเมื่อใด รวมจำนวนเท่าใด ตัวอย่างเช่น
ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย คือ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2549
เริ่มตั้งแต่เดือน มิถุนายน ถึงเดือน สิงหาคม พ.ศ. 2549
จำนวน 3 เดือน
ตัวอย่างการเขียน
ขอบเขตของการวิจัย
1. ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ได้แก่
ข้าราชการครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอุดรธานี
ปีการศึกษา 2549 จำนวน 13,104 คน
2. กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ได้แก่
ข้าราชการครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอุดรธานี
ปีการศึกษา 2549 จำนวน 500 คน
3. เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ (ถ้ามี)คือ รายวิชา
1601 505
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
หลักสูตรการศึกษามหาบัณฑิต แบ่งเป็น 2
หน่วยการเรียน คือ
หน่วยการเรียนที่ 1
เทคโนโลยีสารสนเทศ
หน่วยการเรียนที่ 2
ICT
4) ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ แบ่งออกเป็น
(ถ้ามี)
4.1 ตัวแปรอิสระ ได้แก่
4.1.1 เพศ จำแนกเป็น เพศชาย
เพศหญิง
4.1.2 อายุ จำแนกเป็น
1) อายุต่ำกว่า 20 ปี
2) อายุระหว่าง 21-25 ปี
3) อายุ 26 ปีขึ้นไป
4.2 ตัวแปรตาม ได้แก่ เจตคติต่อวิทยาศาสตร์
5) ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย (ถ้ามี) คือ ภาคเรียนที่
1 ปีการศึกษา 2549 เริ่มตั้งแต่เดือน มิถุนายน ถึงเดือน
สิงหาคม พ.ศ. 2549 จำนวน 3 เดือน
3.1.6 สมมุติฐานของการวิจัย
สมมติฐาน
เป็นการกล่าวถึงข้อสันนิฐาน
ซึ่งเป็นข้อความที่คาดคะเนผลการวิจัยนั้นว่าจะค้นพบอย่างไร
การเขียนต้องอยู่บนพื้นฐานทฤษฏีและข้อเท็จจริง ตัวอย่างเช่น
ความพอใจในการทำงานมีผลต่อประสิทธิภาพของงานเพิ่มขึ้น
จะเห็นได้ว่าข้อความมีความเชื่อมโยงระหว่างตัวแปร 2 ตัว
ตัวแปรแรก คือ ความพอใจในการทำงาน ตัวแปรที่สอง
ประสิทธิภาพของงาน
ดังนั้นการเขียนสมมติฐานที่ดีและถูกต้องไม่ใช่เรื่องที่ง่าย
แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยาก
ทั้งนี้เพราะการเขียนสมมติฐานที่ดีนั้นมีหลักเกณฑ์การเขียน ดังนี้
1)
สมมติฐานที่สร้างขึ้นต้องสอดคล้องกับความมุ่งหมายของการวิจัย
2)
ควรเขียนข้อความที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระกับตัวแปรตาม
และกำหนดทิศทางของความสัมพันธ์ให้ชัดเจน
3)
ไม่ควรเขียนในรูปสมมติฐานเป็นกลางเหมือนสมมติฐานทางสถิติ
เว้นแต่การวิจัยนั้นยังขาดข้อเท็จจริงหรือขัดแย้ง ขาดข้อมูล
หรือผลการวิจัยสนับสนุน
4) สามารถทดสอบได้
เช่น ด้วยวิธีการทางสถิติ ข้อมูลหรือหลักฐานต่าง ๆ
5) เขียนจากหลักการ
เหตุผล ผลงานวิจัยที่เคยทำมาแล้วที่นิสิต
นักศึกษาได้ศึกษาจากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็น
วิทยานิพนธ์ บทความ วารสาร อินเทอร์เน็ต
6) ใช้ภาษาที่ชัดเจน
เข้าใจง่ายและรัดกุม
จะเห็นได้ว่าการเขียนสมมติฐานที่ดีจะต้องระบุความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระและตัวแปรตาม
มีการกำหนดให้เห็นทิศทางของความสัมพันธ์ว่าเป็นไปในทางใด
เช่น มากกว่า น้อยกว่า แตกต่างหรือไม่แตกต่าง
ตัวอย่างการเขียนสมมติฐาน
ความมุ่งหมายของการวิจัยว่า
เพื่อเปรียบเทียบเจตคติของข้าราชการครูต่อการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่มีประสบการณ์ในการสอน
ประสบการณ์ในการอบรมการจัดทำหลักสูตร
ขนาดของโรงเรียนและระดับช่วงชั้นที่จัดทำหลักสูตรสถานศึกษา
สมมติฐานของการวิจัย คือ
ข้าราชการที่มีประสบการณ์ในการสอน
ประสบการณ์ในการอบรมการจัดทำหลักสูตร
ขนาดของโรงเรียนและระดับช่วงชั้นที่จัดทำหลักสูตรต่างกันมีเจตคติต่อการทำหลักสูตรสถานศึกษาขั้นพื้นฐานแตกต่างกัน
3.1.7 ข้อตกลงเบื้องต้น(ถ้ามี)
ข้อตกลงเบื้อต้น หมายถึง
ข้อความที่บ่งบอกถึงสิ่งที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ในทางวิทยาศาสตร์
ซึ่งนิสิต นักศึกษา
ที่เป็นผู้วิจัยจะเป็นผู้รู้ดีที่สุดว่าจะเขียนข้อตกลงเบื้องต้นอย่างไรบ้าง
การเขียนสามารถเขียนเป็นข้อหรือความเรียงได้ตามเหมาะสมของงานวิจัยประเภทนั้น
เช่น นิสิตตอบแบบสอบถามด้วยความเต็มใจ
3.1.8 นิยามศัพท์เฉพาะ
นิยามศัพท์เฉพาะมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการวิจัย
ทั้งนี้เพราะในการศึกษาหรือวิจัย
ผู้ที่ทำวิจัยไม่สามารถที่จะอธิบายข้อเท็จจริงทุกอย่างได้ทั้งหมด
การให้คำอธิบายที่จำเป็นในเรื่องที่ผู้วิจัยกำลังศึกษาอยู่
จึงเป็นสิ่งจำเป็น อาจจะเป็นนิยามตัวแปร ศัพท์ที่จำเป็น
ซึ่งคำที่จะนำมานิยามเป็นนิยามศัพท์เฉพาะก็มาจากชื่อเรื่อง
นั่นเอง ในการเขียนนิยามศัพท์เฉพาะมีหลักเกณฑ์ในการเขียน
ดังนี้
1)
ให้เลือกนิยามศัพท์เฉพาะที่จำเป็นที่มาจากชื่อเรื่องหรือตัวแปรที่เกี่ยวข้อง
เน้นให้ผู้อ่านเข้าใจตรงกับผู้วิจัยศึกษา เช่น
ศึกษาเรื่อง
แนวทางการพัฒนาการเรียนการสอนทางอิเล็กทรอนิกส์(e-Learning)
สำหรับสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย
นิยามศัพท์เฉพาะที่ต้องนิยามคือ 1) e-Learning หมายถึง 2)
การเรียนการสอนอิเล็กทรอนิกส์ (e-Learning) หมายถึง 3)
สถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย หมายถึง เป็นต้น
2)
การเขียนนิยามศัพท์เฉพาะ นิสิต นักศึกษา
สามารถเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสม มี 2 ลักษณะ คือ
2.1)
นิยามแบบทั่วไป คือ การยกนิยามที่ระบุไว้ในพจนานุกรม
สารนุกรม ตำรา วารสาร ฯลฯ
2.2)
นิยามปฏิบัติการ คือ
การนิยามที่นอกเหนือจากให้ความหมายของคำนั้นแล้ว โดยนิสิต
นักศึกษาหรือผู้วิจัย เป็นผู้ให้นิยามเอง
เน้นเฉพาะเจาะจงสำหรับวิทยานิพนธ์เรื่องนี้ที่ศึกษาเท่านั้น
3) กรณีที่นิสิต
นักศึกษา ยกนิยามของคนอื่นมาจะต้องเขียนอ้างอิงกำกับไว้ด้วย
4) นิยามศัพท์ที่นำมานิยาม
ต้องเขียนศัพท์ภาษาอังกฤษกำกับไว้ด้วย
ทองสง่า ผ่องแผ้ว 17/08/2550
ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะคะ เป็นประโยชน์อย่างมากเลย
ขอบคุณอย่างมากมาย สำหรับคำอธิบายเกี่ยวการวิจัยค่ะ
ขอขอบคุณมากนะค่ะ
เพราะว่าการเขียนภูมิหลังยากมากๆๆค่ะ
เริ่มท้อใจแต่พอมาอ่านข้อความข้างบนแล้วรู้สึกฮึดขึ้นมาอีกครั้งค่ะ
รู้สึกว่ามันง่ายขึ้นกว่าเมื่อก่อนค่ะ
ขอคุณมากนะค่ะ
ขอบคุณมากครับกำลังศึกษาแนวการเขียนงานการศึกษาค้นคว้าอิสระเสนอต่อมหาวิทยาลัยพอดีอ่านพอจะเข้าใจ
รู้สึกมีแนวทางในการจัดทำ
ขอขอบคุณครับ
ขอบคุณมากเลยที่ให้ความกระจ่างในการเขียนบทนำและส่วนประกอบอื่น ๆ
ขอบคุณมากค่ะ..... คุณให้ความรู้เป็นทาน ดิฉันดีใจมากที่ได้เจอสิ่งดีๆอย่างนี้ ขอให้คุณมีความก้าวหน้าในอาชีพการงาน ดิฉันจะติดตามผลงานของคุณ รู้สึกว่าอ่านเข้าใจดี